คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่หนึ่ง หลังรูปปั้น
บทที่ หนึ่ง
หลังรูปปั้น
โลกน่ากลัวขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแต่ทุกข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่นำเสนอเนื้อข่าวซึ่งน่าสยดสยอง มีการฆ่ารายวันปรากฎขึ้นเป็นว่าเล่น อย่างการหายตัวไปของคนสำคัญเป็นครั้งคราว และจบลงด้วยผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต นี่เป็นสิ่งที่ชี้เตือนให้รู้ว่าจิตใจของมนุษย์นับวันก็ยิ่งเริ่มเทรื่อมถอยลงทุกที ทำให้ต้องดิ้นรนไขว่คว้าซึ่งต้องแรกมาด้วยชีวิต
ล่าสุดที่พบเห็นในรายงานข่าว หญิงสาวอายุราวๆสิบเจ็ดปีสูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้ตำรวจจะออกมาอ้างว่า เธอได้เสียชีวิตไปแล้วขณะที่กำลังยืนถ่ายภาพริมหน้าผาทางตอนใต้ของประเทศ ก็ไม่มีใครแยแสสนใจข่าวของเธออีกเลย อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นข่าวที่ร้ายแรงน้อยที่สุดที่เกิดขึ้นมาตลอดสัปดาห์นี้ ถ้าแม้นควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งเริ่มจับตัวเป็นกลุ่มควันอยู่บนท้องฟ้าเหนือประเทศ
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือผู้คนต่างพากันสูญเสียการควบคุม หวาดระแวงแม้กระทั้งคนใกล้ตัว บางรายถึงกับไม่ยอมออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่ว่าควันพิษอาจจะคร่าชีวิตพวกเขาได้
ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวงทางตะวันออกเฉียงเหนือ แสงไฟสลัวๆทอแสงลอดผ่านกระจกหน้าต่างเย็น ซึ่งหมอกและควันพิษกดทับลงนี้ เป็นของคฤหาสน์หลังใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในซอยแคบของตัวเมือง (ซึ่งกินเนื้อที่เกือบจะทั้งซอย) บ้านหลังนี้ทั้งดูเก่าและโทรมเต็มทีเมื่อดูจากภายนอก รั้วเหล็กขดงอและขึ้นสนิม สวนหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นรกเรื้อ พุ่มแมกโนเลียเตี้ยก็ถูกปลกคลุมด้วยกองใบไม้แห้งที่สุมๆกันไว้หลายกอง และเชิงบันไดหน้าบ้านก็เหมือนกับปล่อยให้พังไปเฉยๆ
อย่างไรก็ตามในเช้าวันที่อากาศอึมครึมนั้น ดูเหมือนมีเสียงกระแอมไอของผู้ที่นั่งหลังเก้าอี้นวมในห้องเดียวที่มีแสงไฟลอดออกมาจากหน้าต่างอยู่อึดใจหนึ่ง ร่างนั้นไม่ขยับ เพียงแต่นั่งตัวตรงอย่างสบายๆ ดวงตากลมๆกรอกไปทั่วห้อง ...มันดูดีมีเตาผิงตั้งอยู่ตรงหน้า หน้าต่างบานสูงถึงเพดานห้องที่มีโครมไฟใหญ่ห้อยลงมา พื้นปูด้วยพรมลายดอกไม้สีน้ำตาลเข้ม กับชั้นหนังสือหลากหลายที่ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ
นาทีต่อมาประตูเปิดผลวะออก ชายร่างอ้วนผมหงอกในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวพอๆกับริมฝีปาก สองมือยกถาดช๊อกโกแลตร้อนเข้ามาแล้ววางลงบนโต๊ะกลมข้างก้าวอี้นวมซึ่งมีหีบเพลงเก่าๆวางอยู่แล้ว จากนั้นก็เริ่มเทหนึ่งแก้วส่งให้เจ้านาย
"ดี... ดีมากพอดแมน" ผู้ที่นั้งหลังเก้าอี้นวมพูดขึ้นด้วยเสียงที่เล็กแหลมมือข้างหนึ่งรับถ้วยและอีกข้างโบกไปมา "เธอน่ะไม่เคยมาสายเลย และเธอทำเพื่อฉันมากจริงๆ ขอบใจๆ" เขาพูดต่อ ไม่เหลียวมาสบตาชายร่างอ้วนที่บัดนี้นั่งคุกเข่าอยู่บนพรม
"ขอรับนายท่าน" ชายร่างอ้วนพูดเสียงกระซิบและก้มหน้า
"ไม่จำเป็นเลย จริงๆนะพอดแมน เธออย่าเรียกฉันว่านายท่านอย่างคนอื่นเขาเลย แค่เรียก 'ท่าน' เฉยๆก็พอ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนั้น" เขายังคงพูดด้วยเสียงเล็กแหลม แล้วส่งถ้วยช๊อกโกแลตร้อนไปที่ชายร่างอ้วนเพื่อเพิ่มช๊อกโกแลตร้อน
