คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ♡#4 os 'tl ml dl' /yoonjin
TL ML DL
kim
seokjin got mad at min yoongi with no reason,
he has to find it. NOW
yoongi/seokjin
นี่ไม่ใช่คิมซอกจินที่เขารู้จัก
โอเค
นี่อาจจะฟังดูแปลกประหลาดและเกินจริงไปหน่อย แต่เชื่อเถอะ คิมซอกจินคนเดิมได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง
ให้ตาย
เขาไม่ชอบอีกฝ่ายในร่างนี้เลย
“พี่จิน
เย็นนี้ไปกินเนื้อย่างกันไหม?”
เอ่ยถามอีกคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายร่วมห้องคนสนิทของตน
พยากรณ์อากาศในวันนี้บอกให้เขารับรู้ว่าอุณหภูมิในแถบนี้เริ่มเข้าใกล้ติดลบเต็มที
เพราะตารางงานที่แน่นขนัดและความเคร่งเครียดสะสมมาตลอดสัปดาห์ที่เริ่มทำเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่
สิ่งที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็นในวันนี้คงไม่พ้นโซจูซักขวดและหมูสามชั้นย่างในร้านประจำ
และเมื่อพูดถึงร้านอาหารแสนอร่อย คนที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำแรกของเขาก็คงไม่พ้นเจ้าของริมฝีปากสีแดงอิ่มนั่น
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธหมูย่างเจ้าโปรดไปได้แน่
“ยุนกิไปเถอะ
พี่กำลังลดน้ำหนักอยู่น่ะ”
ไม่น่า...
โกหกทั้งเพ
คิมซอกจินที่มักจะบอกเสมอว่า’ถ้าได้กินของอร่อยแล้ว แคลอรี่ก็มีค่าเท่ากับ 0’,
คิมซอกจินที่ไม่เคยปฏิเสธเขาซักครั้ง
คิมซอกจินที่มักจะมีความสุขกับมื้ออาหารสำหรับคน 12 คน
จะเป็นคนคนเดียวกันกับคิมซอกจินตรงหน้าเขาไปได้อย่างไร
เป็นไปไม่ได้
เพราะอยู่ด้วยกันมานาน
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็แทบนับไม่ถ้วน เราต่างก็รู้นิสัยใจคอเบื้องลึกกันดีว่าแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร
ถ้าเกิดคิมซอกจินจะไดเอทหรือกำลังอยู่ในช่วงควบคุมอาหารจริง ๆ
การได้ทานเนื้อย่างก็เป็นสิ่งที่คนเป็นพี่ชอบลักลอบทำควบคู่กับการควบคุมอาหารอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะชวนเขาออกจากหอกลางดึกและต้องรีบกลับมาให้ทันก่อนเวลาตีหนึ่ง
หรือจะรวมไปถึงการลงทุนลงแรงเดินฝ่าลมหนาวเหน็บด้วยสเวตเตอร์สีเทาตุ่นตัวเดียว
เพียงเพื่อให้ทันกับโปรโมชันลดครึ่งราคาของร้านเนื้อย่างนั่น คิมซอกจินไม่เคยปฏิเสธของอร่อย
อันที่จริง คิมซอกจินไม่เคยปฏิเสธคำเอ่ยชวนของเขาซักครั้ง ตั้งแต่รู้จักกันมา
“อากาศกำลังหนาว
พี่ไม่อยากดื่มบ้างหรอ?”
