ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชาด ภาคสารภาพ

    ลำดับตอนที่ #10 : รักหยกถนอมบุปผา

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 67


    “กุ้ยฮวา!!” ข้าเอ่ยออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ฟ่านหลีก็พยักหน้ารับอย่างภาคภูมิ เมื่อมั่นใจดังนั้นดวงใจก็เต้นระรัว

    กลิ่นดอกกุ้ยเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ข้าชอบที่สุด ต่างมีผู้กล่าวว่าดอกกุ้ยนี่ยามผลิบานเป็นสีเหลืองอร่ามนวลทั่วผืนป่า กลิ่นกระจายลอยฟุ้งนับหมื่นลี้ แต่เพราะแหล่งดอกกุ้ยอยู่ไกลถึงแคว้นฉู่ ข้าจึงทำได้เพียงนำเข้าดอกแห้งมาขายเท่านั้น ดังนั้นการได้เห็นต้นกุ้ยและดอกกุ้ยสดกับตาถือเป็นสิ่งข้าใฝ่ฝันเลยทีเดียว

    ข้าเร่งให้คนรถขับม้าให้เร็วขึ้นอีก ข้าแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นภาพในฝันนั่น ไม่นานนักรถม้าก็หยุดลง ข้าไม่รอช้ารีบกระโดดลงจากรถม้า

    ทิวทัศน์ที่เห็นเบื้องหน้างดงามราวสรวงสวรรค์ ท่ามกลางแสงแดดจ้าต้นกุ้ยนับสิบเรียงรายรอบแอ่งน้ำกลางหุบเขา ดอกกุ้ยสีเหลืองทองอร่ามบานสะพรั่งเต็มต้นตัดกับสีเขียวสดของใบแหลม สายลมพัดแผ่วเบากิ่งอ่อนขยับไหว กลิ่นหอมอ่อนละมุนกระจายขจรตามสายลม ชวนให้รู้สึกสดชื่นสดใสมีชีวิตชีวา ข้ากระโดดโลดเต้นใต้แสงตะวันที่ลอดผ่านกิ่งต้นกุ้ยส่องลงมาช่างอ่อนโยน ทุกครั้งที่กระโดดดอกกุ้ยก็จะร่วงหล่นลงมาราวหยาดฝนสีทอง มีความสุขยิ่งนัก มองไปไม่ไกลก็เห็นศาลาหลังน้อยที่สร้างไว้ริมแอ่ง ท่ามกลางแดดยามบ่ายเช่นนี้ก็คงสบายกว่าไม่น้อย ทว่าข้ากลับมิอาจตัดใจจากใต้ต้นกุ้ยนี่ได้จริงแท้ จึงย่อตัวนั่งลงริมน้ำใต้ต้นกุ้ย

    “ชอบหรือไม่” เสียงฟ่านหลีดังมาจากด้านหลัง ดูท่าข้ามัวแต่ชื่นชมกับทัศนียภาพจนลืมไปเสียแล้วว่าที่นี่มีเขาอยู่ด้วย

    “อื้ม” ข้าขานรับเสียงสูงยิ้มกว้างหันไปหาเขา “ท่านเจอที่นี่ได้อย่างไร”

    ฟ่านหลีก็ยังคงเต๊ะท่าเป็นมีลับลมคมในนั่งลงข้างข้า กระแอมไปครั้งหนึ่งแล้วจึงตอบว่า “สองเดือนก่อนตอนที่ข้าสำรวจดินแดนทำแผนที่ใหม่น่ะ”

    จบประโยคนั้นเราสองคนก็นั่งเงียบชมทิวทัศน์กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ฟ่านหลีจะเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้าไม่คิดจะไปนั่งที่ศาลาริมน้ำนั่นดูหรือ”

    “ไม่ล่ะ ข้าชอบตรงนี้มากกว่า” จบประโยคนี้ข้ากลับได้ยินเสียงขมุบขมิบเบาๆ จากฟ่านหลี จึงถามไปว่า “เมื่อกี้ท่านพูดอะไรนะ”

    “เปล่า ข้าไม่ได้เอ่ยอะไร” ฟ่านหลีเต๊ะขรึมปฏิเสธ ข้าก็แกล้งถามเขาไปอย่างนั้น ความจริงข้าได้ยินประโยคนั้นของเขาแล้ว ที่แท้ศาลานั่นเขาสั่งให้คนสร้างเตรียมไว้ให้ข้า