"ขอรับ" พอดแมนพูด พร้อมกับส่งถ้วยช๊อกโกแลตร้อนที่เพิ่งเติมใหม่ให้
"อย่างนั้นละ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว" โอลีนพึมพำเบาๆ แล้วรับถ้วยมาดื่มอึกนิดหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปว่า "นี้แนะ หลังจากที่เราอยู่กันมาหลายปีแล้ว ฉันเคยพร่ำบอกเธอหลายครั้งหลายหน เกี่ยวกับมรดกล้ำค่าของตระกูลเรา ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ ฉันจะบอกเธอว่าฉันได้เตรียมที่อยู่ใหม่ให้มันไว้แล้ว หลังจากที่อยู่ในบ้านเก่านี่มานานแสนนาน และฉันวางใจเธอให้นำมันมาให้ เพื่อที่เราจะได้เก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัยมากกว่า" โอลีนพูด ดื่มอีกอึกจากถ้วยที่สาม
"แต่ข้าน้อยไม่--"
"ฉันกำลังจะบอกเธอเดี๋ยวนี้ว่าเธอต้องทำอะไรเมื่ออยู่ที่นั่น" เขาบอก ยังคงดื่ม
"ไม่ใช่เรื่องนั้นขอรับ แต่ข้าน้อยตระหนักว่านั้นเป็นของที่สำคัญมากของท่าน ท่านจะ--"
" -- ฉันไว้วางใจเธอเสมอละพอดแมน" โอลีนพูดตัดบทอีกครั้งพลางถอนหายใจ และดื่มช๊อกโกแลตร้อนถ้วยที่สี่อย่างสบายอารมณ์ แต่พอดแมนทำท่าทางเลิ่กๆลั่กๆอยู่ครู่หนึ่ง
"ขอรับ"
"แต่ก่อนที่ฉันจะวานให้เธอไปเอามันมา ฉันอยากให้เธอช่วยไปตามฟิฟีคัสมาหาฉันด้วย ฉันอยากคุยธุระกับเค้าหน่อย" โอลีนสั่ง ขณะเดียวกันก็ส่งแก้วที่เพิ่งดื่มจนหมดเมื่อครู่นี้คืนให้
"ขอรับ" โดยไม่พูดอะไรอีก เขาเก็บถาดช๊อกโกแลตร้อนแล้วเดินกระวีกระวาดออกจากห้องไป เกิดความเงียบที่ชวนอึดอัดและขนลุกอยู่ขณะนั้น มีเพียงเสียงนาฬิกาแขวนผนังกรอบทองเดินดังติ่กๆอย่างเป็นจังหวะ แน่ละเครื่องเรือนส่วนใหญ่ในห้องนี่เป็นสีทองเกือบจะทั้งหมดทีเดียว เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี่เป็นผู้ดีมีสกุลซึ่งต้องฐานะดีมากแน่ๆ เขาไม่เพียงแต่จะสะสมเครื่องเรือนสีทองเพียงเพื่อไว้ดูเล่นเท่านั้น แต่เพื่อโอ้อวดว่าตนนั้นร่ำรวยจริง ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าเขาจะคิดได้แล้วว่าความเงียบนั้นน่าอึดอัดเพียงใด จึงตัดสินใจเปิดหีบเพลงที่วางอยู่บนโต๊ะขาเรียวข้างตัว มันค่อยๆมีทำนองออกมาอย่างช้าๆ เหมือนเล่นเสียงทั้งต่ำและสูงให้ความรู้สึกถึงหน้าหนาวโดยแท้ (แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะนี่คือหน้าร้อน) มีการขับทำนองที่แปลกขึ้นเพราะจังหวะนั้นเดี๋ยวเร็วและช้าแต่ไพเราะทีเดียว ดูเหมือนโอลีนจะเพียงแค่เปิดกล่องเพลงเพื่อทำลายความเงียบเท่านั้น เพราะเขาเอาแต่เคาะนิ้วบนที่พักแขน ตาสองคู่มองไปในเตาพิงและตั้งใจฟังเสียงปะทุของไปมากกว่าเสียงเพลงเสียอีก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนแก่ๆอย่างนี่จะมีความสุขได้เลยนอกเสียจากคุยกับคนรับใช้ เนื่องโอลีนไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเลยที่จะช่วยดูแลเขาและเป็นคนสืบทอดมรดกชิ้นสำคัญนั้น บางทีความคิดบางอย่างที่เลวร้ายเคยผุดขึ้นมาในสมองเขาอย่างตั้งใจว่าเขาอยากจะทำลายมรดกตัวปัญหานั่นไปซะ แต่อะไรบางอย่างที่อาศัยอยู่ในจิตของจิตสำนึกนั้นสั่งการเขาไม่ให้ทำเช่นนั้น
เวลาในช่วงนี่ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียจริงๆ คงเป็นเพราะโอลีนให้ความสนใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจดจ่อมากเกินไป หรืออะไรทำนองแบบนั้น ขณะเดียวกันก็ยังคงเคาะนิ้วอย่างเป็นจังหวะ ดวงตาปิดสนิท