ลองย้อนถามอีกครั้งเผื่ออีกฝ่ายจะเกิดความลังเลใจ
เขาจะไปดื่มคนเดียวก็ได้ นั่นมันสบายมาก
แต่ที่เซ้าซี้และซักถามอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาก็เพราะความรู้สึกล้วน ๆ
เขาก็แค่อยากนั่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวอาหารและกลืนลงลำคอ
เขาแค่อยากเห็นแววตาประกายสว่างยามเห็นควันหอมฉุยและสีที่เปลี่ยนไปของเนื้อบนเตา
เขาแค่อยากนั่งมองอะไรบางอย่างเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับการทำเพลงสำคัญชิ้นต่อไป
“ไม่ล่ะ
พี่ไม่อยากหน้าบวมพรุ่งนี้”
ลอบมองปฏิกิริยาที่ได้รับจากอีกฝ่ายยามตอบคำถามทำให้เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
พี่ซอกจินไม่ได้สบสายตาเขาเหมือนก่อน ริมฝีปากสีแดงสดนั่นเม้มอยู่เพียงครู่ราวกับชั่งใจว่าจะพูดคุยกับเขาต่อไปหรือไม่
และการปฏิเสธที่ไม่มีเหตุผลนั่นอีก
เดบิวต์มาก็ย่างเข้าปีที่สี่
ทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าอีกฝ่ายไม่เคยแคร์ผลกระทบหลังจากมื้อหนักยามดึกเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะเคยมีบ่นอุบ แต่ก็ไม่เคยทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ต่อความต้องการส่วนตัวได้
คิมซอกจินตัวจริงควรจะดื้อและแสบสันมากกว่านี้สิ
“แต่ผมไม่อยากกินคนเดียว
พี่ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”
ในเมื่อเอ่ยถามด้วยมิตรไมตรีไม่ได้ผล
เขาก็คงต้องงัดไม้เด็ดกึ่งบังคับมาใช้ ถ้าหากพวกเขามีเวลาว่างอีกซักหน่อยตัวเขาเองคงจะไม่เอาแต่ใจแบบนี้เป็นแน่
แต่เพราะนี่คือวันหยุดเดียวและวันหยุดสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่(อย่างน้อยก็สำหรับอีกฝ่ายละนะ)
เขาก็แค่อยากใช้มันไปให้ไม่เปล่าประโยชน์ที่สุด(แปลง่าย ๆ
ก็คืออยากใช้เวลาด้วยกันไง)
“พี่เห็นแทฮยองพูดอยู่ว่าอยากกิน
ยุนกิไปชวนน้องเถอะ”
เอาอีกแล้ว..
นี่ไม่ใช่คิมซอกจินที่เขารู้จักแล้วล่ะ
ไม่ใช่แน่ ๆ
พินิจมองคนตรงหน้า
ถึงจะมีอาการเหนื่อยล้าจากซ้อมการแสดงพิเศษมาทั้งวัน
แต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏก็ช่างประจวบเหมาะเป็นคิมซอกจินเสียจริง ถึงอย่างนั้น
ลางสังหรณ์ของเขาก็ชี้ชัดว่านี่ไม่ใช่อาการปกติอย่างแน่นอน
หรี่ตาของตนเองเมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่หลุบตาลงต่ำ
ไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้ามองคู่สนทนาอย่างเขาด้วยซ้ำ อาการแบบนี้ถ้าไม่เป็นเพราะสายตาสั้น
อีกฝ่ายก็คงไม่พอใจเขาอยู่มากแน่ ๆ
ก็ใบหูแดงเถือกนั่นไงละ
หลักฐานมัดตัวได้อยู่หมัด!
ถึงมินยุนกิจะเป็นมนุษย์จอมเชื่องช้าผู้ไม่สนใจกับการที่โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
แต่เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีระบบประมวลผลที่โหลยโท่ยเหมือนเจ้า 95
ไลน์นั่นซักหน่อย เขาชอบลอบมองและจับสังเกตไปเรื่อย
ถ้ามีเรื่องอะไรก็มักจะรับรู้ก่อนคนอื่น
แต่นั่นมักใช้ไม่ได้ผลกับเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอายุยี่สิบห้าปี,
คิมซอกจิน
เหมือนกับที่เจ้าโฮซอกเคยพูดเอาไว้
พี่ซอกจินมักเป็นข้อยกเว้นของมินยุนกิ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหาเหตุผลซักเท่าไหร่
คำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ก็คงเพราะ คิมซอกจินคือคิมซอกจิน –ดูสิ้นคิดไปหน่อย
แต่เวลาที่เขาได้อยู่กับอีกฝ่าย สมองก็ลืมคิดเรื่องเหตุผลไปชั่วขณะ
เช่นตอนนี้ที่เขาคิดอะไรไม่ออกซักอย่าง
ถึงจะเค้นออกจากความทรงจำส่วนลึกขนาดไหนก็ไม่เห็นจะมีสัญญาณแจ้งเตือนอะไรซักอย่าง อีกฝ่ายกำลังโกรธเขา
นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่เพราะว่าเรื่องอะไรกันละ? ไม่ว่าจะนึกย้อนไปก่อนหน้าซักกี่วัน
กี่เดือน กี่ปี เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจแน่ เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง เชื่อเถอะว่า ริมฝีปากอิ่มพร้อมที่จะพูดกรอกหูเขาเช้ายันเย็น
พร้อมจะสู้จนกว่าเขาจะสำนึกผิด –ก้อขี้ประชดขนาดนั้นละนะ
หรือจะไม่พอใจจากคนอื่นแล้วมาลงที่เขา?
