คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หมอนปักลาย
7046 ปีก่อน ณ หนึ่งในสหัสภพแห่งแดนมนุษย์
.
.
.
“เหลียนเออร์ น้ำแกงเป็ดได้หรือยังลูก” น้ำเสียงอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยดังแล่นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้องครัว
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” ข้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบิกบานยิ่ง
ที่นี่คือห้องครัวใหญ่จวนเสนาบดีเหวินจ้ง ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือขุนนางทั้งปวงในแคว้นเย่ว วันนี้เป็นอีกวันที่เรือนใหญ่มีงานเลี้ยง ห้องครัวแห่งนี้มิได้ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับอำนาจเจ้าของจวน ออกจะค่อนข้างเล็กแคบซอมซ่อ ต่างจากเรือนใหญ่ที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหราไม่น้อยหน้าตำหนักอ๋องผู้ครองแคว้นทีเดียว
ท่านแม่และข้ากำลังง่วนวุ่นวายเตรียมอาหารหลายตำรับส่งไปยังเรือนใหญ่โดยมีสาวใช้สองสามคนคอยช่วย กลิ่นอาหารลอยหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ความร้อนและไอน้ำพวยพุ่งจากหม้อน้ำแกงเป็ด ทำให้ปรากฏเหงื่อพราวทั่วใบหน้า ทว่าข้ามิได้สนใจนักเพียงใช้หลังมือปาดเช็ดเบาๆ เท่านั้น เร่งตักอาหารใส่จานชามให้เรียบร้อยแล้วส่งให้สาวใช้ยกไป
ความวุ่นวายของวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ นี่ถาดสุดท้ายแล้วพวกเจ้ายกไปเถอะ” ข้ายกถาดที่จัดเตรียมอาหารอย่างสวยงามสองจานส่งให้เจียวจูสาวใช้ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่
จากนั้นหันไปสบตาส่งยิ้มชื่นบานให้ท่านแม่ ปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า เมื่อจัดเตรียมอาหารส่งไปจนหมดก็ถึงเวลาเก็บครัวได้ ว่าแล้วก็เตรียมก้มหน้าก้มตาเก็บของ
“ปลาเปรี้ยวหวานจานนี้ทำไมยังอยู่ตรงนี้!” เสียงท่านแม่ดังขึ้นด้วยความตกใจ
“ข้าเอาไปส่งเองเจ้าค่ะ” ข้าไม่รอช้าคว้าจานปลาเดินตามสาวใช้เมื่อครู่ไป พวกนางเพิ่งเดินออกไปคิดว่าคงทันนะ มิเช่นนั้นข้าคงต้องเดินไปเหยียบเรือนใหญ่นั่น
ข้ารีบเดินสับเท้าตามมาไม่นานก็มองเห็นหลังของสาวใช้สองคนอยู่ไม่ไกล
“ฮูหยินรองท่านใจดีมากจริงๆ ทำอาหารก็อร่อย แต่เหตุใดข้าไม่เคยเห็นนางไปที่เรือนใหญ่เลยล่ะ” สาวใช้คนนึงเอ่ยขึ้น
“เจียวจู เจ้าน่ะเพิ่งเข้ามาใหม่จะไปรู้อะไร นางผู้นั้นแม้จะเรียกว่าฮูหยินรอง แต่นายท่านไม่เคยให้ความสำคัญนางด้วยซ้ำ เรือนพักก็อยู่ใกล้กับเรือนคนรับใช้ เจ้าก็เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์นางเทียบไม่ได้เลยกับของฮูหยินใหญ่ เครื่องประดับดีๆ สักชิ้นก็ไม่มี ฐานะของนางในบ้านนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ครัวคนนึงก็เท่านั้นล่ะ”