ในเวลาเดียวกันนั้นพอดแมนกำลังเดินลงมาจากบันไดสู่ห้องโถงกลางอย่างยากลำบากและเลี้ยวเข้าห้องทางซ้ายมือเพื่อเข้าห้องครัว วางถาดช็อกโกแลตร้อนลงบนโต๊ะไม้(แต่เผลอทำมันหกลงพื้นสองสามหยด) จากนั้นก็พยายามพยุงตัวเองเดินออกนอกห้อง เดินขึ้นบันไดไปตามระเบียงทางเดินที่ยาวเหยียด ตามระเบียงเต็มไปด้วยประตูที่เข้าสู่ห้องต่างๆในบ้าน ผนังทำจากผ้ากำมะหยี่สีแดงดอกกุหลาบ
พอดแมนยังคงเดินต่อไป เลี้ยวขวาทีซ้ายทีก็ถึงระเบียงที่อยู่สุดปรายพอดี ที่ตรงสุดปรายนั้นมีประดูเพียงบานเดียว เขาเปิดเข้าไป มันเป็นห้องนอนขนาดใหญ่พอๆกับเตียงคู่สี่เสาที่ทำให้ห้องดูแน่นไปถนัดตา ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และแน่นอนเครื่องเรือนๆแถบทั้งหมดเป็นสีทอง โต๊ะข้างเตียงมีโคมไฟสีทองสวยหรูตั้งอยู่ ผนังรายล้อมด้วยภาพวาดกรอบทองของผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ตู้เสื้อผ้าเคลือบทอง นาฬิกาตั้งโต๊ะที่วางบนโต๊ะวางของเล็กๆมีของกระจุ๊กกระจิ๊กสีทองนานา ทั้งหมดนี้ทำให้ตัดกับม่านของเตียงสี่เสาที่มีสีแดงสดซึ่งสาวใช้หน้าตาสวยคนหนึ่งกำลังจัดอยู่ เธอมีใบหน้าเรียวสวย ดวงตาสีฟ้าอ่อนส่องประกายกับเรือนผมสีทองหยิกเป็นรอนๆสวยทีเดียว และสวมเสื้อสีขาวมีผ้ากันเปื้อนสีฟ้าแบบฉบับคนรับใช้ทั่วๆไป เธอผู้นี้มีชื่อว่า ฟิฟีคัส กู๊ด
"ตาแก่โอลีนนั่นตามหาแกแน่ะ" พอดแมนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุด ซึ่งผิดกับตอนที่ใช้พูดกับเจ้านายอย่างสิ้นเชิง
"อย่าพูดให้ใครได้ยินอีกนะค่ะ" ฟิฟีคัสแย้งเสียงเฉียบขาด พลางก้มลงจัดผ้าห่ม
"นี่ฉันเป็นพ่อแกนะ นังหนู" พอดแมนขู่เสียงแข็ง "ไปเดี๋ยวนี้!" ว่าแล้วเธอก็วิ่งออกจากห้องไป ปาดน้ำตาที่ดูเหมือนจะล่วงไปตามทางขณะที่เธอออกวิ่ง พอดแมนยืนหันหน้าให้ห้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วปิดประตูตามหลังดังปังจึงค่อยเดินตามไป
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นพอดแมนก็เดินมาถึงหน้าห้องซึ่งเจ้านายและลูกสาวกำลังสนทนากันอยู่ เขาถูมือไปมาพร้อมที่จะแอบฟังทุกเมื่อ และขณะที่กำลังเอาหูแนบกับรูของกรประตูนั้นเป็นช่วงเวลาที่แปลกประหลาดที่สุด หรืออาจเป็นได้ว่าเขาหูหนวกไปแล้วจริงๆ เพราะแทนที่จะมีเสียงผ่านออกมาจากรูนั้น แต่กลับไม่มีวี่แววของเสียงใดๆทั้งสิ้น แวบแรกดูเหมือนเขาได้ยินเสียงอื่ออึงของลม หรือบางทีก็ได้ยินเพียงเสียงไฟที่ประทุในเตาผิงเท่านั้น มันช่างแปลกเอามากๆ
หลังจากที่ยืนอยู่ตรงนั้นอยู่นานราวสิบนาที (เขาก็ยังคงไม่ได้ยินอะไรอยู่ดี) ประตูห้องก็ออกผลวะ ฟิฟีคัสก้าวออกมาจากห้อง เธอก้มลงดูพื้นขณะเดิน สองมือประสานกันข้างหน้า ไม่สบตาผู้เป็นพ่อแม่แต่น้อย
"เข้ามา" โอลีนสั่งเสียงเสียงแหลมราวกับรู้ก่อนหน้านี้ว่าพอดแมนอยู่ตรงนั้น พอดแมนตอบรับเสียงอย่างเย็นชาก่อนเดินเข้าไป โอลีนยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับจริงๆ หรือเรียกได้ว่าไม่ขยับเลยก็ว่าได้
"นายท่าน" เขาพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
"คิดว่าฉันบอกเธอแล้วนะว่าอย่าใช้คำแทนตัวฉันว่า 'นายท่าน' เลย" โอลีนเน้นเสียงที่คำว่า นายท่าน
"เอ่อ ขอรับ...ข้อน้อยลืมไป พอคิดถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านแล้วก็อดพูดไม่ได้เลย ลืมตัวเกือบจะทุกทีขอรับ" เขาพูด พยายามให้ฟังเหมือนชวนคุยมากกว่าการประจบ