    “ขอบคุณนะ” ข้าเอ่ยคำนั้นออกไปแผ่วเบา

    “เจ้าว่าอะไรนะ” ฟ่านหลีที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินหันมาถามข้า

    “เปล่า ข้าไม่ได้เอ่ยอะไร” ข้าเอ่ยตอบไปด้วยประโยคเดียวกันกับเขา จบประโยคนี้เมื่อเขาและข้าหันมามองหน้ากันก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ

    ข้าและฟ่านหลีนั่งอยู่ที่ใต้ต้นกุ้ยนั้นอยู่อีกเกือบสองชั่วยาม พูดคุยเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กและแผนการในอนาคต พูดคุยกันอย่างถูกคอทีเดียว

    “นี่ท่านเสนาบดีฟ่าน ชีวิตท่านว่างงานมากนักหรือถึงมีเวลาพาข้ามาเที่ยวเล่นได้เช่นนี้ ทั้งยังจัดแจงหาสถานที่ดอกไม้งามเช่นนี้ให้ข้าอีก ดูท่าท่านคงว่างมากจริงๆ” ข้าเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเหน็บแนมล้อเลียนเขา

    “เดิมทีก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น แต่เพื่อหญิงในดวงใจแค่นี้ถือว่าน้อยนัก” ฟ่านหลีก็ดูจะสนุกไปกับข้า เอ่ยคำเย้าแหย่กลับมาเช่นกัน

    ข้าแกล้งหัวเราะในลำคอกับประโยคนั้นของฟ่านหลี แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ท่านนี่ชักจะเข้าถึงบทบาทมากไปแล้วกระมัง ละครฉากนี้ของท่านหากมีผู้ใดรู้เข้าคงเป็นที่เลื่องลือเป็นแน่”

    จบประโยคนี้ของข้า ฟ่านหลีกลับยิ้มรับและเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็กล่าวออกมาว่า “ดูไปดูมาเจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าวันนี้วันอะไร”

    “หือ วันนี้เป็นวันพิเศษหรือ วันอะไร” ข้าตกตะลึงจริงแท้กับคำถามนี้ของเขา คิดกลับไปกลับมากลับนึกไม่ออกว่าวันอะไร

    “ลืมไปแล้วจริงๆ เสียด้วย” ฟ่านหลีหยุดพูดครู่หนึ่งและหันมามองข้า “ก็วันเกิดของเจ้าอย่างไรเล่า”

    ข้าคิดทบทวนไปมาจึงนึกได้ วันนี้วันเกิดข้าจริงๆ นึกได้ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งกลับไปที่รถม้า ทว่าข้อมือข้ากลับถูกฟ่านหลีรั้งไว้เสียก่อน

    “เจ้าจะไปไหน” ฟ่านหลีที่ยามนี้ดูแล้วจะตกตะลึงยิ่งงกว่าข้าเสียอีกเอ่ยถาม

    “กลับบ้าน ข้าต้องรีบไปทำอาหารให้ท่านแม่” ทุกปีในวันเกิดของข้าตั้งแต่เล็กมาข้าจะทำอาหารชุดใหญ่มื้อหนึ่งให้ท่านแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูที่ท่านแม่ลำบากเลี้ยงดูข้ามา ทำมาสิบกว่าปีจนเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้ว ยามนี้ก็จะเย็นแล้วต้องรีบกลับเรือน

    “ไม่ต้องรีบ เรื่องที่พาเจ้ามาที่นี่ข้าได้ขออนุญาตต่อฮูหยินไว้ก่อนแล้ว ท่านเองก็มิได้ว่าอะไร” ฟังแล้วฟ่านหลีผู้นี้จัดการได้รอบคอบโดยแท้ แต่อย่างไรนี่ก็จะเย็นแล้วก็ควรกลับแล้วจริงๆ แต่จะกลับมือเปล่าได้อย่างไร

    “ถอดเสื้อคลุมของท่านออกมาหน่อย” ข้าเอ่ยบอกฟ่านหลีในขณะที่ตนเดินไปที่โคนต้นกุ้ย

    “ทำอะไร” แม้ว่าจะยังสงสัยอยู่แต่ฟ่านหลีก็ยอมถอดเสื้อคลุมออกมาแต่โดยดี

    “ช่วยข้า” ว่าแล้วข้าก็ถีบต้นกุ้ยไปเต็มแรง ดอกกุ้ยร่วงหล่นลงเต็มพื้น ฟ่านหลีกลับเก็บไว้ไม่ได้แม้ครึ่งดอก คงมีแต่หัวเขาที่ตอนนี้เก็บดอกกุ้ยไว้ได้มากที่สุด

