ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #13 : ส่งถ่านกลางหิมะ

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 67


    “เช็ดน้ำตาเสียหน่อยเถิด” ท่ามกลางเสียงร้องไห้สะอื้นอื้ออึงในโสตประสาทของตนเอง กลับได้ยินเสียงบุรุษเย็นเยียบเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

    ข้าปาดน้ำตามองให้ชัด ตรงหน้าคือมือที่หยิบยื่นผ้าเช็ดหน้าของผีนักพรตตนนั้น ข้านึกแปลกใจรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาด้วยความระแวดระวัง ลอบแตะสัมผัสดู มือกลับนุ่มอุ่นมีชีวิต นี่มันมือคนมิใช่หรือ ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่คาดว่าผีนักพรตนั่นกลับหันมาสบตาข้า ข้าตะลึงลาน ใจกระตุกวูบเต้นไม่เป็นจังหวะ ที่แท้ไม่ใช่ผีแต่เป็นคน!!

    ดวงตาคู่นี้ข้าไม่มีทางลืม เขาคือ ‘นักพรตลู่’ คนที่ข้าเทียวหลบหน้ามาเป็นแรมปี เช่นนั้นเรื่องราวมากมายที่ข้าเล่ามาตลอดคืนนี้ เขาได้ยินหมดแล้วน่ะสิ

    “เรื่องในใจเจ้าก็เล่าออกมาให้หมดเถิด คิดเสียว่าข้ามิได้อยู่ที่นี่แล้วกัน” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

    คิดไปมาเมื่อเป็นเขาก็ถือว่าวางใจได้ครึ่งหนึ่ง ด้วยฐานะของเขาย่อมไม่เข้ามาข้องเกี่ยววุ่นวายเรื่องในบ้านคนอื่นแน่ เรื่องในคืนนี้คงไม่เอาไปเล่าให้ใครฟัง และอีกอย่างคือแววตานั้น คราก่อนทำให้ข้าหวาดหวั่นครานี้กลับทำให้รู้สึกสบายใจ

    ช่างเถอะ ไหนๆ ก็เล่าไปมากขนาดนั้นแล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก เรื่องในใจข้านี้ยังอัดอั้นอยู่อีกมากมายก็กล่าวออกมาให้หมดเสียเลยแล้วกัน

    จากนั้นคำบอกเล่าเรื่องในใจเหล่านั้นก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุดหย่อน น้ำตาก็เช่นกัน นักพรตลู่ทำเพียงนั่งฟังเงียบๆ อยู่เป็นเพื่อนข้าเช่นนั้น กระทั่งข้าเพลียหลับไปหน้ารูปปั้นซานชิง

     

     

    “คุณหนูเหวิน ยามเหม่าแล้วเจ้ารีบกลับเรือนเถิด” ข้าถูกปลุกด้วยเสียงนิ่งเรียบนั้นของนักพรตลู่

    แสงตะวันอ่อนเริ่มส่องผ่านเข้ามาในอารามร้าง เสียงไก่ขันบอกยามรุ่งอรุณ ข้ารวบรวมสติได้ก็ตระหนักถึงสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืนอย่างไร้สติยับยั้ง เรื่องในบ้านเช่นนี้ยังเอามาเล่าให้คนนอกฟังได้อีก น่าขายหน้านัก ข้ารีบน้อมคารวะเขาครั้งนึงแล้วหลบออกมาอย่างเงียบๆ หวังว่าเรื่องในคืนนี้เขาจะไปเอาไปเล่าให้ใครฟัง สำคัญคือฟ้าสว่างถึงเพียงนี้แล้ว ข้าคงต้องรีบกลับบ้านก่อนท่านแม่จะรู้ว่าข้าหายไป

    เมื่อกลับถึงเรือนก็เป็นไปตามคาดท่านแม่ตื่นแล้ว ทว่ากลับมิได้ตื่นตกใจที่ข้าไม่อยู่ ตรงกันข้ามกลับดูสงบยิ้มแย้มเดินเข้ามาถามข้า

    “กลับมาแล้วหรือลูก”

    ข้าเพียงพยักหน้าตอบ

    “ถ้างั้นก็มานั่งกินข้าวเถอะ วันนี้แม่ตื่นมาเตรียมอาหารให้เจ้าไว้ตั้งแต่รุ่งสางแหนะ”

    ข้ามองไปบนโต๊ะมีกับข้าวอยู่สามสี่อย่างล้วนเป็นของโปรดข้าทั้งสิ้น เดิมทีข้าก็ไม่ได้หิวอะไร แต่เมื่อได้กลิ่นอาหารของท่านแม่ในท้องก็ปั่นป่วนตีกันจนเสียงดังออกมา ยามนี้ก็นับว่าหิวขึ้นมาแล้วจริงๆ