"ฮ่าๆๆ เธอนี่ปากหวานนะรู้มั้ย" โอลีนชมเขา "แต่เอาเถอะ มาเข้าเรื่องของเรากันเถอะนะฉันว่า ก่อนอื่นฉันอยากให้เธอดูนี่หน่อย" พูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ดูๆแล้วเขาก็ตัวเล็กชนิดที่เรียกว่าคนแคะยังโตกว่า ใบหน้านั้นแหลมเรียว หูตั้งยาวเหมือนเอล์ฟ จมูกแหลม ใบหน้าซีดเซียวซูบตอบเหมือนผีดิบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดุจเปรวเพลิงตัดกับทรงผมสีเทาล้วนยุ้งเหยิงไม่เป็นทรง เขาเดินอ้อมเก้านวมไปที่ชั้นหนังสือ ขณะไล่นิ้วไปตามแต่ละชั้นเพื่อหา สมองก็พลันคิดว่ามันชั่งเหมือนเมื่อวานนี้เองที่เขาได้คิดค้นแผนการเก็บขุมทรัพย์อันล้ำค่าของตระกูล เห็นภาพเขาเองยืนอยู่ในห้องคนเดียว กำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จและโล่งใจว่าสมบัติชิ้นนั้นได้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่เสียที และเขาก็เจอมันอยู่ตรงช่วงกลางของชั้นพอดี หนังสือ'คู่มือความรู้แถบทุกแบบ' เขาหยิบมันออกมาพร้อมกับหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่อยู่ถัดกัน และหันตัวกลับไป
"นี่แน่ะ หน้านี้เอง เอาละเจอแล้ว" เขาบอกเมื่อเพิ่งพลิกหน้ากระดาษหนังสืออย่างรวดเร็ว และเอ่ยต่อไปว่า "เกาะเบลอร์ราฮอน" นาทีนั้นเองเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นเป็นครั้งแรก หน้ากระดาษพลิกตัวอย่างรวดเร็วราวกับมีลมที่มองไม่เห็นพัดมัน แล้วมาหยุดอยู่หน้าหนึ่งทันที อึดใจต่อมา หยดหมึกก็พุ้งพรวดขึ้นมาจากหน้ากระดาษแล้วรวมตัวกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้มันดูเหมือนกลายเป็นเกาะสีดำขนาดย่อที่ล้อมรอบด้วยท้องทะเลสีครามดูสวยมากทีเดียว ไม่มีอะไรไหวติงทั้งสิ้นต่อจากนั้น ราวกับว่าฝันไปหน้ากระดาษมีเสียงพูดที่นุ่มนวลที่สุดชัดเจนที่สุดตอบกลับมา
'เบลอร์ราฮอน ดินแดนที่ทุกชีวิตกำเนิดขึ้น ดำรงอยู่ และสิ้นสุดลง ไม่มีการรบราฆ่าฟัน ไม่มีการทารุนใดๆมาเป็นร้อยปีนับตั้งแต่ยุคของพระเจ้าเบลเลอโรฟและพระนางลูกาน่า กษัตริย์พระองค์แรกที่ครอบครองดินแดนแห่งผู้วิเศษ 'เบลอร์ราฮอน' ซึ่งถือว่าเป็นต้นตระกูลกษัตริย์สำคัญยิ่ง แต่กระนั้น ราชวงศ์นี้ก็อยู่ได้ไม่นานนัก พอมาถึงรุ่นลู...'
แล้วข้อความก็จบลงเพียงเท่านั้นภาพของเกาะนั้นก็จางหายไปด้วยเมื่อโอลีนปิดหนังสือดังปังแหวกความเงียบขึ้นมา อาจเป็นเพราะโอลีนเองนั้นคิดว่าเนื้อความในหนังสือวิเศษเล่มนี้คงจะมีต่อๆไปมากกว่าที่นี้แน่ หากแต่เขาไม่ต้องการข้อมูลเหล่านั้น เมื่อสังเกตจากสีหน้าของพอดแมนตอนนี้คงบอกได้เพียงว่าเขาคงทั้งอึ้ง ตะลึง ตกใจ และหวาดผวารวมกันอยู่ ดวงตาสีเข้มของเขาเกือบถลนออกมาและขณะเดียวกันก็มีแววตาแห่งความรุ่งโรจและละโมบปนกันอยู่
"เธอคิดว่าไงฮึ...พอดแมน" โอลีนถาม เขาเพิ่งวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเก้าอี้นวมแล้วคว้าอีกเล่มขึ้นมา
"เอ่อ...อะไรนะขอรับ" พอดแมนขานรับด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตายังจ้องที่หนังสือไม่กระพริบ แล้วจึงหันมาพูดอีกเมื่อรู้ตัวว่าเจ้านายกำลังจ้องตนอยู่ ดูเหมือนว่าตอนนั้นเองเขาคิดว่าเพิ่งรู้ว่าควรตอบอย่างไร "อ่อ!!... เอ่อ ดีที่สุดที่เคยเห็นมา เป็นที่ที่สวยมากขอรับ ข้าน้อยขอยืนยันขอรับนายท่าน ขอยืนยัน เป็นที่ที่สวยจริงๆ สวยมากจริงๆ" เขาบอก
