ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #15 : เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 67


    คงเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับลงได้ก็ดึกมากแล้ว เช้านี้จึงตื่นสาย ตื่นมาก็ปลายยามเฉินแล้ว เตรียมตัวอย่างรีบร้อนมายังจวนราชครู ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน ยามนี้นั่งอ่านตำรามากมายที่นักพรตลู่เอามากองไว้ให้ ล้วนแล้วแต่เป็นตำราโบราณอ่านเข้าใจยาก ใช้พละกำลังสมองข้ามากเกินไปโดยแท้ ทำเอาท้องข้าส่งเสียงร้องโครกครากไม่หยุด เช่นนี้จะเอากำลังที่ไหนมานั่งเรียนกันเล่า

    ข้างอตัวเอาหัววางลงบนโต๊ะ พลิกหน้าหันออกไปทางประตู ทันใดนั้นนักพรตลู่ผู้นั้นก็เดินเข้ามาในห้อง ข้ารีบลุกนั่งทันที

    “เรียนวันแรกก็เกียจคร้านเสียแล้วหรือ”

    พูดจาถากถางกันเช่นนี้ เหตุใดไม่ยอมเข้ามาตอนที่ข้าหิ้วท้องตั้งใจอ่านตำรากันเล่า

    “ตามข้ามาเถิด”

    ยังไม่ทันที่ข้าจะตั้งสติให้ดี เขาก็เพียงเอ่ยประโยคนั้นและเดินออกจากห้องไป ข้าเองก็รีบลุกเดินตามไปทันที เดิมทีข้าคิดว่าตนเองเป็นคนเดินเร็วมากแล้ว ทว่าคนผู้นี้กลับเหนือกว่าข้าอยู่หลายขั้น ข้าเดินตามเขา สับเท้าเร็วจนแทบจะกลายเป็นวิ่งอยู่แล้วก็ยังแทบจะตามไม่ทัน เส้นทางที่เขาเดินนำข้ามายิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเห็นเขาเลี้ยวไปที่หัวมุมข้างหน้า ทว่าเมื่อเลี้ยวตามมาก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว ทางข้างหน้านี้เป็นสี่แยก แล้วข้าควรเดินไปทางใดเล่า ส่องซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน

    ข้ายืนทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ท้องก็หิวสมองก็ตื้อยังต้องมาเดินตามคนพิลึกเช่นนี้อีก มันบาปกรรมอะไรของข้ากันนะ ให้ข้าไปนั่งตรวจบัญชีทั้งวันทั้งคืนยังจะดีเสียกว่า

    “เจ้าทำอะไรอยู่”

    เจ้าปัญหาโผล่หน้าส่งเสียงดังมาจากสุดทางแยกซ้ายมือ แล้วข้ามีทางเลือกใดหรือ ก็ได้แต่เดินตามเขาไป นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดข้าเกลียดการติดหนี้บุญคุณที่สุด เพราะเมื่อติดหนี้แล้วก็จะเหมือนมีโซ่ตรวนล่ามข้อเท้า เขาให้ไปซ้ายก็ต้องไป ไปขวาก็ต้องไป ใช้หนี้ไม่หมดสิ้น

    เดินตามมาจนสุดทางก็ถึงห้องโถงหนึ่งเป็นโรงเก็บไม้กว้างราวสิบจั้ง ภายในบรรจุท่อนไม้ที่ถูกตัดเป็นเสากลมขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน อุปกรณ์งานไม้มากมายถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบวางไว้ทางมุมขวา ริมในสุดของห้องดูเหมือนจะมีการกั้นแยกไว้อีกห้องหนึ่งด้วยผ้าม่านบางสีแดงสะดุดตา

    นักพรตลู่ยืนอยู่หน้าผ้าม่านริมสุดห้องนั่น ยามนี้อาภรณ์สีขาวนวลตัดกับผ้าม่านสีแดงชาด ยิ่งขับให้ตัวเขาดูโดดเด่น ลมอ่อนพัดให้เรือนผมสีดำขลับของเขาพลิ้วลอย ช่างงดงามดั่งภาพวาดลือชื่อ ใจข้าที่คิดว่าวันนี้สงบลงมากแล้ว ยามนี้กลับเต้นโครมครามไม่หยุด ความรู้สึกทั้งหวั่นไหวทั้งหวาดหวั่นนั่นกลับมาอีกแล้ว

    “เจ้ายืนรออะไรอยู่ เดินมาทางนี้เถิด”

