ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #12 : ดั่งสายฟ้าชำแรก

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 67


    เพี๊ยะ!!

    ใบหน้าแสบชาพร่าไปข้างหนึ่ง รสโลหะแผ่ซ่านในโพรงปาก ข้าถูกเขาตบเป็นครั้งที่สอง คราก่อนข้าอาจผิด แต่ครานี้ข้าไม่!!

    ข้าตวัดหน้ากลับไปมองเขาที่กล้าดีตบข้า ยามนี้นัยน์ตาลุกโชนไปด้วยโทสะท่วมท้น และคงเพราะเสียงดังเมื่อครู่ทั้งท่านแม่และท่านอาหลี่ต่างรีบวิ่งกลับเข้ามา

    “ข้าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้า ทวงบุญคุณงั้นรึ ทั้งชีวิตเจ้าก็ชดใช้ไม่หมด เจ้ามันยโสโอหัง จองหองอวดดี หากไม่มีบารมีข้าคุ้มกะลาหัว ป่านนี้เจ้าตายไปแล้ว หากวันนั้นข้าไม่ส่งเจ้าเข้าสำนักศึกษา วันนี้จะสามารถมายืนอวดดีอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” ใบหน้าเขาแดงจนเขียว ชี้หน้าข้า เอ่ยดังว่าบุญคุณที่ตนมียิ่งใหญ่ราวมหาสมุทร ที่แท้ก็แค่จะกลบเกลื่อนไม่ยอมคืนเงินข้าก็เท่านั้น

    แต่เขาพูดถึงบุญคุณมาก็ดี เช่นนั้นข้าจะให้เขารู้ว่าการทวงบุญคุณที่แท้จริงเป็นเช่นไร

    “บุญคุณงั้นหรือ บุญคุณงั้นหรือ ช่างน่าขันเสียจริง คนอย่างท่านมีหน้าอะไรมาพูดกับข้าเรื่องความกตัญญู ท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่าตำแหน่งเสนาบดีของท่านแลกมากับชีวิตคนบ้านแม่ข้ากี่ชีวิต ใครกันที่ผลักดันให้ได้ท่านรับราชการ ใครกันให้เงินท่านเล่าเรียน แล้วใครกันที่ท่านโกงกินลับหลังจนบ้านแตกสาแหรกขาด หากจะพูดถึงคนอกตัญญูอันดับหนึ่งในใต้หล้านี้ก็คือท่าน!!!”

    คำพูดของข้าเหล่านี้คงเหมือนสายฟ้าฝาดลงกลางกบาล เขาได้แต่ยืนกำหมัดตาเหลือกเถียงไม่ออก

    “เจ้า!!!” เสียงกัดฟันของเขานี้ฟังแล้วดูจะชัดกว่าเสียงพูดของเขาเสียอีก

    “พี่ใหญ่ข้าว่าวันนี้ท่านก็พอแค่นี้เถอะ” ท่านอาหลี่เอ่ยขึ้น พยายามดึงเขาออกไปจากห้อง

    เขายังหันไปเอ่ยกับท่านอาหลี่ด้วยความโกรธเกรี้ยว "เจ้าอย่ามาห้าม หากวันนี้ข้าไม่กำราบนังเด็กชั่วคนนี้ก็อย่าเรียกข้าว่าเหวินจ้ง"

    ไม่คาดว่าจากนั้นเขากลับชักดาบที่เอวของท่านอาหลี่ขึ้นมาพาดบนคอข้า หัวสมองข้าชาวาบว่างโหวง หาไม่เจอไม่รู้ว่ายามนี้มันหล่นหายไปอยู่ที่ใด ทั้งหมดนี้หาใช่เพราะกลัวตายไม่ เพียงแต่… เพียงแต่เขาเป็นพ่อของข้ามิใช่หรือ เป็นพ่อแท้ๆ ของข้า

    เดี๋ยวก่อน เหลียนเหลียง นี่เจ้าหวังอะไร คาดหวังความเป็นพ่อจากคนผู้นี้งั้นหรือ ฝันไปกระมัง

