ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #14 : เยว่จี่ผลิดอก

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 67


    ผ่านมาอีกสองสามวันก็มีเทียบเชิญจากจวนราชครูเชิญข้าไปเยือนสักครั้ง ความจริงตลอดหนึ่งปีมานี้เทียบจากจวนราชครูข้าได้รับเป็นครั้งที่สี่แล้ว ทุกครั้งข้าล้วนทำเป็นเมินเฉยไม่ใส่ใจ ยังคงจดจำคราแรกที่พบนักพรตลู่ผู้นี้ได้ อาการปวดกลางอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ความรู้สึกหวาดหวั่นและหวั่นไหวทุกคราที่สบตาเขา นั่นทำให้ข้าหวั่นเกรงจนจับใจที่จะต้องพบเจอกับคนผู้นี้อีกครั้ง ทว่ารับสั่งของท่านอ๋องที่ให้ข้าเป็นศิษย์ของเขาก็ยังคงอยู่จะขัดรับสั่งก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงทำเป็นเมินเฉยไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น คอยหลบหน้ามาเป็นแรมปี แต่ครานี้ต่างออกไป ยามนี้เขาคือผู้มีพระคุณ จะด้วยคุณธรรมหรือหน้าที่ก็ควรไปคารวะเขาสักครั้ง ทรัพย์ที่เขาให้ยืมมาก็ยังเหลืออีกกว่าร้อยตำลึงก็ถือเอาโอกาสนี้นำไปคืนเขาเสียเลย และจะได้คุยเรื่องสัญญากู้ยืมด้วย

    ทว่าเมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ตำแหน่งราชครูของเขามีทรัพย์สินมากมายเพียงนี้เลยหรือ ถึงสามารถมอบเงินห้าร้อยตำลึงทองให้ข้าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ดูท่าแล้วจะร่ำรวยทัดเทียมกับเสนาบดีอย่างฟ่านหลีเลยกระมัง ไม่สิอาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ

     

     

    วันรุ่งขึ้นข้าจัดแจงเตรียมขนมห่อหนึ่งไปเยี่ยมคารวะนักพรตลู่ และให้คนงานชายอีกสองคนยกหีบเงินที่เหลือไปกับข้าด้วย

    มาถึงจวนราชครูก็ต้องแปลกใจ ที่นี่เงียบสงัดวังเวงราวกับร้างไร้ผู้คน กำแพงสูงหนึ่งจั้งมองเข้าไปเห็นแต่ยอดไผ่สูงลิบ ประตูจวนบานใหญ่ดำทมิฬปิดสนิทดูราวกับไม่ได้เปิดใช้งานมานาน คำเล่าลือที่ว่านักพรตลู่ผู้นี้ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใดทั้งสิ้น ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

    ข้าเดินเข้าไปเคาะประตูสองครั้ง ประตูหนาหนักนั่นก็ดังเอี๊ยดอ๊าดเปิดออกทันที

    คนที่โผล่หน้าออกมาจากประตูคือบ่าวคนเดิมที่นำหีบเงินไปให้ข้าเมื่อวันก่อน เขาประสานมือน้อมคารวะ ก่อนจะผายมือออกเป็นการเชื้อเชิญ “คุณหนูเชิญขอรับ”

    ข้าเดินตามเขาเข้าจวนไป ทว่าเมื่อคนงานที่มาด้วยจะเดินตามมากลับถูกบ่าวจวนนี้ขวางไว้ ข้าเพียงหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เขารออยู่ด้านนอก จวนนี้ดูท่าจะไม่รับแขกมานานโดยแท้ บ่าวรับใช้ถึงหน้าตาไม่เป็นมิตรเช่นนี้ ข้าเจอพวกเขาสองครั้ง นอกจากใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์แล้วก็ไม่เคยเห็นพวกเขาแสดงสีหน้าอื่นใดเลย

    จวนแห่งนี้กว้างขวางทว่ากลับเงียบเหงาอึมครึม นอกจากบ่าวที่เดินนำทางข้าอยู่ก็ไม่เห็นใครอื่นอีก เครื่องเรือนต่างล้วนเรียบง่ายไม่หรูหรา แม้จะดูอึมครึมไปบ้าง แต่ก็มีระเบียบสะอาดสะอ้านได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดูแล้วเป็นเรือนแบบที่ข้าชอบจริงๆ ทว่าสถานที่นี้ช่างแปลกประหลาดทั้งทำให้ข้ารู้สึกสงบใจและทำให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน ราวกับกำลังกลับบ้านที่มิได้กลับมาแสนนาน ทั้งดีใจทั้งหวาดหวั่น

    เดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ บ่าวคนนั้นก็หยุดลงหน้าห้องหนึ่ง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยออกมาจากในห้อง แล้วบ่าวคนนั้นก็ผายมือนำให้ข้าเดินเข้าไป

    เมื่อเดินเข้ามาก็พบนักพรตลู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวนวลที่สวมคลุมไว้หลวมๆ นั่งอ่านตำราอยู่บนโต๊ะในสุดของห้อง เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาชัดๆ โดยมิได้สบตากัน ช่างแตกต่างกับตัวเขาในชุดนักพรตเคร่งครัดที่ข้าเคยพบโดยแท้ ภาพตรงหน้านี้ทำเอาหัวใจข้าเต้นระรัว ใบหน้าร้อนผ่าว ลำคอแห้งผากจนเผลอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ในท้องรู้สึกปั่นป่วนอย่างประหลาด ศีรษะก็เริ่มวิงเวียนตามมา ข้ากะพริบตาเร็วๆ ไล่ความสับสนออกไป เรียกสติของตนเองกลับคืนมา ยกมือขึ้นประสานน้อมคารวะลง

    “คารวะ ท่านราชครูลู่เจ้าค่ะ”

    “ถ้าเจ้าหิวน้ำโต๊ะข้างๆ นั่นมีน้ำชาอยู่ เจ้าก็ดื่มซะสิ” เขาพูดกับข้าโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นจากม้วนตำราด้วยซ้ำ

    ข้าเองก็ได้แต่ทำตามคำกล่าวของเขา เดินไปรินน้ำชาดื่มหนึ่งจอกและนั่งลงที่โต๊ะข้างห้องนั่น

    “วันนี้ข้านำขนมที่ทำเองมากล่องนึงเจ้าค่ะ ตั้งใจมอบให้เป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือในครานี้ หวังว่าท่านจะรับไว้”

    “เงินพอหรือไม่” เขาเอ่ยออกมาทั้งยังคงไม่เงยหน้ามามองข้า

    ข้าที่สติล่องลอยเพราะมัวแต่มองเขาอย่างไม่อาจละสายตาราวกับตกอยู่ในภวังค์ รู้ตัวอีกทีหูก็ดับจำความไม่ได้ว่าเขาเอ่ยอะไรออกมา

    “อะไรนะเจ้าคะ”

    “เงินที่ให้ไปเจ้าใช้พอหรือไม่”

    ทำไมรูปลักษณ์ยามอ่านตำราของเขานี้ช่าง... งดงาม

    “พอเจ้าค่ะ เหลืออีกร้อยกว่าตำลึง วันนี้ข้านำที่เหลือมาคืนด้วย และหมายจะคุยกับท่านเรื่องสัญญากู้ยืมเงินจำนวนที่ข้าได้นำไปใช้ครานี้เจ้าค่ะ”

    “ไม่ต้องหรอก ที่เหลือเจ้าก็เก็บไว้เถอะ” น้ำเสียงราบเรียบนี้ของเขากลับทำให้ใจข้ายิ่งสั่นหวั่นไหว

    “จะได้อย่างไรเจ้าคะ เงินมากมายเช่นนี้ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร”

    “เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าจ่ายเงินจ้างเจ้าก็แล้วกัน”

    “จ้างข้า? จ้างทำอะไรเจ้าคะ”

    ในที่สุดเขาก็เงยหน้าจากตำราเหล่านั้น ยกมือขึ้นเท้าแก้มมองตรงมายังข้า “จ้างให้เจ้ามาเป็นศิษย์ข้า พอจะได้หรือไม่ คุณหนูเหวิน”

    สายตาที่มองมานี่ของเขายิ่งทำให้ใจข้าเต้นโครมคราม ใบหน้าร้อนผ่าว มือไม้ไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ใด ได้แต่ก้มหน้าหลบตาเขา คำพูดประโยคนี้ของเขาคงตำหนิข้าที่หลบหน้าเขาอยู่แรมปี ไม่ยอมมาคารวะเขาเป็นอาจารย์ตามรับสั่งของท่านอ๋อง ข้าเองยามนี้ก็มิรู้ว่าควรจะตอบคำกล่าวนี้เช่นไรโดยแท้