ประเด็นนี้คงถูกตัดออกตั้งแต่คิดจะยกอ้างแล้วด้วยซ้ำ
คิมซอกจินถึงจะเป็นคนขี้โวยวายไปนิด แต่ก็ไม่เคยเอาเรื่องบาดหมางระหว่างตนเองกับคนอื่นมาลงกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่(แต่ไม่นับรวมกับการระบายอารมณ์ลงกับคุณมาริโอนะ
อันนั้นเขาจะยกเว้นไปก็แล้วกัน) เพราะอย่างนั้น ถ้าปัญหาไม่เกิดจากตัวเขา
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดจากที่ไหนได้อีก
‘จะให้ไปกับนายได้ไงเล่า –เรื่องคืนนั้นมันยังฝังใจฉันอยู่เลยนี่นา’
เพราะการมัวแต่จมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองวนไปวนมา
บรรยากาศทั้งห้องจึงเงียบสงัด คนที่เมินหน้าก็เอาแต่ก้มหน้างุด อาจเพราะบรรยากาศระหว่างเราไร้การโต้ตอบใด
ๆ บรรดาเสียงจากข้างนอกห้องก็ลดลงเป็นระยะ
เขาก็เลยเผลอได้ยินคำบ่นอุบของอีกฝ่ายที่เหมือนจงใจพูดให้ตัวเองได้ยินอยู่ฝ่ายเดียว
คงคิดว่าเขาไม่ได้ยินก็เลยพูดออกมาสินะ
แล้วเรื่องคืนนั้น..
มันคือเรื่องคืนไหนกันละ?
ย้อนไปถึงความทรงจำช่วงเวลาค่ำคืนอย่างที่อีกฝ่ายบอกใบ้
นอกจากจำได้อย่างลางเลือนว่าหมกตัวอยู่แต่ห้องแต่งเพลง กับห้องซ้อมเต้น และห้องนอน
สถานที่อื่นก็ไม่เคยผุดออกมาในหัวอีกเลย
ยกเว้นเสียแต่งานเลี้ยงหลังจบงานประกาศรางวัลหลายเวที
นอกจากนั้นเขาก็ไม่ยักจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความผิดในยาม’ค่ำคืนนั้น’อีก
.....
แล้วเขาไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ตอนไหนกัน
ฝังใจเลยหรอ
–ร้ายแรงขนาดนั้นเลย?
“พี่ซอกจิน”
สูดลมหายใจลึกเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะตอบกลับด้วยอาการมึนตึง
เอาล่ะ นี่คงไม่ใช่อาการอย่างอื่นนอกจากโกรธกันแล้วล่ะ แถมท่าจะดูแรงเสียด้วย
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา พี่ใหญ่คนนี้ก็ไม่เคยทำท่ามึนตึงใส่เขานอกจากหยอกล้อกันเพียงเท่านั้น
แล้วสรุปสาเหตุมันคืออะไรละ?
“เงยหน้าคุยกับผมก่อน”
“...”
ไม่สำเร็จ
ไม่เห็นผลเลยซักนิด อีกฝ่ายนอกจากจะไม่เงยหน้ามาคุยด้วยกันตรง ๆ
ยังเลือกที่จะเอนตัวลงนอนกับเตียงของตนเองและหันหลังให้เขาอย่างไม่แยแส
ถ้าหากในตอนแรกมินยุนกิให้คำนิยามว่านี่คือความโกรธระดับเจ็ด
ตอนนี้มันคงพุ่งทะลุเต็มสิบไปแล้วเรียบร้อย
“..พี่ซอกจิน”
“...”