    ยามนี้ข้ายังคงวางหน้านิ่งท้าทายเขา ไม่แสดงออกถึงความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นลิ้นก็ราวกับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ชาทื่อพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

    เป็นท่านแม่ที่วิ่งเข้ามาขวางดาบนั้นไว้แทนข้า กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “หากจะทำอะไรลูกข้าก็ข้ามศพข้าไปก่อน”

    ประโยคนี้ของท่านแม่ยิ่งทำให้ข้าเจ็บจุกกลางอก ชีวิตนี้ของข้ามีเพียงท่านแม่โดยแท้

    “ท่านไปซะแล้วอย่าได้กลับมาที่นี่อีก จากนี้ความสัมพันธ์สามีภรรยาของเราขาดกัน” ประโยคเด็ดขาดนี้ของท่านแม่ ข้ารู้ว่ามันทำร้ายจิตใจนางเพียงใด ข้ารู้ดีว่าท่านแม่รอคอยคนผู้นี้มาโดยตลอด วันนี้กลับเอ่ยตัดความสัมพันธ์เพื่อข้า…

    จากนั้นท่านอาหลี่ก็ลากคนผู้นั้นออกจากเรือนไป ท่านแม่ยังเดินตามออกไปดูให้แน่ใจว่าพวกเขาไปพ้นเรือนแล้วจริงๆ

    ก่อนจะกลับมาคว้าข้าไว้ในอ้อมกอดกระชับแน่น ถามข้าอย่างตระหนกตกใจว่า “เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหนหรือไม่”

    “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ข้ารู้ดีว่ายามนี้คนที่เจ็บที่สุดคือท่านแม่มิใช่ข้า

    ท่านแม่เป็นคนยึดมั่นในรักมาก ถึงแม้ตลอดมาความสัมพันธ์ห่างเหิน แต่คำรุนแรงเหล่านั้นก็ไม่เคยหลุดออกจากปากนางแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้กลับเด็ดขาดตัดเยื่อใยแล้วจะไม่เจ็บได้อย่างไร

    มาถึงตรงนี้ข้าก็ได้แต่แสร้งทำเหมือนเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ชวนท่านแม่เข้าครัวทำขนม พูดคุยหัวเราะ ตกค่ำก็พาท่านเข้านอน เตรียมน้ำอุ่นนวดล้างเท้าให้ท่าน กลับได้คำกล่าวบทนึงจากท่านแม่

    “เหลียนเออร์ เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้น แม่รู้ว่าเจ้ามิใช่คนที่จะทำเช่นนี้โดยไร้เหตุผล คงมีบางเรื่องลำบากใจแต่ไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง แต่เอาเถอะ แม่รู้ว่าลูกสาวคนเก่งของแม่ย่อมจะจัดการทุกเรื่องได้อย่างดี ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างแม่กับพ่อเจ้า เจ้าก็อย่าได้เก็บไปใส่ใจให้เป็นทุกข์อีกเลย ถึงแม่ไม่เข้มแข็งองอาจเท่าเจ้า แต่เรื่องพวกนี้จะนับเป็นอะไร อย่าลืมสิว่าแม่คือแม่ของเจ้า เรื่องเพียงเท่านี้ทำอะไรแม่มิได้หรอก มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่แม่ใส่ใจ ลูกสาวคนดีของแม่ เจ้าคือสมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตของแม่ นอกจากนี้แม่ล้วนไม่ต้องการ”

    ข้าไม่รู้ว่าตนควรตอบรับประโยคเหล่านี้อย่างไร เมื่อกล่าวถึงเรื่องเมื่อกลางวันสมองข้าก็ยังคงมึนชา รู้เพียงว่าจะให้ท่านแม่เจอเหตุการณ์เช่นนั้นมิได้อีก

    ข้านั่งอยู่ข้างเตียงค่อยๆ กล่อมท่านแม่จนหลับไป ทว่ากลับเป็นข้าเองที่ไม่อาจข่มตาลงได้ ได้แต่เดินออกมารับลมนอกเรือน