    “กางเสื้อออกให้มันดีๆ หน่อยสิท่าน จะได้เก็บไปเยอะๆ” ข้าชี้นิ้วสั่งท่านเสนาบดีฟ่านที่บัดนี้คือผู้ช่วยเก็บดอกกุ้ยของข้าอย่างขะมักเขม้น เก็บจนพอใจแล้วก็ได้เวลากลับเรือน

    ข้าเดินเข้าประตูหลังจวนอย่างเบิกบาน เดินไปร้องเพลงไปพร้อมกับกอดดอกกุ้ยห่อใหญ่ที่ได้เสื้อคลุมของฟ่านหลีมาทำห่อผ้า ในใจคิดว่าท่านแม่ชอบขนมกุ้ยฮวาที่สุด ได้ดอกกุ้ยสดมาทำต้องหอมอร่อยยิ่งขึ้นเป็นแน่

    มิคาดว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเรือนยิ้มกว้างนั้นของข้าก็ต้องหุบลงในทันที คนผู้นั้นกลับมานั่งจิบชาสบายใจอยู่ในเรือนข้า เขามาที่นี่ทำไม เกือบหนึ่งปีนี้ข้ากับเขาแม้อยู่ในจวนเดียวกัน แต่ก็เหมือนคนแปลกหน้า ไม่พบปะไม่พูดคุย แม้วันนี้เป็นวันเกิดข้า แต่คนหยาบช้าเช่นเขาคงมิได้มาเพื่ออวยพรข้าหรอกกระมัง

    ข้าหยุดยืนอยู่หน้าประตูเรือนจ้องเขาอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ข้าไม่อยากให้ความสุขของข้าวันนี้ต้องพังลงเพราะคนผู้นี้โดยแท้ จึงทำท่าจะเดินเลี่ยงไปหลังเรือน กลับโดนคนผู้นั้นเรียกไว้ด้วยประโยคที่ฟังแล้วขยะแขยงเหลือทน

    “เหลียนเออร์ มาคุยกับพ่อหน่อย” ยังมีหน้าจะเรียกตนเองว่าพ่อได้อย่างไม่กระดากปาก ข้าไม่อยากจะสนใจคนผู้นี้จริงๆ จึงทำท่าจะเดินต่อ กลับถูกท่านแม่ขวางเอาไว้

    “คุยกับเขาหน่อยเถอะ” ท่านแม่มองข้าด้วยสายตาอ้อนวอน ข้าได้แต่ตัดใจเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ข้างคนผู้นั้น

    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    เรื่องเช่นนี้ท่านกับข้าจำเป็นต้องเอ่ยกันด้วยหรือ

    “ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ อย่าอ้อมค้อมอยู่เลย” ข้าไม่อยากเสียเวลากับคนผู้นี้จริงแท้

    “น้องชายเจ้ากำลังจะแต่งงาน” ที่แท้เหวินอวี้กำลังจะแต่งงาน คนผู้นี้เอ่ยประโยคสั้น ๆ เพียงเท่านี้ ข้าได้แต่ฉงนไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับข้าที่ใดกัน จึงเอียงหน้าลงเป็นเชิงถาม

    เขาเห็นท่าทางข้าแล้วก็ยังทำท่าอิดออดจะเอ่ยอะไรก็ไม่เอ่ยออกมาเสียที ข้าชักจะทนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ทำท่าจะลุกไป ในที่สุดเขาปริปากเอ่ยออกมาได้เสียที

    “ได้ข่าวว่าการค้าของเจ้าเจริญรุ่งเรือง จึงจะขอยืมเงินเจ้ามาใช้เป็นค่าสินสอดให้น้องเสียหน่อย” มาหาในวันเกิดครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี ไม่อวยพรข้าก็แล้วไป นี่มายืมเงินในวันเกิดของข้า ดีจริงๆ ดูท่าว่าแผนการของข้าที่ดำเนินมาตลอดหนึ่งปีจะทำให้จวนเสนาบดีเหวินแห่งนี้ถังแตกแล้วจริงๆ ทว่าคิดไปคิดมาก็น่าแปลกใจอยู่หน่อย ทรัพย์สินมากมายหมดเร็วเพียงนี้เชียว

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×