“พี่ซอกจิน
โกรธอะไรผมหรือเปล่า?”
ขยับตัวไปประจันกับพื้นที่ของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว
แผ่นหลังที่ประกอบไปด้วยช่วงไหล่กว้างกลับดูบอบบางเมื่อจมอยู่ในกองตุ๊กตา
ถึงจะนอนหันหลังให้เขาแต่ใบหูของอีกฝ่ายก็ยังคงแดงชัดท่ามกลางแสงไฟภายในห้องของเรา
“...”
“พี่
บอกผมไม่ได้จริง ๆ หรอ?”
อีกฝ่ายฝังหน้าลงกับตุ๊กตาคุณลุยจิตัวใหญ่ที่มักใช้แทนหมอนหนุนอยู่เป็นประจำ
เขาไม่เคยต้องมารับมือกับอาการแบบนี้ของคนเป็นพี่มาก่อน
ถึงน้องในวงจะชอบแสดงออกคล้ายกันแต่เขาก็เลือกที่จะเพิกเฉยและปล่อยให้อีกฝ่ายหายคิดมากไปเอง(นั่นก็เพราะเขาต้องการจะดัดนิสัยเจ้าพวกเด็กแสบด้วยละนะ
จะให้ตามใจทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่อง –ถูกหรือเปล่า?)
“...”
“ถ้าพี่ไม่บอก
ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ผมไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้เลยซักนิด”
“เปล่า
–ไม่ได้โกรธ”
โกหกไม่เนียนเลย
ต่อให้เขาเป็นเจ้าแทฮยองที่ความคิดและการแสดงออกไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน
เขาก็ยังคงมองออกอยู่ดีว่าอีกฝ่ายไม่พอใจตัวเขาเอามาก ๆ
ในเมื่อเขาเป็นคนช่างสังเกต
และคิมซอกจินก็เป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาจะใช้เวลาพินิจมองได้อย่างไม่มีเบื่อ
ทำไมเขาจะไม่รู้ ทำไมเขาจะมองไม่ออก
ความไม่พอใจที่แสดงออกมาทางการกระทำและสีหน้านั่นน่ะ
“พี่หลอกผมไม่ได้
พี่ก็รู้นิครับ”
“ก็เปล่า
–ไม่ได้โกรธ แค่..”
อีกฝ่ายเงียบไปจนเขาเริ่มใจไม่ดี
โอเค เขาอาจจะกังวลมากไปหน่อย แต่เรื่องของคิมซอกจินไม่ต่างอะไรกับเรื่องใหญ่ของเขา
ไม่ว่าจะแค่อีกฝ่ายโดนยุงกัดจนเป็นตุ่มบวมแดง
หรือแม้กระทั่งเรื่องร้ายแรงที่อีกฝ่ายโดนศอกเข้ายามที่แข่งกีฬาร่วมกับไอดอลคนอื่น
ๆ นั่นก็ด้วย
จำได้คร่าว ๆ
ว่าพอรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดก็มือสั่นจนรู้สึกว่าประมวลผลไม่ได้ชั่วขณะ
ยิ่งได้ยินเสียงเซ็งแซ่ว่ารุนแรงถึงขั้นที่ต้องพาอีกฝ่ายไปถึงโรงพยาบาลหัวใจก็เริ่มทำงานผิดจังหวะ
วันทั้งวันของการแข่งกีฬาน่ารำคาญยิ่งขึ้นอีกเป็นสิบเท่าเมื่อเขาไม่สามารถปลีกตัวไปดูพี่ซอกจินได้เลย
แค่อีกฝ่ายป่วยนิดหน่อยเขาก็แทบจะไม่เป็นอันกินอันนอนอีกแล้ว
พอมารู้ว่าโดนโกรธจนถึงขั้นไม่มองหน้าแบบนี้
เขาคงไม่มีแม้แต่อารมณ์จะลุกออกจากที่นอนนี้แน่ ๆ และปีใหม่ในปีนี้ของเขาคงจะเป็นปีใหม่ที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิต
“แค่..