‘ฮึ่มม’
ข้าแสร้งกระแอมเบาๆ ให้สาวใช้ข้างหน้ารู้ตัว พวกนางตกใจสะดุ้งโหยง กำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ หากข้าไม่หยุดไว้เกรงว่าคงวิจารณ์กันไปถึงไหนต่อไหน
“คุณหนูใหญ่!!” สาวใช้ทั้งสองหันมาย่อคำนับให้ข้า เรียกข้าเสียงสั่นด้วยความกลัว ก้มหน้าก้มตาแทบจะมุดลงไปกับพื้น
“มีปลาเปรี้ยวหวานจานหนึ่งไม่ได้หยิบมาน่ะ ข้าเอามาให้” ข้ายื่นจานปลาวางซ้อนลงบนถาดในมือสาวใช้ปากมากที่เล่าเรื่องอย่างมีสีสันอยู่เมื่อครู่
“เจ้าชอบเล่าเรื่องมากหรือ” ข้าเอ่ยออกไปอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของนางที่สั่นงันงกก้มหน้าจนคางชิดอกเช่นนั้น
“เปล่าเจ้าค่ะๆๆ” นางรีบส่ายหน้าตอบเป็นการใหญ่
“อ้อ เช่นนั้นหรือ ข้าฟังเจ้าเล่าเรื่องเมื่อครู่ เห็นว่าทำได้ไม่เลวยิ่ง หากเจ้าชอบข้าจะได้ช่วยส่งเสริม ขายเจ้าให้โรงเตี๊ยมสักแห่ง เจ้าคงได้เล่าเรื่องทั้งวันทั้งคืน ใช้พรสวรรค์นี้ได้อย่างคุ้มค่าโดยแท้” ข้าเอ่ยไปน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู ข้าไม่บังอาจอีกแล้วเจ้าค่ะ ไม่บังอาจอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าข้า กลับสั่นงันงกยิ่งกว่าเดิม จานอาหารในถาดที่นางถือก็ยิ่งสั่นจนแทบจะหล่นลงมา
ข้ายื่นมือพยุงเบาๆ ตรงกลางถาด “เจ้าถือดีๆ หน่อย มิเช่นนั้นอาหารที่ท่านแม่ข้าทำคงหล่นลงมาเสียหมด” ข้าหยุดพูดทอดถอนใจแผ่วเบา “พวกเจ้ารีบไปเถอะ อาหารจะเย็นซะหมด”
แม้ว่าใจข้าจะขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย ทว่าเรื่องที่นางพูดมาข้าก็มิอาจปฏิเสธได้แม้แต่ครึ่งคำเช่นกัน เพียงแต่เรื่องเล่านี้ดูเหมือนจะขาดองค์ประกอบอยู่หลายส่วน
ตัวข้านามว่าเหวินเหลียนเหลียง ที่แท้จริงแล้วข้าเองก็มิได้ปรารถนาจะใช้แซ่นี้เท่าใดนัก เป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีเหวินจ้งแห่งแคว้นเย่ว เกิดจากฮูหยินรองเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดี ที่แม้จะได้ชื่อว่าฮูหยินรองแต่แท้จริงแล้วเป็นภรรยาคนแรกของเขา คนที่ถูกท่านเสนาบดีหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังเลือกจะอยู่ในเรือนนี้ในฐานะภรรยาให้เขา
ส่วนตัวข้าเองมีอีกหลายสิบหลายร้อยเหตุผลให้เกลียดเสนาบดีเหวินจ้งผู้นี้เข้ากระดูกดำ คนผู้นี้แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหมอนปักลาย ภายนอกผู้คนต่างชื่นชมคุณธรรมความสามารถ เป็นเสนาบดีข้างกายเย่ว์อ๋องที่ได้รับความไว้วางพระทัยเป็นอย่างมาก เป็นผู้ซึ่งแสดงตนว่ามีจิตใจกว้างขวางช่วยเหลือผู้คนไว้ไม่น้อย แต่ภายในกลับซ่อนความชั่วร้ายใจดำไว้ไม่น้อยเช่นกัน