"งั้นรึ ถ้าอย่างนั้น เธอเคยคิดบ้างไหมว่าในความงามนั้นมีอะไรที่ซ้อนอยู่" พอดแมนส่ายหัว "งั้นรึ" โอลีนพูดต่อ "ถ้าอย่างนั้นฉันก็ควรบอกกับเธอด้วยนะดีไหมเล่า ใช่ ดีแน่ๆ เกาะแห่งนั้นตามตำนานถูกเรียกว่าเกาะกระโหลกมืด ฉันคิดว่าที่มันถูกเรียกชื่อนี้ก็เพราะเคยมีชาวประมงแถบนั้นเข้าไปในพื้นที่ และไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าทำไม แต่เท่าที่ฉันรู้เกาะแห่งนี้ถูกอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นครอบงำอยู่ เหมือนกับสภาพของเมืองเราในตอนนี้ยังไงเล่า เหมือนกับที่มีหมอกควันหนาทึบแบบนี้ แต่อำนาจเร้นลับนั่นก็ไม่สามารถบอกอะไรเราได้หรอกจริงไหม ฉันเชื่อว่าสิ่งเดียวที่เราคาดเดาได้ก็คือ เบลอร์ราฮอนถูกอำนาจร้ายของจอ..." เขาไอนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ เพียงแต่เดินกลับไปที่เก้าอี้นวม (มีพอดแมนที่ท่าทางสนอกสนใจเอามากๆ เดินอุ้ย อ้ายตามมาติดๆ) แล้วนั่งจมลงไปในเก้าอี้ กางหนังสือเล่มที่เพิ่งหยิบมาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง พึมพำอะไรบางอย่างที่พอดแมนไม่ได้ยิน
"ฉันควรทำอย่างไรล่ะหรือ อ้อนี่ไง 'การสกัดวิญญาณ' ในที่สุด" เขาบอกหลังจากที่เงียบงันไปชั่วครู่ "การสกัดวิญญาณเป็นวิธีที่ถือว่าต่ำช้าที่สุดในบรรดาศาสตร์เวทมนตร์ แต่ได้มีการค้นพบโดย 'อมีคีส โรเจอร์ เบอวิงตัน' ว่าการสกัดวิญญาณไม่ได้เป็นศาสตร์เฉพาะเวทมนตร์มืดเสมอไป ไม่นานมานี้มีการประดิษอุปกรณ์ต่างๆที่มีลอยเชื่อมระหว่างความเป็นและความตาย... เธอเข้าใจบ้างไหมพอดแมน" เขาเงยหน้าขึ้นจากตำรา และถามความคิดเห็นจากพอดแมนอย่างไม่กระตือรือร้นที่จะถามสักเท่าไร พอดแมนไม่มีท่าทีใดๆทั้งสิ้นเขาเงียบเสียงและฟังต่อ "...ความเป็นและความตายที่เชื่อกันว่ามีเพียงอำนาจเดียวเท่านั้นที่แท้จริงซึ่งจะประสานทั้งสองอย่างนี้เข้าหากันได้นั่นคือ..." แต่ข้อความตรงนี้ได้เลือนหายไป ซึ่งถูกทับโดยลอยปื้นสีน้ำตาลเข้มเหมือนลอยกาแฟหกใส่ "...เอะ มันลบออกไปได้ยังไงกัน" โอลีนกระซิบกับตัวเองเบาๆแล้วอ่านต่อ "...เบอร์วิงตันกล่าวว่า 'สิ่งนั้นมีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนอยากได้มันไปครอบครอง แต่หารู้หรือไม่ว่า หลังจากที่ทั้งสองสิ่งคือความเป็นกับความตายประสานกันอย่างลงตัวแล้ว คุณจะมีชีวิตที่ครึ่งหนึ่งที่ทั้งเป็นและตายหลังจากที่ได้ทำลายสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดไป... มีเพียงอำนาจเดียวที่จะหักล้างอาถรรพ์แห่งความอมตะนี้ได้คือการหลั่งเลือดแห่งผู้มีอำนาจเหนือความตายทั้งปวง หรือที่จะเข้าใจได้ง่ายที่สุดคือ ดื่มเลือดซาตานแห่งขุมนรก" เมื่อถึงตอนนี้พอดแมนมีท่าทางวิตกน้อยๆ เหงื่อซึมท่วมร่างและขาสั่นพับๆเข้าหากัน "เมื่อนั้นปากทางนรกจะเปิดออกผู้รักษาประตูนั้นจะเป็นอิสระจากการพันธนาการมานับพันปี เลือดคนบริสุทธิ์จะไหลริน ผู้ทรยศและเจ้าแห่งอสูรย์จะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง... ทั้งสามโลกจะผสมผสานเข้าหากัน วิญญาณเร่ร่อน สรรพชีวิตมากมาย และท้ายที่สุดก็จะถึงวันสุดท้ายของโลก...
"ท่านขอรับ" พอดแมนเริ่ม
"ว่าไง"
"ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ เรื่องวันสุดท้ายของโลก"
"ฉันไม่รู้หรอกพอดแมน ฉันบอกได้เพียงว่ามันสำคัญมากสำหรับมรดกชิ้นนั้น ของชิ้นนั้นที่ฉันจะให้เธอนำมาให้ฉัน..."