แค่–เห็นหน้านายทีไร คืนนั้นมันก็ลอยมาในหัวฉันน่ะสิ!”
ร่างของคนเป็นพี่ที่นอนหันหลังเอ่ยเสียงแผ่วราวกับไม่อยากให้เขารับรู้
แต่ก็อย่างที่บอก แม้กระทั่งเสียงหัวใจของเขาที่ไม่เคยจะได้ยิน
ตอนนี้มันเต้นแรงยิ่งกว่าการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกซะอีก
คืนนั้น –คืนไหนละ?
คืนที่เขาซ้อมเต้นเพียงคนเดียวและกลับมาเวลาตีสองนั่นน่ะหรอ
หรือจะเป็นคืนที่เขามัวแต่ใช้เวลาอยู่กับสตูดิโอของตัวเองจนล่วงเลยไปถึงเที่ยงของอีกวัน
หรือจะเป็นคืนนั้นที่บริษัทพากันเลี้ยงฉลองให้กับรางวัลของพวกเรา
แต่หลังจากคืนเหล่านั้น
เราทั้งสองคนก็ยังปกติดีอยู่ไมใช่หรือไง?
“คืนไหนครับ?”
เลือกใช้น้ำเสียงโทนสุภาพไม่เหมือนที่เคย
เพราะในตอนนี้เขาไม่สามารถเดาทางและอ่านใจของคิมซอกจินได้เลยซักนิด ใครจะไปรู้ว่าจากที่ไม่โกรธเรื่องคำพูดห้วนของเขา
ผ่านคืนนี้ไปอาจจะกลายเป็นประเด็นที่ใช้ตีห่างจากเขาก็ได้
และเขาก็คงจะเป็นบ้าตายแน่
ๆ ถ้าหากแยกห่างจากพี่ชายร่วมห้องคนนี้
“...
นายจำไม่ได้หรอ?”
หลังจากหันหลังให้เขามาเป็นเวลานาน
อีกฝ่ายก็ขยับกายมาเผชิญหน้ากันเสียที ใบหน้าขาวที่เขาชอบลอบมองอยู่บ่อย ๆ
ขึ้นสีจาง ใบหูที่เคยแดงเถือกก่อนหน้าก็ดูเหมือนจะลดระดับลงไปแล้ว อาการของคนตรงหน้าคงลดรับจากสิบมาเหลือที่หก
ส่วนตัวของเขาเองก็แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ทัน –ไม่ชอบเวลาที่คิมซอกจินเมินเขาจริง ๆ
“ถ้าผมจำได้
ผมก็คงขอโทษพี่ไปนานแล้ว”
“อ่า...
คืนที่เราไปกินเนื้อย่างกัน นายจำไม่ได้หรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ดวงตากลมมองเขาด้วยความสงสัย
เสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้เขาหยุดหายใจทุกครั้งก็คงจะเป็นยามที่อีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาคู่นี้
ความใสซื่อและความห่วงใยที่แสดงออกทางแววตามักจะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาตกหลุมรักคิมซอกจินซ้ำแล้ว –ซ้ำเล่า
“ก็นาย..”
เทศกาลปีใหม่เข้ามาใกล้ทุกขณะ
สิ่งหนึ่งที่คิมซอกจินจดจำได้ก็คงจะมีแต่ตารางงานปลายปีของทุกรายการที่มันเกี่ยวพันกันไปหมด
ใครจะไปรู้ว่าในวันวันหนึ่งเขาจะต้องซ้อมเต้นถึงสามรายการ
และที่ยากคือต้องจำทั้งหมดนั่นให้ครบภายในสองวันนี้ด้วย
งานหินของคนที่รับหน้าที่เต้นประจำกลุ่มอย่างเขาไหมละ?