    นั่งลงจับตะเกียบคีบกับข้าว กลืนคำแรกก็รู้สึกคล้ายมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ อาหารฝีมือท่านแม่ยังคงเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเสมอไม่เคยเปลี่ยน เคี้ยวไปก็พยายามฝืนกลืนเอาก้อนที่จุกลำคอนั่นลงไปด้วย กินคำที่สองก็ให้รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาน้อยๆ ยังคงพยายามจะเก็บกลืนทุกอย่างกลับลงไป กินคำที่สามนัยน์ตาก็ร้อนผ่าว น้ำใสนั่นที่คิดว่าใช้หมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนกลับยังร่วงหล่นลงมาอีกครา จากนั้นตัวข้าก็กลายเป็นภาพไม่น่าดู มือนึงถือชามข้าวอีกมือปาดน้ำตา จนกลายเป็นกินน้ำตาต่างข้าวไปเสีย

    “กินเยอะๆ หน่อย” ท่านแม่เอ่ยขึ้น มือนึงลูบเช็ดน้ำตาให้ข้า อีกมือนึงก็คีบปลาป้อนข้า สุดท้ายแล้วก็เป็นท่านแม่ที่รักข้าที่สุด หวงแหนข้าที่สุด เข้าใจข้าที่สุด และก็เช่นกันท่านแม่คือคนที่ข้ารักที่สุด หวงแหนที่สุด เป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตข้า

    ตั้งแต่ข้าเกิดมา ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีเพียงข้าและท่านแม่ เพื่อนางแล้วเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาจะยากเย็นเพียงใดก็ล้วนผ่านมาได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน คิดได้ดังนั้นข้าก็หยุดปาดน้ำตา รีบกินข้าวคำใหญ่ ต้องเติมท้องให้เต็มสมองถึงจะมีกำลังคิดแก้ไขสถานการณ์ เมื่อมีท่านแม่อยู่ย่อมไม่มีเรื่องใดที่จะผ่านไปไม่ได้

    “ท่านแม่ ข้าขอข้าวเพิ่มอีกชามได้หรือไม่เจ้าคะ” ข้าวในชามหมดลงอย่างรวดเร็ว อาหารบนโต๊ะที่ท่านแม่ตั้งใจทำให้นี้ ข้าจะกินให้หมดไม่ให้เหลือเลย

    ท่านแม่ไม่รอช้าตักข้าวให้ข้าอีกชามอย่างกระตือรือร้น นางมักทำเช่นนี้เสมอ เมื่อใดก็ตามที่ข้าอารมณ์ไม่ดีหรือมีเรื่องไม่สบายใจ จะเตรียมของโปรดให้ บางครั้งก็ของคาวบางคราก็ของหวาน แต่จะคาวหรือหวานข้าก็ชอบทั้งนั้น ท่านแม่นับว่ารู้ใจข้าที่สุด ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องให้กังวลถ้าได้กินของอร่อยท้องอิ่ม สมองข้าก็จะแล่นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเรือสมุทรเสียอีก ครั้งนี้ข้ากินจนหมดทุกหยดโดยแท้ ยกชามน้ำแกงเป็ดซดลงคอจนหยดสุดท้าย เมื่อกินจนอิ่มหนำแล้วก็ถึงเวลาจัดการปัญหาตรงหน้านี้เสียที

    ทันทีที่ข้ายกชามน้ำแกงลงจากใบหน้า เจียวจูก็เดินเข้ามาทันทีเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ มีคนจะขอพบเจ้าค่ะ” 

    “ใครกัน” ข้าเอ่ยถาม

    “เป็นบ่าวชายสองคนเจ้าค่ะ ไม่ยอมบอกว่ามาจากที่ใด อยู่ๆ ก็มาเคาะประตูหลังจวน แจ้งเพียงว่านำของมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ ข้าไม่คุ้นหน้าไม่กล้าให้เข้ามา เลยให้รออยู่นอกประตูเจ้าค่ะ”

    ฟังเจียวจูกล่าวมาแล้วก็แปลกนัก ในเมืองนี้นอกจากฟ่านหลีแล้วยังมีใครรู้อีกว่าหากจะหาข้าที่จวนนี้ต้องมาประตูหลัง ทว่าหากเป็นบ่าวจวนฟ่านหลี เจียวจูจะไม่คุ้นหน้าได้อย่างไร ขนของมาให้ข้าทุกเดือนมาเป็นปีๆ แทบจะกลายเป็นคนเรือนนี้แล้วเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วคงต้องไปดูเสียหน่อย

    ว่าแล้วข้าก็ลุกจากโต๊ะกินข้าวเดินไปที่ประตูหลังจวน เปิดออกไปก็เจอบ่าวชายสองคนหน้าไม่คุ้น ยืนถือหีบไม้ไว้คนละใบ

    “พวกเจ้าเป็นใครกัน” ข้าเอ่ยถาม

    “นายท่านให้นำของสองหีบนี้มาส่งให้คุณหนูใหญ่สกุลเหวินขอรับ” บ่าวพวกนี้กลับเลี่ยงจะตอบคำถามข้า เพียงพูดในสิ่งที่ตนต้องการ