"แต่... ขอประทานโทษนะขอรับ ทำไมท่านจึงให้กระผมไปเอาของนั่น เอ่อ... ข้าน้อยหมายถึง ทำไมท่านถึงไปเอาของนั่นด้วยตัวเองไม่ได้" พอดแมนถาม
"อ่า... เรื่องนั้นเธอจะรู้เองหลังจากนั้นพอดแมน" ยิ่งฟังอย่างนี้แล้ว พอดแมนยิ่งเริ่มมีความรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่เพราะเขากลัวและก็ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่เพราะเขาประหม่าถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่ว่าเขาเคยเห็นเวทมนตร์เหล่านี้มาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันเพิ่งผ่านตาเขาไปสดๆร้อนๆ อีกทั้งความมหัศจรรย์ของหนังสือวิเศษเล่มนั้นยิ่งทำให้เขาเกิดความคิดมากมาย จนมันแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาพยายามตั้งสติ ชีพจรของเขาเต้นรัวเร็วอย่างไม่เป็นจังหวะเมื่อนึกถึงสีหน้าของตนเองรุ่งโรจน์ขณะเดียวกันมันก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน... แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ...
"พอดแมน... พอดแมน... เธอเป็นอะไรไปน่ะ... ยังอยู่กับเราใช่ไหม..." เสียงนั้นร้องดังมาก พลางเอามือข้างหนึ่งปัดขึ้นปัดลงห่างจากใบหน้าของเขาเพียงหนึ่งนิ้วครึ่ง ดูเหมือนพอดแมนก็เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนั้นว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้า ...เจ้านายของเขานั่นเอง
"โอ๊ย!!..." พอดแมนร้องในคอเพราะมือเล็กๆของโอลีนปัดมาถูกจมูกงองุ้มของตน
"...ฮ่าๆๆ... ขอโทษทีนะ ฉันคิดว่าเธอหลับไปแล้วซะอีกแหน่ะ" โอลีนพูดอย่างอารมณ์ขัน
"ทำไมท่านจึงคิดว่าข้าน้อยจะทำงานนี้ให้ท่านได้ ท่านไม่กลัวว่าข้าน้อยจะทำมันเสียหายระหว่างทาง หรือว่าขโมยมันซะเองหรือขอรับ" พอดแมนพูด
"เฮ้อ...จะให้ต้องบอกอีกสักกี่ครั้งเธอถึงจะยอดเชื่อฮึพอดแมน หรือว่าเธอไม่อยากทำงานนี้ให้ฉัน"
"มิได้ขอรับ" เขาบอกพร้อมก้มหน้า "แต่..."
"...แต่ฉันจะบอกเธอเดี๋ยวนี้ละว่าเธอต้องทำอะไรบ้างในที่สุด" โอลีนแย้งขึ้นอีกจนได้ พอดแมนก็ดูเหมือนจะยอมแพ้และเลิกหาข้ออ้างเสียเหมือนกัน "แรกสุดเลย เธอต้องเดินลงไปที่ห้องใต้ดินข้างล่างนั่น มันจะอยู่ที่นั่น ข้างหลังผนังหินสีดำทมิฬตรงสุดปลายของห้อง เธอจะยืนอยู่ตรงนั้น และ... ตามฉันทันไหม... ดี... เอาละทีนี้ เธอต้องท้องมันให้ขึ้นใจทีเดียว พูดตามฉันนะ 'กีฟีน เอิท ลา เพกิซ เดอ โพรมิส ออฟ พลัมพ์ตัน" และเขาก็ร้องเพลง
'เจ้ากริฟฟินตัวน้อยแสนน่ารัก
เพกาซัสขนสีขาวงามดอกหนา
จงเปิดทางแห่งนี้ให้เถิดนา
ข้าสาบานด้วยศักดิ์ศรีของครอบครัว
ว่าาข้าจะรักษาสิ่งของนี้
ให้ประจักรสมศักดิ์ศรีถวินหา
เราจะดูแลมันเองดอกนา
และจะคืนสู่บ้านใหม่ของมันเอย'
เมื่อร้องจบ พอดแมนเริ่มท้องจำตามนี้ทีละประโยค บ้างก็ผิดบ้างก็ถูก บ้างก็ร้องเพี้ยนเป็น 'กิ๊ฟฟิ้' บางทีก็ร้องเป็น 'เพกิท' อย่างนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเขาก็จำบทเหล่านี้ได้บ้าง และเริ่มร้องทบทวนจนจำได้ขึ้นใจ หลังจากนั้นโอลีนก็เริ่มทบทวนให้เขาอีกครั้งหนึ่ง และจึงอธิบายต่อว่า "เธอจะพบมันอยู่ตรงนั้น" พอดแมนมีสีหน้าเอาจริงเอาจังมากทีเดียว "หยิบมันออกมาแล้วเอาขึ้นมาที่นี่และภารกิจของเธอก็จะจบลง... เอาละไปได้แล้ว ...