เขาหลอกแต่งงานกับท่านแม่ข้าที่ยามนั้นเป็นบุตรสาวคหบดีที่ร่ำรวยกว้างขวางที่สุดในเมือง งดงามและเพียบพร้อมที่สุด ในขณะที่ตนเป็นเพียงบัณฑิตตกอับ หลอกใช้เส้นสายของท่านตาไต่เต้าสู่ตำแหน่งราชการงานเมือง หลอกยักยอกทรัพย์สินของท่านตา กระทั่งท่านตาตรวจพบก็สายไปเสียแล้ว บ้านท่านแม่ล้มละลายสิ้นเนื้ิอประดาตัว ท่านตาอับอายขายหน้าจนตรอมใจตาย ท่านยายก็ตายตามไปด้วย เมื่อเห็นท่านแม่หมดประโยชน์ เขาก็หายตัวไปจากชีวิตท่านแม่ ทิ้งนางไว้เพียงลำพังกับทุกสิ่งที่พังทลาย
เมื่อนั้นเองที่ท่านแม่รู้ตัวว่าได้ตั้งครรภ์ข้าแล้ว นางเอาชีวิตรอดด้วยการเก็บดอกบัวขาย ขออาศัยในอารามเต๋า ใช้ชีวิตเลี้ยงดูข้าอย่างยากลำบาก ถูกญาติมิตรเหยียดหยามไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ผ่านไป 2 ปี เขาผู้นั้นกลับปรากฏตัวต่อหน้าท่านแม่อีกครั้งพร้อมกับสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว ยามนั้นท่านแม่เองที่มีหัวการค้าอยู่บ้างก็พอจะมีฐานะขึ้นมา ยังคงยินดียื่นมือช่วยเหลือ ผลักดันเขาเข้าสู่วงการราชการอีกครั้ง ทว่าเพียงปีเดียวจากนั้นเพื่อตำแหน่งความมั่นคงในงานราชการ เขากลับยินดีหย่ากับท่านแม่ ไปแต่งกับหญิงสกุลจ้าวให้เป็นฮูหยินใหญ่ ท่านแม่ข้าที่ยามนั้นเห็นข้าที่ดีใจยกใหญ่ด้วยความไร้เดียงสาว่าในที่สุดตนก็มีพ่อ แม้ต้องทนอยู่ด้วยความอัปยศเพียงใดก็ยังคงเลือกจะอยู่เป็นฮูหยินรองที่ไร้เกียรติให้เขา ทว่าข้าในยามนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เพียงความอัปยศที่เขามอบให้ท่านแม่เท่านั้น ยังมีความอัปยศที่เขามอบให้ข้าตลอดชีวิตที่เติบโตมา ความอัปยศเหล่านี้สักวันข้าจะตอบแทนกลับคืนอย่างสาสม
ในเรือนเล็กริมรั้วจวนเสนาบดีนี่คือที่พักกายของข้าและท่านแม่ แม้เรือนนี้จะไม่มีของตกแต่งหรูหราใด แต่ก็เป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย แม้ว่าข้าและท่านแม่ต่างมีห้องนอนกันคนละห้อง แต่ข้าก็เลือกที่จะนอนห้องเดียวกับท่านแม่เสมอ นางคือบุคคลที่สำคัญเพียงผู้เดียวในชีวิตข้า
ข้าเอนตัวลงนอนบนตักของท่านแม่ นางค่อยๆ ใช้หวีสางผมให้ข้าอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกวัน ทว่าใจข้ายามนี้กลับคิดวนเวียนกับเหตุการณ์ของสองสาวใช้วันนี้มิอาจปล่อยวาง
“เหลียนเออร์ ผมของเจ้าเงางามที่สุดที่แม่เคยเห็นมาจริงแท้ แม่ชอบมันจริงๆ” ท่านแม่มักบอกกับข้าว่าสำหรับสตรีแล้วเส้นผมคือสิ่งสำคัญที่สุด ข้าเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง ดูแลมันอย่างดีเสมอมา
“ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดท่านแม่ถึงยังเลือกอยู่กับเขาที่นี่หรือเจ้าคะ หรือท่านยังรักเขาอยู่” ข้าพลิกเงยหน้ามองท่านแม่ อย่างคาดหมายว่าท่านจะบอกถึงเหตุผลที่แท้จริง
