คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตัดชุดแต่งงานให้เหวินอวี้
คิดไปคิดมาก็น่าแปลกใจอยู่หน่อย ทรัพย์สินมากมายหมดเร็วเพียงนี้เชียว
“แต่งกับใคร” ข้าเอ่ยถาม
“หนิงเซียน ลูกสาวเจ้ากรมคลัง”
ฟังดูแล้วสำหรับคนผู้นี้ นี่ก็คือการแต่งงานเพื่อรักษาอำนาจในฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาของเขาก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วทั้งเหวินอวี้และหนิงเซียน เด็กสองคนนี้ชอบพอกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามนี้อายุอานามก็สมควรแก่เวลา เหวินอวี้เองก็รับราชการมีการงานที่มั่นคงแล้ว ข้าในฐานะพี่สาวอย่างไรก็ควรสนับสนุนคู่รักคู่นี้ให้สมปรารถนา ถึงแม้เขาจะไม่คิดว่าข้าเป็นพี่สาวก็ตามที
“จะคืนเมื่อไหร่” ข้ามีเงินสำรองอยู่ก้อนหนึ่งจริงๆ แต่เพราะตอนนี้กำลังขยายกิจการและยังเพิ่งรับสัมปทานส่งของเข้าวังมาด้วย ทั้งเงินก้อนนี้คือเงินที่เตรียมไว้สำหรับการย้ายออกจากที่นี่และสร้างโรงน้ำชาให้ท่านแม่ อย่างไรก็ต้องคิดให้รอบคอบสักหน่อย
“หนึ่งเดือนหลังงานแต่ง”
หนึ่งเดือนนี้คำนวณดูแล้วก็ถือว่าไม่เสียหายส่วนใด
“พรุ่งนี้ท่านก็เขียนรายการเงินและทรัพย์ที่ต้องการมาเถิด ข้าจะจัดเตรียมไว้ให้” เอ่ยจบแล้วข้าก็ลุกเดินออกมาทันที
ใจจริงข้ารักน้องชายคนนี้มาก แม้ตอนนี้จะไม่ต่างอะไรกับศัตรู เมื่อครั้งยังเยาว์เราสองคนสนิทสนมกันมาก เพราะฮูหยินใหญ่รักสวยรักงามชอบออกสังคมเป็นที่สุด จึงไม่ค่อยจะได้ใส่ใจเขานัก เขาจึงมักจะมาเล่นกินนอนอยู่ที่เรือนเล็กนี้กับข้า มีท่านแม่คอยเลี้ยงดูอบรม เราต่างเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของกันและกัน เขาในตอนนั้นเป็นเด็กจิตใจดีอ่อนโยน คอยดูแลห่วงใยคนรอบข้างอยู่เสมอ แม้แต่กับบ่าวรับใช้ในเรือนเขาก็ปฏิบัติอย่างอ่อนน้อม เป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ
ทว่าตั้งแต่เราสองคนถูกส่งเข้าสำนักศึกษาเราก็ห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ฮูหยินใหญ่มักเปรียบเทียบผลการเรียนของเขาและข้าอยู่เสมอ ตัวเขาเองที่เป็นที่สองรองจากข้า ทุกวันจึงถูกฮูหยินใหญ่ว่ากล่าวทุบตี นานวันเข้าจากเด็กที่เคยอ่อนโยนใจดีก็กลายเป็นคนเงียบขรึมเย็นชา
นานแล้วที่ข้ากับเขามิได้พูดคุยกัน ยังคงเป็นห่วงเขามากจริงๆ หวังว่าครั้งนี้จะเป็นของขวัญงานแต่งให้เขาได้
แน่นอนว่างานแต่งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกยิ่ง ให้สมหน้าสมตาท่านเสนาบดีขวาและเจ้ากรมคลังแห่งแคว้นเย่ว์ ทั้งในวันงานยังมีการแยกเงินให้ชาวบ้านที่มามุงดูด้วย ช่างหน้าใหญ่ใจโตสมกับเป็นคนผู้นั้นจริงๆ
คราแรกที่เห็นรายงานเงินและทรัพย์สินที่คนผู้นั้นเขียนมาขอยืมข้าก็ถึงกับชะงักไปหลายวัน แต่อย่างไรก็เป็นงานมงคลของน้องชายคนเดียวของข้า จะมากอยู่หน่อยก็คงไม่เป็นไร ในวันงานนั้นข้าเองไม่ได้ไปร่วมงาน มิอยากให้เจ้าบ่าวจะต้องอึดอัดเมื่อเห็นหน้าข้า ได้แต่อยู่ในครัวเตรียมอาหารช่วยงานเท่านั้น งานแต่งผ่านไปอย่างราบรื่นก็ถือว่าพี่ได้อวยพรเจ้าแล้วนะ อวี้เออร์