อ่อ ที่สำคัญเธอต้องไปอย่างเงียบกริบ อย่านำตะเกียงไปด้วย..." โอลีนกระซิบ พอดแมนพรวดออกจากห้องแถบจะในทันที สีหน้าส่อแววรุ่งโรจน์อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดินออกไปตามระเบียงทางเดินลงบันใดสู่ห้องโถงกลาง พลางคิดไปว่า 'ให้ฉันเอามันออกมาได้ก่อนเถิดแก' และ 'ฉันไม่มีวันคืนให้แกหรอกเจ้าโง่เอ๋ย' ขาก็เดินกระโพลกกระเพลกไปตามขั้นบันไดเวียนมืดๆที่ทอดลงสู่ห้องใต้ดิน เนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้เส้นทางนี้ และไม่ค่อยมีคนเข้ามา จึงไม่มีใครลงมาทำความสะอาดถึงที่นี่ มันจึงถูกปล่อยให้รกรุงรัง โสโครกไปด้วยหยากไย่ ตระใคร่น้ำลื่นๆ มอส และสีเขียวสาระพัดสาระพันธุ์เกาะอยู่ตามผนังและพื้นหิน เมื่อลงมาจนสุดขั้นบันใดก็พบห้องโถงเล็กๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ที่เหมาะกับการเพราะพันธุ์หนูนายักษ์ของนักวิทยาศาสตร์หรืออะไรทำนองนั้นมากกว่าที่จะเป็นห้องเก็บสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูล เพราะห้องดูขนาดได้สัดส่วนพอดี ผนังหินสีดำทางด้านขวามีช่องระบายอากาศเล็กๆที่ต่อมาจากข้างบนอยู่ เพราะมีแสงจางๆส่องลอดเข้ามาได้ มีแท่นคบเพลิงวางอยู่ทุกมุมของห้องแต่หากไรแสงไฟ พวกหยากไย่ มอสขึ้นแสมอยู่ประปรายตามล่องต่อของแผ่นหิน โดยเฉพาะเทาไอวี่ซึ่งทะลุลงมาจากข้างบนเลื่อยพันธนาการรอบห้องอย่างน่าสพรึงกลัว
อีกฝั่งหนึ่งของห้องมีรูปปั้นหินสีดำตั้งตระหง่านอยู่ มันดูไม่เหมือนตัวอะไรทั้งนั้น หากแต่เหมือนต้นไม้ที่วาดกิ่งไปมาและอยู่ๆก็ถูกทำให้แข็งตาย บริเวณที่ควรจะเป็นยอดต้นนั้นกลับมีหัวของนกอินทรีขึ้นแทนที่ และหัวของม้าโพล่ออกมาจากโพงที่อยู่ด้านหน้า มีปีกสองข้างยื่นออกมาจากทั้งสองฝั่งของต้นไม้ เถาไอวี่ขึ้นปกคลุมอยู่แถวโคนต้นอย่างไม่กลัวเกรง
พอดแมนกำมือแน่น เดินข้ามห้อง แล้วก้าวเข้าใกล้รูปปั้นอย่างช้าๆ ราวกับกลัวมันจะมีชีวิตขึ้นมาอย่างกระทันหัน ...และแล้วสิ่งหนึ่งก็ดลใจให้เขาร้องขึ้น เขาเริ่มทบทวนบทพูดและเนื้อเพลงอยู่ในหัวทีละนิดและพูดออกมา 'กีฟีน เอิท ลา เพกิซ เดอ โพรมิส ออฟ พลัมพ์ตัน' เดี๋ยวนั้นเองที่รูปปั้นมีปฏิกิริยาตอบกลับมา ส่วนหัวของนกอินทรีสั่นน้อยๆ ขนคอที่ยังคงเป็นหินพริ้วไหว ม้าอ้าปากจะร้องแต่ก็ปิดลงก่อน ปีกสองข้างของมันกระพือเบาๆสองสามที และส่วนที่พอดแมนคิดว่าเป็นเถาไอวี่ปรกคลุมบริเวณโคนต้นนั้น แท้จริงแล้วคือส่วนหางของกริฟฟิน (ที่มีส่วนท่อนบนเป็นนกอินทรีและส่วนล่างเป็นของสิงโต) มันกวัดแกว่งไปมา ทั้งๆที่ทุกส่วนยังดูเหมือนเป็นหินอยู่แต่รูปปั้นก็ขยับเขยื้อนได้อย่างมีชีวิตชีวาที่สุด
พอดแมนเริ่มเข้าใจผิดแล้วว่าเขาไม่เพียงแต่ประหม่าอย่างเดียว เขาหวาดกลัวด้วยต่างหาก ทั้งๆที่คิดแล้วว่าจะไม่กลัว แต่ก็กลัวจนได้ ตอนนี้เพกาซัส (ซึ่งมีร่างกายเป็นม้าและมีปีกสีขาวยื่นออกมาทั้งสองข้าง) เริ่มร้องเสียงดัง มันไม่ใช่เสียงม้าที่ร้องตามฟาร์มหรือสวนสัตว์ทั่วไป แต่เป็นเสียงที่เพราะกว่าและดังกึกก้องกว่า ดูยิ่งใหญ่กว่า
แต่แล้วเขาก็เริ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้กลัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเริ่มต้นร้องเพลง (อย่างไม่เป็นจังหวะทำนองเท่าไรนัก) ...เจ้ากริฟฟินตัวน้อยแสนน่ารัก...ขณะที่ร้องรูปปั้นหินดูเหมือนจะยิ่งดูมีชีวิตมากขึ้น กริฟฟินก็เหมือนจะโผบินออกจากต้นไม้ที่พันธนาการมันอยู่ให้ได้แต่ไม่สำเร็จ เช่นเดียวกับเพกาซัสที่พยายามถีบตัวออกมาจากโพงไม้ที่มันอยู่นั้น ...ว่าข้าจะรักษาสิ่งของนี้... เขาร้องต่อโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หากดูสีหน้าของเขาในตอนนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปกับศพซีดๆดีๆนี่เอง ...ให้ประจักรสมศักดิ์ศรีถวินหา... ...เราจะดูแลมันเองดอกนา... และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอยเมื่อเขาร้องว่า ...และจะคืนสู่บ้านใหม่ของมันเอย... ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องขึ้นมา เป็นเสียงที่ไพรเราะที่สุด เสียงที่ทั้งทุ้มทั้งอ่อนหวานนุ่มนวลประสานกัน เสียงเหล่านั้นเริ่มต้นร้องเพลงที่มีทำนองซึ่งฟังดูลึกลับและน่าค้นหาอย่างยิ่ง
...เข้ามาเอาไปเถิดสมบัติข้า
อย่ารอช้าคนอื่นเขาฉกเอาหนา
ก้าวเข้ามาอย่ารอช้ามัวลีลา
เปิดหีบหาแล้วเจ้าจะเจอเอย...
