คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : นักพรตเฒ่าเจ้าเล่ห์
“ขนมนี่ไว้ข้าเอามาให้ใหม่นะเจ้าคะ ท่านอาจารย์”
“อืม” เขาส่งเสียงตอบสั้น ๆ ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาจากม้วนตำรา เป็นเช่นนี้ก็ดีข้าจะได้ลอบมองเขาได้โดยสะดวก ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องสบสายตากับเขาอีก
ความคิดเจ้าเล่ห์ของข้ายังไม่ทันจะจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับข้าอย่างจัง ข้าตะลึงลาน สมองมึนชา ใบหน้าร้อนผ่าว ใจสั่นรัว มือไม้ก็ตีกันเป็นพัลวัน ทำเป็นจัดเก็บกล่องขนมไปอย่างเก้อเขิน พลันนึกว่าหากทุกวันต้องเป็นอยู่เช่นนี้ ต้องมีสักวันที่ข้าหัวใจวายตายเป็นแน่ คงต้องหาทางมิให้ต้องมาที่นี่บ่อยนักเสียแล้ว
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะเรียนปรึกษาเจ้าค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“ตอนนี้ข้าเองก็มีกิจการค้าขายอยู่กำลังเจริญรุ่งเรือง จะให้มาเรียนทุกวันก็ไม่สะดวกนัก เช่นนั้นหนึ่งสัปดาห์ข้าขอมาเรียนแค่สองวันได้มั้ยเจ้าคะ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าว่าห้าวันเห็นจะเหมาะ” เขาตอบข้าหน้าตาย ท่าทางไม่ได้สนใจความทุกข์ร้อนของข้าเลยด้วยซ้ำ
“สามวันนะเจ้าคะ” ข้าต่อรอง สายตาอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างสุดซึ้ง
“เช่นนั้นไม่สู้ให้เจ้ามาเรียนทุกวันดีหรือไม่ เล่าเรียนพัฒนาตนสม่ำเสมอ ไม่นานก็สามารถเป็นปราชญ์แห่งยุค เป็นแม่ค้าคหบดีผู้ทรงปัญญา” เขาตอบ หันมายิ้มให้ข้า ทำท่าดั่งผู้ทรงคุณธรรมรักษาศีล เป็นผู้วิเศษอะไรที่ไหนกันก็แค่คนใจดำรังแกข้า.
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าค่ะ การค้าข้ากำลังขยายกิจการกว้างขวาง หากไม่สนใจดูแลตรวจสอบบัญชีอีกไม่นานคงล้มละลายไม่เหลือดีเป็นแน่เจ้าค่ะ” จากทีแรกที่คิดจะขอต่อรองนิดหน่อยให้ได้หายใจหายคอบ้าง ยามนี้กลับรู้สึกว่าคงจะต้องขาดหายใจตายเพราะคนผู้นี้จริงๆ เสียแล้ว ข้าหน้างอง้ำ ไม่พอใจแล้วจริงแท้
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เป็นว่าครึ่งวันเช้าเจ้ามาที่นี่ ครึ่งวันบ่ายเจ้าก็ไปทำการค้าของเจ้า ดีหรือไม่”
ฟังแล้วข้อเสนอนี้ก็ไม่เลว ข้ายิ้มแป้นรีบพยักหน้ารับ “ได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี วันนี้เจ้าก็กลับเถอะ” เขาเอ่ยประโยคนี้แล้วก็แย้มยิ้มแช่มชื่นออกมา ดูพิลึกนัก มีเรื่องอะไรน่าพึงใจถึงเพียงนั้นกัน
เดี๋ยวนะ! ข้าหลงกลนักพรตเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้เข้าแล้วหรือนี่ ครึ่งวันมาที่นี่ก็นับว่ายังต้องพบหน้าเขาทุกวันอยู่มิใช่หรือ “ท่าน...”