    ในเหมันต์ฤดูยามค่ำคืนเช่นนี้อากาศหนาวขึ้นเป็นทวีคูณ ทว่าความหนาวนี้มิอาจทำให้ใจข้าสงบได้เลย ในสมองคิดวนไปเวียนมาหลากหลายเรื่องราว ทั้งเรื่องกิจการค้าขายที่ยามนี้คล้ายว่าใกล้ล่มสลาย เงินก้อนนั้นเกรงว่าจะไม่มีทางได้กลับคืนอีกแล้ว อีกสองวันจะถึงกำหนดส่งสินค้าเข้าวัง ข้าควรทำเช่นไร เรื่องท่านแม่ที่ยามนี้กลับทำให้ท่านไม่สบายใจ ต้องฝืนอยู่ในจวนนี้อย่างปวดใจ จะพาย้ายออกมา ยามนี้ทรัพย์ก็มีไม่มากพอเสียแล้ว ยังมีเรื่องคนผู้นั้นที่คิดจะฆ่าข้า เพื่อเงินก้อนหนึ่งเขาถึงกับต้องการจะสังหารข้า เรื่องทั้งหมดนี้บีบรัดใจข้าจนอึดอัดยากจะรับไหวแล้วโดยแท้ เพียงต้องการที่สักที่ คนสักคน ที่จะระบายบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในใจนี้ออกมาได้บ้าง

    คิดกลับไปกลับมา ในยามนี้คนที่ข้าจะพูดด้วยได้มากที่สุดคงมีแต่ฟ่านหลี ตรองแล้วก็หยิบเสื้อคลุมตัวหนาเดินออกจากเรือนกลางดึกเพียงลำพัง

    เดินมาเรื่อย ๆ กระทั่งถึงหน้าจวนเสนาบดีฟ่าน ทว่าเมื่อมาถึงแล้วกลับไม่กล้าเคาะประตู อย่างไรฟ่านหลีก็มีตำแหน่งเสนาบดี เรื่องการค้าที่มีปัญหาจะเอ่ยให้เขารู้ได้อย่างไร ด้วยนิสัยของเขาต้องยื่นมือเขามาช่วยเหลือแน่ หากเป็นเช่นนั้นมิเท่ากับข้ากับเขาร่วมมือกันทุจริตหรอกหรือ แม้ว่าหากเขาไม่ได้ช่วย เรื่องนี้คงทำให้ข้าและเขาภายหน้าไม่สนิทใจในการค้าขายเป็นแน่ เช่นนั้นมิสู้ให้เขาไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า

    จึงทำได้เพียงเดินหันหลังกลับออกมาจากไปอย่างเงียบๆ แล้วกับใจที่หนักอึ้งนี้ ข้าควรทำอย่างไรดี ได้เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปอย่างไร้จุดหมาย หวังเพียงให้ลมหนาวในค่ำคืนนี้ช่วยให้ภาระในใจข้าเบาบางลงบ้าง ลำคลองมากมายในเมืองที่มักดูคึกคักอยู่เสมอในยามกลางวัน ยามนี้กลับมีเพียงข้าเดินเลียบอยู่ริมคลองเพียงผู้เดียว เช่นนี้ก็ดี สายน้ำเอ๋ย ข้าและเจ้าคืนนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนกันเถิด

    เดินเลียบลำคลองมาเรื่อย ๆ กระทั่งมาถึงหน้าอารามร้างแห่งหนึ่ง ที่นี่มีคำเล่าลือในหมู่ชาวบ้านว่าผีดุร้ายนัก ทำให้บริเวณรอบข้างก็พลอยจะร้างไปด้วย