ขณะที่เพลงประสานเสียงนี้ยังร้องอยู่รูปปั้นหินที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยเลื่อนไปทางขวาเปิดทางให้ แล้วเขาก็พบ... ห้องที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ตรงนั้น ข้างในทั้งชื้นและเหม็นอับ สกปรกและรกเช่นเดียวกับห้องอื่นๆในชั้นใต้ดิน มีแท่นหินสี่เหลี่ยมตั้งอยู่กลางห้อง หีบสีเงินส่องประกายอยู่บนนั้น...
...พอดแมนดันร่างอ้วนๆของเขาเข้าไปทางช่องเล็กที่เพิ่งเปิดออก ...ไม่รอช้ารีบคว้าหีบนั้นมาและเอามันยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม... แต่... ทันใดนั้น มีเสียงแตก!!ดังออกมาจากห้องโถงชั้นใต้ดิน พอดแมนดันร่างกลับออกมาเอามือซุกเข้าไว้ในกระเป๋าเสื้อและร้องถามว่า "นั่นใครน่ะ" ทีแรกไม่มีเสียงตอบกลับมาด้วยซ้ำ พอเขาเดินไปถึงบริเวณต้นตอของเสียงก็พบว่า ตะเกียงตกแตกอยู่บนพื้น เศษแก้วกระจัดกระจาย และที่สำคัญมันยังร้อนอยู่
"นั่นใครน่ะ... ออกมานะไม่งั้นฉันจะฆ่าแกเสีย... ฉันถามว่าใคร!!!" เขาร้องเสียงดัง "ยายแก่พังกี้หรือ!!..." แต่แล้วก็มีการเคลื่อนไหวอยู่หลังแท่นคบเพลิง ฟิฟีคัสสะบัดผมแล้วลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผู้เป็นพ่อ
"แก... นังลู..."
"ลูกไม่รักดี... ใช่หนูเป็นยังงั้นในสายตาพ่อเสมอ..." ฟิฟีคัสพูดกลัวๆ เธอเอามือเท้าสะเอว ตาทั้งสองจับจ้องบิดาของตน
"แกอย่ามาทำเป็นอวดดีไปหน่อยเลยนังลูกสาระเลว"
"พ่อต่างหาก... แล้วนั่นพ่อคิดจะทำอะไร อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อเอาออกมานะ!!" ลูกสาวบอกด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวขึ้นบ้างแล้ว
"แกพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง... ไปถอยไป ฉันจะไปหาตาแกนั่น" แน่นอนที่เดียวว่าเขาพูดปด
"พ่อแน่ใจหรือ..." เธอพูดเสียงกระซิบ
"มันไม่ใช่ธุระอะไรของแก นังลูกชั่ว" พอดแมนตะโกน ดวงตาโตเหมือนจะหลุดออกมาเดี๋ยวนั้น
"มันเป็นธุระของหนูสิ หนูเป็นลูกพ่อ พ่อทำอะไรหนูก็ต้องรู้" เธอเถียง
"แก... แก..." พอดแมนพยายามจะพูด "แก... แกไม่ใช่ลูกฉัน ฉันไม่มีลูกเลวๆอย่าแกหรอกนังคนชั่ว เหมือนแม่แก ยายสาระเลวเอ่ย" เมื่อพูดดังนี้แล้วก็มีหยดน้ำใสๆไหลลงมาตามแก้มของฟิฟีคัส เธอร้องไห้แต่ไม่มีเสียง คงเป็นการเสียใจอย่างที่สุดแล้วตอนนี้
"พ่อคะ..." เธอพูดเสียงสั่น
"ไม่..." พอแมนตอบเสียงแข็ง
"ก็ได้คะ..." พูดแล้วเธอก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ปัดมือพ่อของเธอจากกระเป๋าเสื้อ ล่วงเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา โชคร้ายที่พ่อของเธอรู้ตัวเสียก่อน จึงเกิดการแย่งชิงกันในขณะนั้น "ให้หนูดูเถอะ..." แล้วก็มีเสียงตะโกน... "ไม่...ไม่...ไม่..." ของผู้เป็นพ่อแทรกขึ้นมา ท่ามกลางความชุลมุลของการยื้อแย่งนั้น... มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน... หีบสีเงินนั้นตกลงบนพื้น... ฝาหีบเปิดอ้า... เกิดแสงสว่างวาบ!!... แล้วพอรู้ตัวอีกทีพอดแมนก็รู้ว่าลูกสาวของเธอหายไปแล้ว
ความคิดเห็น