นี่ก็ผ่านงานแต่งมาแล้วสามเดือน คนผู้นั้นก็ยังมิได้มีท่าทีจะคืนเงิน โชคดีที่ช่วงนี้กิจการของข้าคล่องตัวนัก ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินส่วนนั้น เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ข้าเองก็ไม่อยากไปทวงให้คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันจะต้องขัดเคืองใจ แต่เงินจำนวนนี้ก็มากโขอยู่จริงๆ รอผ่านไปจากนี้อีกสองเดือนหากยังไม่มีท่าทีใดอีกก็ค่อยไปทวงก็แล้วกัน หรือหากสุดท้ายไม่ได้คืนก็ถือว่าให้เป็นสินสมรสกับเหวินอวี้ไปเสีย เงินทองทรัพย์สินเหล่านั้นอย่างไรก็หาเอาใหม่ได้
วันนี้ก็เหมือนวันธรรมดาอีกวันหนึ่งในฤดูหนาว ข้ายังคงนั่งตรวจบัญชีอยู่หลังโกดัง
“เถ้าแก่เนี้ยขอรับ! เถ้าแก่เนี้ยขอรับ!” อาโยวหัวหน้าคนงานที่ข้าวางใจให้ประจำอยู่ท่าเรือทางใต้รอรับสินค้า วันนี้กลับไม่อยู่เฝ้าทางเรือ วิ่งเข้ามาหาข้าอย่างลนลาน ดูท่าคงมิใช่เรื่องดีแน่
“มีเรื่องอะไรกัน” ข้าสงบใจถามเขาอย่างเรียบเรื่อย
“เรือขนสินค้าล่มขอรับ” ประโยคนั้นหลุดจากปากเขา ใจข้าพลันหล่นหาย นัยน์ตาเบิกโพลง สินค้าที่ส่งมาทางเรือครานี้ล้วนเป็นเครื่องทอง หยก และทรัพย์สินมีค่าทั้งสิ้น เป็นของที่สั่งซื้อตามใบสั่งจากในวัง ราคารวมกันแล้วมากกว่าสินทรัพย์ทั้งหมดของโกดังข้าเสียอีก บัดนี้เรือล่มของจมลงสู่ใต้สมุทร แล้วข้าควรทำอย่างไรดี ข้าคิดวิตกอยู่ชั่วขณะก็พลันตระหนักได้ กังวลไปก็ไร้ความหมาย หากไม่อาจส่งของเข้าวังตามกำหนดคงเดือดร้อนยิ่งกว่านี้แน่
“เจ้ารวบรวมคนไปไล่ดูทุกร้านค้าทั้งในเมืองนอกเมือง รวบรวมสินค้าตามใบรายการมาให้ได้มากที่สุด รีบไป” สิ้นคำสั่งข้าลูกน้องในโกดังทั้งหมดก็ถูกอาโยวพาออกไป ข้าปิดร้านรวบรวมสินทรัพย์ที่มีทั้งหมดในตอนนี้ ทว่านับรวมแล้วก็ยังไม่ถึงครึ่งของที่ต้องใช้ ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
คิดวนไปเวียนมาก็ชวนให้รู้สึกวิงเวียนหน้ามืด ครานี้นับเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดที่ข้าเคยเจอมาในชีวิตการค้า หากครานี้ผิดพลาดไม่เพียงสิ้นเนื้อประดาตัวแต่จะไม่สามารถกลับมาในวงการค้านี้ได้อีก แม้ตลอดมานี้ข้าใช้ฝีมือของตนเองซื่อสัตย์สุจริต แต่เนื่องเพราะเป็นสตรี ทั้งอายุยังน้อยนักแต่กลับได้สัมประทานใหญ่ ครองอำนาจการค้าขายในเมืองนี้เกือบครึ่ง อย่างไรก็ยังคงเลี่ยงคำครหาไม่ได้ มีผู้คนรอเหยียบย่ำอยู่ไม่น้อย หากครานี้มิอาจแก่ปัญหาได้เกรงว่าชื่อเสียงความน่าเชื่อถือที่สร้างมาอย่างยากเย็นคงยากจะรักษาไว้
ข้ากลับเรือน พยายามข่มอากัปกิริยาให้ปกติที่สุด เรื่องนี้จนกว่าจะสิ้นสุดจะให้ท่านแม่มากังวลด้วยมิได้เด็ดขาด คิดทบทวนซ้ำไปมาอยู่คืนหนึ่ง คงมีแต่ต้องเอาเงินที่คนผู้นั้นยืมไปกลับคืนมาจึงจะสามารถประคองผ่านสถานการณ์นี้ได้
รุ่งขึ้นจึงสั่งให้เจียวจูไปเชิญเขามากินข้าวที่เรือน ท่านแม่ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็รีบลงครัวเป็นการใหญ่ แม้ท่านแม่จะบอกว่ามิได้รักเขาแล้ว แต่ข้ารู้ดีแก่ใจว่าท่านยังคงใส่ใจคนผู้นั้นอยู่ไม่น้อย อาหารที่ทำขึ้นโต๊ะวันนี้ก็มีแต่ของโปรดของเขาทั้งสิ้น