ท่านแม่ทอดถอนใจ เงียบอยู่ชั่วครู่ คิดอย่างเหม่อลอย
“ความรักของแม่มันหมดไปนานแล้วล่ะ ที่อยู่ที่นี่ทุกวันนี้ก็เพื่อเจ้า” ท่านแม่ก้มลงมองข้า มืออบอุ่นลูบแก้มข้าแผ่วเบา “เจ้าเป็นสตรี เราสองแม่ลูกอยู่ข้างนอกไร้คนคุ้มครอง หากมีภัยใดแม่ก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้ อีกอย่างหากเจ้าอยู่ที่นี่ก็จะได้ฐานะคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดี วันหน้าพ่อเจ้าย่อมหาคู่ครองดีๆ สมฐานะให้เจ้าได้ออกเรือน”
จบประโยคนี้ข้ารีบลุกนั่งในทันที “ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วว่าข้าไม่แต่ง ข้าจะอยู่กับท่านแม่ตลอดไปไม่ออกเรือน” พูดจบก็โผเข้ากอดนางไว้ในอ้อมแขน
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าเองตอนนี้ก็สิบเจ็ดแล้ว เด็กรุ่นเจ้าก็แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว เจ้าเองก็ควรแต่งเช่นกัน แม่ไม่อาจอยู่กับเจ้าได้ตลอดไป อย่างไรก็ต้องหาที่พึ่งดีๆ ให้เจ้าสักคน” ท่านแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงดุเตือนข้าอยู่เล็กน้อยแต่ออกจะเอ็นดูเสียมากกว่า
ข้าขยับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “เหตุใดท่านแม่พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านต้องอยู่กับข้าตลอดไป อยู่ให้ข้ากอดท่านเช่นนี้ทุกวันทุกวัน” พร้อมกับหอมแก้มนางอีกหนึ่งฟอด
ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยเห็นสตรีใดไม่ต้องเจ็บช้ำเพราะบุรุษ การแต่งงานพวกนี้ล้วนหาเรื่องใส่ตัวกันทั้งนั้น ชีวิตของสตรีเหตุใดต้องเอาไปวางไว้ในมือผู้อื่นกัน มีปัญญามีสองมือก็หุงหาเลี้ยงชีพตนเอง ไม่ต้องเอาบุรุษมาเป็นภาระ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ดูแลคนที่ควรดูแล ปกป้องคนที่อยากปกป้อง เป็นโสดชั่วชีวิต นี่สิถึงจะนับเป็นชีวิตที่ข้าต้องการ
“เจ้านี่โตขนาดนี้ยังทำเป็นเด็กๆ” ท่านแม่ยิ้มอย่างเบิกบาน นี่คือรอยยิ้มที่ข้ารักที่สุด สาบานชั่วชีวิตจะรักษาไว้อย่างดี
คืนนี้ก็เช่นทุกคืน ข้านอนกุมมือท่านแม่มาวางไว้แนบอกและหลับไปเช่นนั้น แม้ชะตาชีวิตข้าอาจไม่ราบรื่นนัก แต่การได้เป็นลูกของท่านแม่คือโชคดีที่สุดในชีวิตของข้า
เวลาสุขสงบของข้าดำเนินต่อมาได้อีกไม่นาน เหตุอันไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เย่ว์อ๋องสิ้นพระชนม์ ทั่วเมืองโกลาหลผู้คนต่างเศร้าสลด ยามนี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยไฟสงคราม โองการที่แถลงออกมากล่าวว่าเย่ว์อ๋องประชวรสิ้นพระชนม์ ทว่าข่าวลือหนาหูกลับบอกว่าถูกลอบวางยาจนถึงแก่ชีวิต แต่ใครกันจะทำได้ถึงเพียงนั้น
ความคิดเห็น