    ข้าเดินตามเสียงเรียกของเขาไปอย่างว่าง่าย เดินตรงไปริมสุดโถง มือขวาปัดเปิดผ้าม่านสีแดงนั้นตามเขาเข้าไปด้านใน

    เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องตกตะลึง ภายในห้องที่กั้นด้วยผ้าม่านนี้ มีของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ จะเรียกว่าเกี้ยวก็ไม่ใช่กรงก็ไม่เชิง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ภายในกว้างพอให้คนนั่งอยู่ได้คนหนึ่ง มีฐานเป็นแปดเหลี่ยม ชั้นนอกสุดเป็นเสาแปดเหลี่ยมค้ำยันอยู่ทั้งแปดมุม ชั้นกลางเป็นกล่องแปดเหลี่ยมสามชั้นที่ซ้อนกันแล้วดูคล้ายกับทรงกลม ตรงกลางกลับยังมีน้ำเต้าไม้วางอยู่อีกอันหนึ่ง ของพิลึกพิลั่นนี้คืออะไรกัน

    “แท้จริงแล้วที่ข้าทูลขออนุญาตจากท่านอ๋องให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า” นักพรตลู่พูดทิ้งไว้เพียงเท่านั้น ก็เดินไปเก็บรวบผ้าม่านเหล่านั้น ปล่อยให้แสงส่องผ่านเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งตรงหน้าชัดเจนขึ้น ที่แท้ตามเสาแปดเหลี่ยมเหล่านี้ถูกแกะสลักลวดลายและอักษรเอาไว้ แต่ก็มิได้เสร็จสมบูรณ์

    “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเจ้า ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเหมือนกันกับข้า จะต้องเป็นผู้สามารถช่วยข้าให้ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จเป็นแน่ เจ้าเองก็รู้สึกว่าต้าเหลียนนี้ดูคุ้นตาใช่หรือไม่”

    ข้าพยักหน้าน้อยๆ ตอบเขา ขณะที่สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่ของสิ่งนั้น แม้ในคราแรกอาจจะรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่าคุ้นเคยกับของสิ่งนี้อย่างมาก

    “ข้ามักเห็นสิ่งนี้ในนิมิตบ่อยครั้งตั้งแต่เยาว์วัย จึงค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาทีละชิ้นทีละส่วนด้วยมือของตนเอง ทว่าเมื่อมาถึงส่วนของรายละเอียดลวดลายอักษรกำกับเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร หลังจากพบเจ้าวันนั้นนิมิตก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ลวดลายเหล่านี้ก็ทำขึ้นมาได้บางส่วนแต่ก็ไม่สมบูรณ์ ต้าเหลียนตัวนี้เมื่อเสร็จแล้วจะสามารถบันดาลสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นได้ไม่รู้จบ หวังเพียงว่าเจ้าจะช่วยข้าทำมันให้เสร็จสมบูรณ์”

    ข้าหยุดสายตาที่จดจ่ออยู่กับต้าเหลียนนั่นหันกลับไปมองเขา แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวังเปล่งประกาย แม้ไร้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับรู้สึกถึงความไว้วางใจที่เขามีต่อข้าอย่างแท้จริง กระนั้นข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะช่วยเขาได้ เพียงแต่ด้วยสายตาของเขาเช่นนี้จะให้ข้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน จึงเผลอพยักหน้าตอบรับเขาไปอย่างไม่รู้ตัว

    “ในใต้หล้านี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เหมือนกันกับข้า เข้าใจกันและกัน” เขาเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ ใจข้ากระตุกวูบไหว เหตุใดรอยยิ้มนี้กลับซ่อนไว้ด้วยความหม่นเศร้าเพียงนั้นกันนะ กิริยาเหล่านี้ของเขาทำให้ความเข้มแข็งมั่นคงทั้งหมดในใจข้ามลายลงต่อหน้าเขาสิ้น ไม่รู้เพราะเหตุใดข้าเองเมื่อมองลึกลงในนัยน์ตาคู่นี้ให้รู้สึกว่าเขาคือคนเพียงผู้เดียวในใต้หล้านี้ที่เข้าใจข้าได้อย่างแท้จริง

    ‘จ๊อกกก’

    เสียงนี้ดังซะจนทั้งข้าและนักพรตลู่หลุดออกจากภวังค์ ตาโตตกตะลึงกันทั้งคู่ เจ้าท้องบ้านี่ ทำไมต้องร้องเสียงดังน่าขายหน้าออกมาตอนนี้ด้วยนะ