    ข้ายืนพิจารณาอารามนี้อยู่ครู่หนึ่งก็สังเกตเห็นแสงไฟดวงน้อยส่องสว่างอยู่ในอาราม ดึกขนาดนี้กลับยังมีแสงไฟ คงเป็นผีดังที่ชาวบ้านเล่าลือกันกระมัง พอดีเลยข้าเองก็ต้องการใครสักคนให้ข้าได้ระบายสักหน่อย เป็นผีก็ยิ่งดี เรื่องเหล่านี้ข้าเล่าให้ฟังแล้วก็ถือว่าผ่านไป ไม่มีทางไปบอกกล่าวใครต่อใครได้

    ว่าแล้วก็ผลักประตูรั้วเดินฝ่าพงหญ้ารกตามแสงไฟนั้นเข้าไปในอาราม เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็พบว่ามีบุรุษชุดนักพรตคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ประตู หันหน้าเคารพรูปปั้นบูชาซานชิง ที่แท้ผีที่ชาวบ้านเล่าลือกันก็เป็นผีนักพรตนี่เอง คิดดูแล้วก็สมเหตุสมผล ที่นี่เป็นอารามเต๋า จะเป็นผีนักพรตก็สมควรอยู่

    ข้านั่งคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นสามมหาเทพน้อมคารวะลงสามครั้ง แล้วจึงเริ่มเอ่ยถึงความในใจที่คั่งค้างอยู่มากมาย ยิ่งเล่าออกมาน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หนักเข้าข้าก็เริ่มจะมองไม่เห็นภาพตรงหน้าเสียแล้ว ม่านน้ำตานี้ช่างมากมายจนหนาทึบ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับเรื่องราวมากมายในใจข้า เล่าไปเรื่อย ๆ เรื่องราวไม่เพียงไม่น้อยลงกลับยิ่งมากขึ้นไม่หมดสิ้น กระทั่งเรื่องในวัยเยาว์ที่ข้าคิดว่าลืมไปแล้วไม่คาดว่าเรื่องเหล่านี้กลับเล่าออกมาได้อย่างลื่นไหล ยังคงจำทั้งความรู้สึกและคำพูดพวกนั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งความดีใจ เสียใจ และน้อยใจ ความอยุติธรรมทั้งชีวิต

    เล่าไปมากลับเพิ่งเข้าใจได้ว่า ที่แท้ปมทั้งหมดที่ขมวดแน่นอยู่ในใจข้า แต่ต้นจนจบล้วนผูกติดอยู่กับคนผู้นั้น คนผู้เป็นบิดา คนผู้ไม่เคยเห็นคุณค่าใดของลูกคนนี้ เพื่อเงินก้อนนึงกลับคิดสังหารลูกของตนเอง สำหรับข้าเงินพวกนั้นนับเป็นอะไร หากสุดท้ายพวกเขาไม่คืนจริงข้าย่อมยกให้เป็นสินสมรสของน้อง เขาไม่แม้แต่จะถามหาเหตุผลสักคำ ก็ชักดาบพาดคอข้า ชีวิตข้าทั้งชีวิตเขาไม่เคยคิดจะปกป้องก็แล้วไป ข้ากระเสือกกระสนรอดมาเองก็ได้ แต่วันนี้กลับคิดจะสังหารข้า กับคนนอกมากมายเขาล้วนปฏิบัติอย่างดี กับคนในเรือนใหญ่ยิ่งปกป้องดูแลเช่นนั้น ผู้คนต่างพูดกันว่าเขาเป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารี เหตุใดพอเป็นท่านแม่กับข้ากลับทอดทิ้งไม่ไยดี ทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ความยุติธรรมมันอยู่ที่ใดกัน

    ข้านึกน้อยใจต่อสวรรค์ เหตุใดต้องให้ข้าเกิดมาเป็นลูกของคนผู้นี้ด้วย ชีวิตข้าทำผิดอะไรนักหรือ ชั่วชีวิตอันน้อยนิดของข้าไม่เคยร้องขอสิ่งใด ทุกอย่างต่างดิ้นรนยืนหยัดให้ได้มาด้วยตนเอง แล้วเหตุใดต้องโดนทำร้ายช่วงชิงครั้งแล้วครั้งเล่า

    “เช็ดน้ำตาเสียหน่อยเถิด”

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×