ก็นับว่าทางบริษัทยังมีเมตตาอยู่บ้างที่โยนวันหยุดให้พวกเขาในอีกสองวันที่จะถึง
หน้าที่ที่มีในตอนนี้ก็แค่ต้องซ้อมท่าเต้นให้มันจบ ๆ ไป
หลังจากหมดสิ้นภารกิจนี้พวกเขาก็เหลือแค่ไปเตรียมสำหรับการคัมแบ็คอัลบั้มใหม่
และคอนเสิร์ตที่กำลังจะมีถึงในไม่ช้านี้เอง
แค่นั้นแหละ
(แม่งโว้ย
ลาออกจากการเป็นคิมซอกจินตอนนี้ทันไหม?)
ใจชื้นขึ้นมาอีกสามเท่าเมื่อผู้จัดการคนหล่อเปิดประตูมาพร้อมกับบัตรเครดิตการ์ดสุดรักของเจ้าตัว
คำพูดแสนสั้นและเรียบง่ายกลับทำให้ทัศนคติของคิมซอกจินเปลี่ยนไปตลอดกาล
กินเนื้อย่างกัน
ฉันเลี้ยงเอง
คิมซอกจินจะไม่ลาออกจากการเป็นคิมซอกจินแล้วครับ
ทนซ้อมอีกไม่นานก็จะได้อิ่มอร่อยกับเนื้อย่างลูกรักแล้ว
เขาแทบจะนับถอยหลังรอไม่ไหว
ความสุขที่ห่างหายไปนานกลับมาจุกอกจนยิ้มแก้มปริอีกครั้ง ท่าเต้นที่ยากแสนยากก็กลายเป็นง่ายดายเมื่อของรางวัลสำหรับความเหน็ดเหนื่อยคืออิสระที่กินได้ไม่อั้น
และพี่เมเนเจอร์ก็จะไม่อยู่ดูพวกเราด้วยละนะ คึ
โซจูขวดแล้วขวดเล่าสำหรับโต๊ะพวกเขาถูกยกมาเสิร์ฟเรื่อย
ๆ โดยคุณป้าประจำร้านที่แสนใจดี ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะยามที่ได้กินไปพร้อมกับโซจู ความทรมานทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ถึงตอนนี้เราจะเริ่มมึน ๆ หัวแล้วก็ตามทีเถอะ
มาเล่นเกมบอกความในใจกันเถอะ
คำเอ่ยชวนสั้น
ๆ จากหัวหน้าของวงอย่างนัมจุนพลอยทำให้น้องคนอื่นเริ่มอยากร่วมสนุก
ใช่ว่าเราทั้งหมดจะไม่เคยพูดความรู้สึกจากใจที่มีต่อกันให้ฟังหรอกนะ ทั้งหน้ากล้อง
ทั้งหลังกล้องก็ออกจะแสดงออกกันบ่อย
แต่ที่พิเศษก็คือเขาว่ากันว่าเรื่องเล่าจากปากคนเมาน่ะ เชื่อถือได้ที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้น
การที่จะเล่นเกมนี้ด้วยอาการมึนหัวจนแทบจะทิ้งตัวนอนลงตรงนั้นก็สร้างความตื่นเต้นให้เขาไม่ใช่น้อย
แต่ก็เกรงกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะพูดคำต้องห้ามบางอย่างออกไป เช่น
รู้สึกดีกับใครซักคนมากกว่าคำว่าน้องในวง –ฟังดูตลกใช่ไหมละ?