    “เช่นนั้นนายของพวกเจ้าเป็นใคร” ทำลับๆ ล่อๆ ชื่อแซ่ไม่เอ่ยถึง คนผู้นี้เป็นใครกันแน่

    บ่าวคนหนึ่งวางหีบลงล้วงหยิบถุงผ้าไหมสีขาวเล็กๆ ใบนึงจากแขนเสื้อส่งให้ข้า “นายท่านกล่าวว่าเมื่อคุณหนูเห็นของสิ่งนี้ก็จะเข้าใจเองขอรับ”

    ข้ารับเอาถุงผ้าไหมใบนั้นมาเปิดดู ข้างในมีแหวนหยกแดงวงหนึ่งหยิบออกมาดูก็พบว่าคือแหวนหยกแดงวงนั้นของข้า ยามนั้นจึงเพิ่งรู้ตัวว่าแหวนที่ควรอยู่บนนิ้วตนเองกลับหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

    เมื่อวานตลอดทั้งวันไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแหวนนี้ก็ไม่ได้ถอดออกแม้แต่ครั้งเดียว คิดย้อนไปมาเกรงว่าคนผู้นี้คงเป็นนักพรตลู่ เมื่อคืนอาศัยตอนข้าหลับถอดแหวนเก็บไว้ เพราะเป็นเขาถึงรู้ว่าข้าอยู่ที่เรือนเล็กหลังจวน และเพราะเป็นเขาถึงไม่สะดวกให้บ่าวเอ่ยนาม

    ข้าเดินออกไปเปิดหีบออกดูก็พบว่าทั้งสองหีบบรรจุเงินตำลึงทองเต็มหีบ ดูคร่าวๆ แล้วทั้งหมดนี้รวมกันคงไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตำลึงทอง คนผู้นี้นี่ช่างใจกล้าจริงๆ เงินมากมายขนาดนี้ให้บ่าวถือมาแค่สองคน บ่าวสองคนนี้ก็เหมือนกันของหนักขนาดนี้ถือกันได้หน้าตาเฉย

    เดิมทีสิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดคือการหยิบยืมน้ำใจผู้อื่น คนบนโลกนี้มิมีผู้ใดทำเรื่องดีโดยไม่หวังผล ทว่านักพรตลู่ส่งของมาครั้งนี้ก็เหมือนส่งถ่านกลางหิมะโดยแท้ เวลากระชั้นชิดอีกไม่ถึงสองวัน จะหาเงินจำนวนนี้จากทางอื่นไม่ง่ายดายจริงๆ ครานี้ข้าคงต้องจำใจรับเงินก้อนนี้ไว้ก่อนเสียแล้ว

    ตรองได้ดังนี้ก็ให้บ่าวทั้งสองคนยกหีบไปเก็บไว้ที่เรือน เงินจำนวนนี้มากพอให้ใช้แก้ปัญหาได้สบายๆ จบเรื่องแล้วคงต้องมีเหลือแน่ ยามนั้นค่อยเอาไปคืนแล้วคุยเรื่องสัญญากู้ยืมกับนักพรตลู่แล้วกัน ปัญหาเรื่องเงินก็คลี่คลายแล้ว ที่เหลือก็คือปัญหาเรื่องสินค้า ไม่รู้สองวันที่ผ่านมานี้ลูกน้องข้าจะรวบรวมของมาได้มากแค่ไหนครบถ้วนหรือไม่ เช่นนั้นยามนี้ก็ควรจะไปโกดังตรวจดูเสียหน่อย

    ก่อนออกไปข้ายังกำชับเจียวจู ให้เงินไปหนึ่งก้วน ให้ไปตลาดซื้อของมาทำอาหารให้มากหน่อยขนไปที่โกดัง ลูกน้องเหล่านั้นสองวันมานี้ก็คงเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายไม่ต่างกับข้า พวกเขาทุ่มเททำงานให้ข้าก็ต้องให้พวกเขาได้กินดีอยู่ดีเช่นเดียวกัน

    เมื่อมาถึงโกดัง อาโยวกับคนงานอื่นช่วยกันจัดหาของตามรายการมาได้แล้วถึงเก้าส่วนอีกหนึ่งส่วนที่เหลือคงเจรจากับเจ้ากรมคลังก่อนได้ ถือว่าเกินคาดโดยแท้ที่รวบรวมมาได้มากขนาดนี้ ต้องขอบคุณพวกเขาที่ช่วยเหลือข้าอย่างสุดกำลัง แม้ของที่ได้มาอาจไม่ตรงตามรายการเดิมอย่างสมบูรณ์แต่ก็ถือว่าเหมือนอยู่แปดเก้าส่วน จึงให้เงินรางวัลตอบแทนพวกเขาไปคนละเล็กละน้อย จัดการทุกเรื่องเรียบร้อยแต่ก็ยังไม่อาจวางใจ วันรุ่งขึ้นจัดแจงส่งของทั้งหมดเข้าวังแล้วจึงถือว่าเสร็จสมบูรณ์ หายใจได้เต็มอก

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×