    “เจ้าหิวหรือ”

    ข้าค่อยๆ พยักหน้าตอบอย่างกระดากอาย ขายหน้าจริงแท้ “ท่านอาจารย์พอจะให้ข้ายืมครัวหน่อยได้มั้ยเจ้าคะ”

    เขาเงียบครุ่นคิดไปครู่นึงจึงตอบว่า “ได้สิ”

    ข้าเดินตามเขาไปยังห้องครัว จวนแห่งนี้ลึกลับกว้างขวาง ตัวข้าภาคภูมิใจเรื่องความสามารถในการจำเส้นทางมาเสมอ ทว่ากับจวนราชครูแห่งนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะจำเส้นทางได้จนหมด

    เดินลัดเลาะไปมาในที่สุดก็มาถึงห้องครัว ห้องครัวนี้กว้างขวางพื้นที่ใช้สอยก็มาก ทว่าเมื่อพูดถึงเครื่องครัวแล้วกลับโล่งกว้างว่างเปล่าแทบจะไม่มีอะไรเลย ข้าเดินสำรวจหาของที่พอจะเอามาทำอะไรกินได้กลับเจอแต่ถั่วกับน้ำตาล

    “ที่นี่มีของอยู่เพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ”

    เขาแค่พยักหน้าช้าๆ หน้าตาไม่บอกอารมณ์

    “นี่พวกท่านในเรือนนี้ใช้ชีวิตกันอย่างไรเจ้าคะ ของกินติดครัวก็ไม่มี” ข้ากล่าวออกไปด้วยความโมโห หางตาเหลือบไปเห็นท่าทีปั้นหน้าไม่เป็นของนักพรตลู่แล้วก็ให้รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ทว่ายามนี้ข้าเองท้องหิวจนวิงเวียนหน้ามืดไปหมด พอเห็นว่าจวนใหญ่ขนาดนี้ทั้งครัวกลับมีของอยู่แค่นี้ก็ให้อารมณ์เสียอยู่จริงๆ

    “มีขนมที่เจ้าเอามาให้เมื่อวานอยู่ เจ้าพอจะรองท้องไปก่อนได้หรือไม่” ได้ยินประโยคนั้นข้าก็ตาลุกวาวพยักหน้ารับแทบไม่ทัน

    จากนั้นทั้งข้าและนักพรตลู่ก็เดินตามกันกลับมายังห้องตำรา กล่องขนมถูกหยิบออกมาจากตู้หลังโต๊ะของเขา ดูเหมือนว่ามันจะถูกเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ทันทีที่กล่องถูกวางลงตรงหน้า ข้าก็รีบเปิดออกอย่างไม่รีรอ ขนมพวกนั้นยังถูกเก็บไว้เต็มกล่องแทบจะไม่พร่องไปเลย ข้ารีบหยิบขึ้นมาเต็มสองมือใส่มันเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ขนมฝีมือข้านี้ไม่เคยรู้สึกว่ามันรสชาติดีเพียงนี้มาก่อนเลย

    ข้าหยิบใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าจนเกือบจะหมดกล่อง อาการตาลายเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา พอความโมโหหิวหายไปสติก็กลับมา ดูเหมือนข้าจะเสียมารยาทกินของเยี่ยมคารวะอาจารย์ไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ครานี้ควรทำเช่นไรดีล่ะ

    เหลียนเหลียงเอ๋ย เหลียนเหลียง ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าอาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้กันนะ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปสู้เขาล่ะนี่

    ข้าได้แต่ลอบเงยหน้าจากกล่องขนมทีละนิด ขณะนั้นเองที่ข้าได้สบตากับเขาอีกครั้ง นักพรตลู่นั่งเอามือเท้าแก้มมองมายังข้าด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจจากโต๊ะหนังสือของเขา รอยยิ้มนี้ช่างเปี่ยมด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ มีคนมากน้อยเพียงไหนกันนะที่ได้เห็นรอยยิ้มที่งดงามเช่นนี้ แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น ทันทีที่ข้าและเขาสบตากัน เขาก็เปลี่ยนอิริยาบถไปจดจ้องตำราตรงหน้า ทำเอาข้าเกือบคิดไปว่าภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นข้าละเมอฝันกลางวัน ทว่าใจข้ารู้ดีรอยยิ้มนั้นมิใช่ความฝันแน่นอน

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×