เอาละ
ชูก้านิม เหลือพี่เป็นคนรองสุดท้ายแล้ว ช่วยจับฉลากที่เหลือนั่นซักทีเถอะ
เราวนกันจับฉลากชื่อที่เขียนจากลายมือยามไม่ได้สติของเจ้าของโครงการ
โจทย์ก็คือถ้าหากเราจับได้ชื่อใคร ก็ต้องพูดความในใจทั้งหมด
ทั้งเรื่องที่อยากขอบคุณ ทั้งเรื่องที่อยากขอโทษ เรื่องที่อยากสารภาพ
รวมไปถึงเรื่องที่อยากให้อีกฝ่ายปรับปรุง
หลังจากนั้นคนที่ได้รับฟังเราก็ต้องจับฉลากเพื่อเลือกคนต่อไป
ช่างประจวบเหมาะที่ฉลากสองใบสุดท้ายคือชื่อของเขา
และจอนจองกุกที่เริ่มเล่นเป็นคนแรก
และคนที่จะจับคนต่อไปก็คือน้องร่วมห้องของเขา
มินยุนกิ
ถึงจะไม่คาดหวัง
แต่ก็แอบหวัง
ดังคาด
มินยุนกิอ่านทวนชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมาหลังจากเปิดอ่านชื่อที่อยู่ในกระดาษนั่น
มินยุนกิเป็นพวกคออ่อนนิดหน่อย สองสามขวดก็ล้มไม่เป็นท่า
สติสัมปชัญญะของอีกฝ่ายตอนนี้คงเหลือไม่ถึง 60% ดี
เขาถึงได้เพียงแค่แอบหวัง และไม่กล้าคาดหวัง
กลัวว่าสิ่งที่ออกจากปากของอีกฝ่าย
จะเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราพังทลายลง
เขายังไม่พร้อมน่ะ
อันที่จริง จะเรียกเขาว่าไอป๊อดก็ได้นะ ถ้าหากมันจะทำให้เราเหมือนเดิม
พี่ซอกจิน
‘เรียกชื่อฉันเป็นรอบที่ล้านแล้วนะยุนกิ พูดมาซักทีเถอะ’
เอ่ยเร่งคนเมาที่เอาแต่ยิ้มเผล่อยู่ฝ่ายเดียว
ใบหน้ามึนตึงสีขาวซีดขึ้นสีฝาดด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
จากบนเวทีที่เป็นแรพเปอร์สุดเท่ ภาพในตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เอาแต่หัวเราะอยู่ฝ่ายเดียวหลังจากชื่อพูดของเขาซ้ำไปซ้ำมา
อ่า..
จะเริ่มว่ายังไงดี
พี่ซอกจินน่ะขี้โวยวาย กินเก่ง
ชอบเล่นมุกที่คนอื่นเข้าไม่ถึง ทั้งยังชอบบ่นไปเรื่อยจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ชอบทำท่าตลกที่ไม่น่าจะขำ ชอบแกล้งน้องคนอื่นอยู่เรื่อย หรือชอบทำตัวเปิ่นจนตัวเองเจ็บมาก็ตั้งหลายครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังน่ารัก
น่ารักทั้งที่ชอบโวยวาย น่ารักทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ย
น่ารักทั้งที่เล่นมุกคุณลุงข้างบ้าน น่ารักทั้งที่ปากบ่นไปเรื่อย น่ารักมาก ๆ
เวลาคิดจะแกล้งใครซักคน แล้วก็น่ารักมากไปอีกเวลาที่พี่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารง่าย
ๆ ให้พวกเรากิน
ถึงพี่จะเป็นลูกคนเล็กในครอบครัว
พี่ก็ยังทำหน้าที่พี่ใหญ่ของวงได้ดีเสมอ ขอบคุณนะครับที่ยังทนดูแลพวกเราเรื่อยมา
ขอบคุณนะครับที่ไม่เหนื่อยเวลาต้องอยู่กับพวกเรา ขอบคุณนะครับที่เข้มแข็งทั้งที่ข้างในของพี่ต้องซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย
พี่อาจไม่รู้
แต่เพลงหลายเพลงที่ผมแต่งขึ้นทั้งที่นั่งอยู่เฉย ๆ นั่นก็ล้วนเป็นเพราะพี่
ประโยคที่ลอยไปมาแบบไม่มีทิศทาง
และจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ล้วนมาจากทุกครั้งที่ผมคิดถึงพี่
นอกจากผมอยากขอบคุณที่พี่ยังคงเป็นรูมเมทหนึ่งเดียวของผมได้อย่างดี
ผมยังอยากขอบคุณที่มักจะเป็นห่วงผม คนที่สนใจแต่เพลงจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
ขอบคุณที่มักจะแบ่งอาหารในส่วนของผมเสมอเวลาที่ผมต้องเร่งทำเพลงให้เสร็จ ขอบคุณที่ต้องนอนดึกเพื่อรอผมกลับมาจากสตูดิโอ
ขอบคุณนะครับที่ยังทนกับเด็กไม่เอาไหนอย่างผมได้
พี่อาจไม่รู้
แต่เพราะรอยยิ้มของพี่ทำให้ผมยิ้มได้ เพราะการแสดงออกของพี่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น
เพราะดวงตาของพี่
“ที่ทำให้ผมตกหลุมรักพี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง”
เอ่ยทวนประโยคที่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำจริง ๆ หลังจากพยายามเค้นออกจากสมองส่วนที่ทำงานมาอย่างนาน
เขาก็จดจำได้แทบทุกคำพูดที่ได้พูดออกไปในคืนนั้น ถึงจะเมามาย
แต่เขาก็ยังยั้งใจตัวเองไม่ให้ดื่มเกินกว่าที่จะรับไหว และมันก็ทำให้เขาสามารถจดจำเรื่องราวในคืนนั้นได้อีกครั้ง
“เพราะนายหลับหลังจากที่พูดกับฉัน
ฉันก็เลยคิดว่า- นายอาจจะโกหก”
“...”
อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาทวนประโยคนั่น
น้ำเสียงติดจะสั่นและใบหน้าที่งอง้ำเล็กน้อยทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้ ฉับพลัน
แววตาที่เคยสดใสก็หม่นแสงลงจนพาลให้หัวใจของเขาเดินช้าลงอีกด้วย
“เพราะฉันคิดว่า
ถ้าฉันดีใจเก้อ แล้วตื่นมานายก็จำมันไม่ได้
ฉันจะต้องรับผิดชอบกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้แน่ ๆ”
“...”
“แต่ฉันก็เผลอดีใจไปกับคำของนายจนได้
และเช้ามามันก็เป็นอย่างที่ฉันคิด –นายลืมมันไปหมดแล้ว”
“แต่-“
“ช่างมันเถอะ
อย่างน้อยก็ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า
ขอบคุณที่ทำให้คืนวันนั้นเป็นคืนที่ฉันมีความสุขที่สุด
ถึงเช้ามาฉันจะไม่กล้าสู้หน้านายก็ตาม ขอบคุณจริง ๆนะ”
มินยุนกิเคยบอกหรือยังว่ารอยยิ้มของคิมซอกจินเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด
เขาชอบมันที่สุด และถ้าหากเลือกได้
เขาก็อยากจะเป็นเจ้าของและที่มาของรอยยิ้มเหล่านั้น
“พี่ซอกจินฟังผมนะ”
“ถึงตอนนั้นผมจะเมา
และพูดอะไรวกไปวนมา แต่เชื่อผมเถอะนะ”
“ทุกคำที่ผมพูด
ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ”
“พี่กำลังทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากใจเลยครับ”
“Can I say ‘ I love you’ now?, Cause I truly madly deeply mean
it.”
= drangeax105 =
จู่ ๆ ก็มีฟีลอยากแต่งอะไรน่ารักเฉยเลยนะคะ หักดิบจากตอนที่แล้วไปหรือเปล่า..
ไม่เคยแต่งในมุมของคุณยุนกิเลยค่ะ เวลาอินเลิฟ ก็เลยกลัวว่าจะดูแข็งไปหน่อย TT_TT
ตอนแรกวางแผนว่าจะให้คุณยุนกิตามหาค่ะว่าใครเป็นคนบอกว่าเจ้าตัวชอบ
แต่ก็นั่นแหละ... คิดว่าคงลากยาวแน่ ๆ เลยให้บอกเองเลย นักเลงพอ!
แฮปปี้ฟรายเดย์นะคะทุกคน :-)
ปล. คิดเห็นยังไงก็บอกกันได้นะคะ ไม่สะดวกเม้น ผ่านแท็กเอาก็ได้
#dgshortfic
(นี่สิ้นคิดยิ่งกว่าการตัดสินใจสั่งกระเพาะหมูไข่ดาวในร้านอาหารตามสั่งอีกค่ะ)
ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้น้า จะเป็นเกี่ยวกับฟิคหวาน ๆ อย่าง party night ก็ได้นะคะ
รออ่านความคิดเห็นของทุกคนอยู่นะคะ เยิ้ฟ♡
เราแอบเปลี่ยนชื่อบทความแหละ อย่าสับสนนะคะ คึคึคึคึคึคึคึคึคึ
ความคิดเห็น