ข้าเองก็เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อวันนี้ต้องรับบทเจ้าหนี้เช่นนั้นก็ควรแต่งตัวให้ภูมิฐานน่าเกรงขามเสียหน่อย มือเอื้อมไปเปิดกล่องเครื่องประดับข้างโต๊ะเครื่องแป้ง หางตาเหลือบเห็นแหวนหยกแดงวงนั้น เมื่อครั้งยังเยาว์แหวนวงนี้ใหญ่เกินกว่าที่ข้าจะสวมได้ แต่ยามนี้หยิบมากลับสวมได้พอดิบพอดี ดูแล้วสง่างามไม่น้อยจึงใส่ติดนิ้วมาด้วย
คนผู้นั้นมาถึงเรือนพร้อมกับท่านอาหลี่ ปกติคนผู้นี้ระมัดระวังเรื่องในบ้านอย่างมาก ไม่เคยให้แขกเดินเลยเขตเรือนใหญ่มาแม้แต่ครึ่งก้าว วันนี้กลับพาท่านอาหลี่มาถึงเรือนเล็กนี่ คาดว่าเขาเองคงรู้แล้วว่าข้าเชิญมาเพื่อเรื่องอันใด จึงพาท่านอาหลี่มากันท่า
“คารวะท่านอาหลี่เจ้าค่ะ” ข้าประสานมือคารวะท่านอาหลี่โดยไม่สนใจคนผู้นั้นแม้แต่น้อย
ท่านอาหลี่ก็แสดงท่าทีกระอักกระอ่วนพูดกลบเกลื่อนไปว่า “วันนี้ได้ข่าวว่าพี่สะใภ้รองจะทำอาหารเลี้ยง ไม่ได้กินอาหารฝีมือท่านมานานแล้ว คิดถึงใจจะขาด”
“เช่นนั้นก็เชิญนั่งเถอะเจ้าค่ะ ที่นี่คับแคบคงต้องให้ท่านอาหลี่ลำบากนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันนะเจ้าคะ” ปกติแล้วหากเป็นเรือนใหญ่ก็จะจัดโต๊ะแยกสำรับให้แขกแต่ละท่านตามมารยาท ทว่าตลอดมาท่านแม่กับข้ากินข้าวไม่แยกสำรับ เรือนเล็กของข้านี้ก็มีเพียงโต๊ะกินข้าวนี่ตัวเดียวเท่านั้น
พวกเราสี่คนนั่งลงบนโต๊ะสี่ด้าน ข้ากับคนผู้นั้นนั่งประจัญหน้ากัน บรรยากาศการกินข้าวดำเนินไปอย่างอึมครึม มีท่านแม่และท่านอาหลี่คอยชวนคุยกันไปมาทำลายบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นี้เป็นครั้งคราว หากวันนี้เขามาเพียงผู้เดียวเรื่องต่าง ๆ คงคุยกันง่ายกว่า แต่วันนี้กลับพาคนนอกมาด้วย เกรงว่าเขาคงมีเจตนาจะเบี้ยวเงินข้าเสียแล้ว
“ท่านแม่และท่านอาหลี่ออกไปสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ” ข้านั่งรอจังหวะกระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ต่อให้เขามีเจตนาเช่นนั้นจริง วันนี้อย่างไรข้าก็ต้องทวงคืนมาให้ได้
ทั้งท่านแม่และท่านอาหลี่เดินออกไปนอกห้องด้วยท่าทางอึกอักไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจปฏิเสธ ยามนี้ในห้องนี้ บนโต๊ะกินข้าวนี้ ก็เหลือเพียงข้ากับเขาแล้ว
“ท่านจะคืนเมื่อไหร่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยขึ้น
“คืนอะไร” เขายังทำท่าไขสือไม่เข้าใจ
“เงินที่ท่านยืมข้าไปจัดงานแต่งให้เหวินอวี้จะคืนเมื่อไหร่เจ้าคะ” ข้าถามย้ำให้ชัดเจน เตือนความจำเขาอีกครั้ง
จบประโยคนั้นของข้าคนผู้นี้ก็แกล้งทำขึงขังตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น “นี่เจ้าคิดจะทวงบุญคุณกับข้ารึ!!”
ข้าเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เดินเข้าไปใกล้เขาและกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไรเจ้าคะ”
เพี๊ยะ!!
ความคิดเห็น