    “หากเจ้าไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นข้านับว่าเจ้ารับปากแล้วกัน” เขาเงียบไปครู่หนึ่งจนข้าต้องเงยหน้าขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็พบว่าเขายังคงจ้องมองตรงมายังข้าอยู่เช่นนั้นไม่แม้แต่จะหลบตาเลยด้วยซ้ำ ลำคอข้าแห้งผากยิ่งกว่าเดิมได้แต่รีบรินน้ำชาซดเข้าไปอีกสองจอก

    “ดูท่าคุณหนูเหวินวันนี้จะไม่สบาย เช่นนั้นก็กลับไปเสียก่อนเถิด พรุ่งนี้ยามซื่อค่อยมาเริ่มเรียนที่นี่”

    สิ้นคำเขา ข้าก็รีบลุกขึ้นก่อนจะต้องอับอายต่อหน้าเขาอีกรอบ ยืนได้มั่นคงก็รีบประสานมือคารวะ “เช่นนั้นข้าขอลาเจ้าค่ะ ท่านนักพรตลู่” กล่าวจบก็ไม่เงยหน้ารีบหมุนตัวหันหลังเดินไปทันที

    “เดี๋ยวก่อน” เขาเอ่ยขึ้นแล้วเงียบไป ข้าก็ได้แต่ต้องหันกลับไปหาเขาอีกครั้ง

    “จากนี้เจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์เถอะ” ประโยคนี้ของเขากลับพูดออกมาอย่างฉะฉานเด็ดขาดไม่เหมือนประโยคก่อนหน้าเหล่านั้นที่กล่าวออกมาเหมือนไม่ยี่หระ จะสั่งสอนข้าก็ชั่งปะไร เหตุใดต้องมองมาด้วยสายตาเช่นนั้นกันนะ ใจข้าจะหลุดออกจากอกอยู่แล้ว ก็ทำได้เพียงรีบหันหลังเดินออกมาอย่างรีบร้อน ถอนหายใจแรงๆ ไปอีกหลายครั้งหวังเพียงให้ใจนี้สงบลงสักหน่อย

    ทว่าตลอดทางจากจวนราชครูกลับมาจนถึงเรือน ใจนี้กลับมิอาจสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย ตลอดทั้งวันเฝ้าทอดถอนใจนึกถึงใบหน้านั้น แววตานั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่มันเรื่องอะไรกัน ตัวข้าเป็นอะไรไป ความรู้สึกเช่นนี้คืออะไรกันแน่ รู้สึกราวกับความมั่นคงในใจข้าทั้งหมดกำลังจะแหลกสลายลงตรงหน้าคนผู้นี้ ทุกน้ำเสียงทุกประโยคของเขายังคงดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าควรทำเช่นไร เป็นอย่างที่ข้าคิดตั้งแต่แรกไม่มีผิด คนผู้นี้คือตัวอันตรายสำหรับข้าโดยแท้ แม้แต่ใจนี้ของข้า ยามนี้ก็ควบคุมไม่ได้แล้ว

    ตลอดทั้งคืนกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ เกรงว่าจะทำให้ท่านแม่ตื่นไปด้วย สุดท้ายก็ต้องเดินออกมาสงบจิตใจที่ห้องนอนของตนเอง พรุ่งนี้ยังต้องไปเจอเขาอีก ข้าควรพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้จะได้มีสติไม่แสดงท่าทางน่าขายหน้าเช่นวันนี้

    ทอดกายลงบนเตียงของตนเองที่มิได้ใช้มาเสียนาน อากาศยามค่ำคืนกลางฤดูหนาวเย็นยะเยือก แต่ทั้งกายใจข้ารุ่มร้อนดังไฟสุม กลางอกยิ่งร้อนผ่าวดั่งจะทะลุกระโจนออกมา รู้สึกโหยหาบางสิ่ง บางสิ่งที่ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด เพียงแต่ในหัวมีแต่ภาพของเขาวนไปเวียนมา ทำอย่างไรก็ไม่หายไปเสียที ทำได้เพียงกอดตัวเองให้แน่นขึ้นและแน่นขึ้น หวังเพียงความรุ่มร้อนนี้สงบลงสักหน่อย ทุรนทุรายอยู่นานสุดท้ายก็หลับลงได้เสียที



     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×