“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ไม่ต้องเอ่ยแล้ว” ข้ายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรก็ถูกพูดดักคอเสียดื้อๆ “เจ้าก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ คงมีรายการบัญชีรอเจ้าอยู่มากโข กลับเถิด ข้าไม่ส่งล่ะ”
เขาตัดบทไล่ข้ากลับเช่นนี้เลยหรือ คนผู้นี้ร้ายกาจจริงแท้ มาถึงขั้นนี้ข้าก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ลากลับมาทั้งอย่างนั้น นึกเจ็บใจตนเอง
เหลียนเหลียงเอ๋ย เหลียนเหลียง จะมีสติให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไรกันนะ
วันต่อมา ข้านอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเตรียมอาหารเที่ยงใส่กล่อง กินอาหารเช้าจนเต็มท้อง แต่มิได้เตรียมขนมไปให้นักพรตเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เล่นเล่ห์กับข้าเพียงนี้เช่นนั้นของก็ไม่ต้องกิน วันนี้จะต้องมีสติให้มากไม่เสียรู้ให้นักพรตเฒ่านั่นอีก
ข้ามาถึงจวนราชครูก่อนยามซื่อ วันนี้ต่างออกไปจากวันก่อนอยู่บ้าง เขาให้ข้าหิ้วตำราไปอ่านที่โรงเก็บไม้ ขณะเดียวกันเขาก็แกะสลักอักษรกำกับลงบนเสาแปดเหลี่ยมเสาหนึ่งของต้าเหลียน ตำราที่ข้าอ่านอยู่นี่ก็คือตำราม้วนเดิมที่อ่านเมื่อวาน ทว่าวันนี้กลับรู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่ามาก อาจเพราะท้องอิ่มสมองโลดแล่นทำให้เรียนรู้ได้รวดเร็ว ยิ่งอ่านตำราเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกเห็นภาพลวดลายบนต้าเหลียนชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ข้าตัดสินใจวางมือจากม้วนตำรา เดินไปร่างภาพวัดขนาดชิ้นส่วนต่าง ๆของต้าเหลียนแต่ละชิ้นอย่างละเอียด นักพรตลู่ก็ยอมวางมือปล่อยให้ข้าทำแต่โดยดี ชิ้นส่วนทั้งหมดประกอบด้วยชิ้นส่วนไม้แปดแปดหกสิบสี่ชิ้น ทุกชิ้นล้วนสร้างประกอบขึ้นอย่างละเอียดแยบยล ข้าทำการค้าเคยได้พบได้เห็นสิ่งประดิษฐ์แปลกประหลาดมาก็มาก ไม่เคยเห็นอะไรที่พิสดารเช่นนี้มาก่อน ชิ้นส่วนทุกชิ้นมีความพิเศษเป็นของตนเองไม่ซ้ำกัน ประกอบขึ้นโดยไม่ใช้เดือยไม้เลยแม้แต่ส่วนเดียว หากจะลงลวดลายก็จำเป็นต้องเห็นภาพทั้งตัวอย่างชัดเจน แล้วจึงค่อยแยกส่วนแกะสลักลงบนชิ้นส่วนแต่ละชิ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพลันคิดว่านี่คือสิ่งประดิษฐ์บนโลกมนุษย์จริงหรือ หากมิใช่นักพรตลู่ผู้นี้มีฝีมืองานไม้สูงส่ง ก็คงเป็นว่าเขามีญาณทิพย์โดยแท้ ทว่าดูจากวิธีการใช้เครื่องมือไม่ถนัดถนี่นักของเขาแล้ว คาดว่าคงเป็นอย่างหลังเสียกระมัง
แต่เรื่องเช่นนี้จะมีอยู่จริงบนโลกนี้ได้อย่างไร แผ่นดินนี้มีแต่เรื่องอยุติธรรมนับไม่ถ้วน หากเทพเซียนสวรรค์มีจริงก็เป็นเพียงสวรรค์โหลยโท่ยก็เท่านั้น
ข้าจดจ่อกับของตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกตัวอีกทีตะวันก็คล้อยลงทางตะวันตกเสียแล้ว นี่คงเข้ายามเว่ยแล้วกระมัง พอสำนึกได้ท้องข้าก็ทำงานทันที ร้องโครกครากอย่างรู้หน้าที่ ข้าจึงวางมือจากงานตรงหน้าเตรียมจะไปกินข้าว อย่างไรถ้าจะให้งานคืบหน้าก็ต้องสั่งอะไรเขาไว้เสียหน่อย
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ จะกรุณาทำตัวจำลองขึ้นมาอีกตัวได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้แน่นอน” เขาตอบรับข้าอย่างไม่ลังเล สายตาสอดประสาน ยามนั้นเองที่ข้าได้รู้ตัวว่าตลอดสองชั่วยามนี้เขานั่งมองข้าอยู่ตลอดอย่างไม่คลาดสายตา ใจข้าสั่นไหว เหตุใดจึงเป็นสายตาเช่นนี้อีกแล้ว นี่ก็วันที่สามแล้วหรือนี่คือวิสัยของคนผู้นี้ วิสัยที่จะต้องคอยมองจับจ้องผู้อื่นอยู่เช่นนี้กันนะ นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว
ข้ารีบตั้งสติแล้วปลีกตัวออกจากสถานการณ์นั้นเสีย หลบมายังโต๊ะอ่านตำราที่ถูกจัดไว้ให้ทางด้านขวาของห้อง เดิมทีก็คิดว่าจะรีบออกจากที่นี่แบกกล่องข้าวที่เตรียมมาไปกินที่โกดัง ทว่าเริ่มรู้สึกหิวจนตาลาย มิควรปล่อยให้เลยเวลากินมานานเพียงนี้ จึงแกะห่อข้าวนั่งกินเสียตรงนั้น
ข้านั่งกินข้าวไปอย่างเงียบเชียบ เฝ้ามองนักพรตลู่ที่ดูเหมือนกำลังเตรียมการจะทำตัวจำลองต้าเหลียนตามที่รับปากข้า คิดแล้วก็มีเรื่องแปลกอยู่หลายส่วน เรื่องแรกด้วยฐานะราชครูผู้สูงส่งของเขา ทว่าทั้งจวนกลับมีบ่าวรับใช้แค่สองคน อีกทั้งนอกจากตอนที่เปิดประตูให้ข้า ตลอดทั้งวันกลับไม่เห็นหน้าเลยสักครั้ง ทุกสิ่งอย่างนักพรตผู้นี้ล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น ตรองดูเรื่องนี้อาจเพราะหลักปฏิบัติบำเพ็ญพรตของเขากระมัง ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่ามีกลุ่มนักพรตที่บำเพ็ญโดยการทำทุกอย่างด้วยตนเอง ฝึกฝนร่างกายตัดขาดจากสังคม ดูแล้วเขาเองก็เข้าข่ายอยู่มากเทียว
ทว่าอีกเรื่องคือการกิน ข้ามาที่นี่สามวันมิเคยเห็นเขาแตะต้องสิ่งใดเลยนอกจากน้ำชา ขนมที่เอามาให้เมื่อวันก่อนก็ดูเหมือนเขาจะมิได้แตะเลยแม้แต่น้อย นี่เขาเป็นเทพเซียนอิ่มทิพย์หรือไร แม้แต่อาหารก็ไม่สนใจ ที่แท้เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ
สามสี่วันต่อมาเรื่องราวก็ยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ยามเช้ามาจวนราชครูศึกษาตำราโบราณ ยามบ่ายเข้าโกดังตรวจสอบบัญชี ข้าเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของนักพรตลู่อยู่ตลอด มีวันหนึ่งข้ามาถึงจวนราชครูตั้งแต่ยามเฉินกว่าจะกลับก็เข้ายามโหย่วไปแล้ว เรียกว่าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เห็นเขากินดื่มสิ่งใดนอกจากน้ำชาเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือเขาจะอิ่มทิพย์จริงๆ
วันนี้ก็เช่นกันข้ามาถึงตั้งแต่ยามเฉินจนตอนนี้ก็คล้อยบ่ายแล้ว นั่งอ่านตำราโบราณพวกนี้มาหลายวันก็เคยชินมากขึ้นทีเดียว รวบรวมข้อมูลที่คิดว่าใช้ได้ไว้ไม่น้อย ตัวจำลองนั้นคาดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะเสร็จ นักพรตลู่ผู้นี้ตั้งแต่วันนั้น ทั้งวันๆ ก็เอาแต่นั่งไสไม้ทำตัวจำลองนี้อย่างขมักเขม่น ข้าเองก็คร้านจะนั่งสังเกตเขาแล้ว จึงลากลับหมายว่าวันนี้จะไปหาสินค้าใหม่ๆ มาขายเพิ่มเติมเตรียมไว้สำหรับงานปีใหม่เดือนหน้า
เดินออกมายังไม่ก้าวพ้นประตูจวนก็นึกได้ว่าลืมกล่องข้าวเอาไว้ จึงย้อนกลับไปยังโรงเก็บไม้ ครานี้กลับได้เห็นสิ่งที่เฝ้าสงสัยอยู่หลายวัน
นักพรตลู่ในอาภรณ์เขียวมรกตที่ถูกรวบขึ้นให้สะดวกต่อการทำงาน กับผมที่มวยต่ำไว้แบบหลวมๆ นั่งชันเข่าอยู่บนขอบหน้าต่างห้อง มองทิวทัศน์ภายนอก แกะถั่วเข้าปากแกล้มชา เดิมทีนี่ก็ควรเป็นภาพธรรมดาทั่วไปภาพนึง ทว่าทุกสิ่งกลับเหมือนดั่งสวรรค์จงใจปั้นแต่ง แสงนวลยามเหมันต์ช่วยขับเน้นผิวเนียนละเอียดของเขาให้กลับยิ่งวาวระยับผ่องใสราวกับหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่น สายลมอ่อนพัดพาอาภรณ์พลิ้วไหวบางเบา ทุกสิ่งสะท้อนให้เห็นความงดงามไร้ที่ติ ใบหน้าสวยรับกับรูปร่างเพรียวระหง ดูแล้วช่างระรื่นใจยิ่งนัก ข้ายืนมองอยู่อย่างเพลิดเพลินลืมตัว ลืมความตั้งใจเดิมของตนไปเสียแล้ว
“เหลียนเออร์”
ความคิดเห็น