ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ seokjin's smile ( alljin / yoonjin )

    ลำดับตอนที่ #9 : ♡#4 os 'tl ml dl' /yoonjin

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 656
      9
      20 ม.ค. 60



    TL ML DL
    kim seokjin got mad at min yoongi with no reason,
    he has to find it. NOW

    yoongi/seokjin

     

     

     

              นี่ไม่ใช่คิมซอกจินที่เขารู้จัก

              โอเค นี่อาจจะฟังดูแปลกประหลาดและเกินจริงไปหน่อย แต่เชื่อเถอะ คิมซอกจินคนเดิมได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง

    ให้ตาย เขาไม่ชอบอีกฝ่ายในร่างนี้เลย

             

              “พี่จิน เย็นนี้ไปกินเนื้อย่างกันไหม?”

              เอ่ยถามอีกคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายร่วมห้องคนสนิทของตน พยากรณ์อากาศในวันนี้บอกให้เขารับรู้ว่าอุณหภูมิในแถบนี้เริ่มเข้าใกล้ติดลบเต็มที เพราะตารางงานที่แน่นขนัดและความเคร่งเครียดสะสมมาตลอดสัปดาห์ที่เริ่มทำเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่ สิ่งที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็นในวันนี้คงไม่พ้นโซจูซักขวดและหมูสามชั้นย่างในร้านประจำ และเมื่อพูดถึงร้านอาหารแสนอร่อย คนที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำแรกของเขาก็คงไม่พ้นเจ้าของริมฝีปากสีแดงอิ่มนั่น เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธหมูย่างเจ้าโปรดไปได้แน่

              “ยุนกิไปเถอะ พี่กำลังลดน้ำหนักอยู่น่ะ”

              ไม่น่า...

              โกหกทั้งเพ

              คิมซอกจินที่มักจะบอกเสมอว่าถ้าได้กินของอร่อยแล้ว แคลอรี่ก็มีค่าเท่ากับ 0’, คิมซอกจินที่ไม่เคยปฏิเสธเขาซักครั้ง คิมซอกจินที่มักจะมีความสุขกับมื้ออาหารสำหรับคน 12 คน จะเป็นคนคนเดียวกันกับคิมซอกจินตรงหน้าเขาไปได้อย่างไร

     

              เป็นไปไม่ได้

              เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็แทบนับไม่ถ้วน เราต่างก็รู้นิสัยใจคอเบื้องลึกกันดีว่าแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ถ้าเกิดคิมซอกจินจะไดเอทหรือกำลังอยู่ในช่วงควบคุมอาหารจริง ๆ การได้ทานเนื้อย่างก็เป็นสิ่งที่คนเป็นพี่ชอบลักลอบทำควบคู่กับการควบคุมอาหารอยู่เสมอ ไม่ว่าจะชวนเขาออกจากหอกลางดึกและต้องรีบกลับมาให้ทันก่อนเวลาตีหนึ่ง หรือจะรวมไปถึงการลงทุนลงแรงเดินฝ่าลมหนาวเหน็บด้วยสเวตเตอร์สีเทาตุ่นตัวเดียว เพียงเพื่อให้ทันกับโปรโมชันลดครึ่งราคาของร้านเนื้อย่างนั่น คิมซอกจินไม่เคยปฏิเสธของอร่อย อันที่จริง คิมซอกจินไม่เคยปฏิเสธคำเอ่ยชวนของเขาซักครั้ง ตั้งแต่รู้จักกันมา

     

              “อากาศกำลังหนาว พี่ไม่อยากดื่มบ้างหรอ?”

              ลองย้อนถามอีกครั้งเผื่ออีกฝ่ายจะเกิดความลังเลใจ เขาจะไปดื่มคนเดียวก็ได้ นั่นมันสบายมาก แต่ที่เซ้าซี้และซักถามอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาก็เพราะความรู้สึกล้วน ๆ เขาก็แค่อยากนั่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวอาหารและกลืนลงลำคอ เขาแค่อยากเห็นแววตาประกายสว่างยามเห็นควันหอมฉุยและสีที่เปลี่ยนไปของเนื้อบนเตา เขาแค่อยากนั่งมองอะไรบางอย่างเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับการทำเพลงสำคัญชิ้นต่อไป

              “ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากหน้าบวมพรุ่งนี้”

              ลอบมองปฏิกิริยาที่ได้รับจากอีกฝ่ายยามตอบคำถามทำให้เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง พี่ซอกจินไม่ได้สบสายตาเขาเหมือนก่อน ริมฝีปากสีแดงสดนั่นเม้มอยู่เพียงครู่ราวกับชั่งใจว่าจะพูดคุยกับเขาต่อไปหรือไม่

     

              และการปฏิเสธที่ไม่มีเหตุผลนั่นอีก

              เดบิวต์มาก็ย่างเข้าปีที่สี่ ทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าอีกฝ่ายไม่เคยแคร์ผลกระทบหลังจากมื้อหนักยามดึกเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเคยมีบ่นอุบ แต่ก็ไม่เคยทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ต่อความต้องการส่วนตัวได้ คิมซอกจินตัวจริงควรจะดื้อและแสบสันมากกว่านี้สิ

              “แต่ผมไม่อยากกินคนเดียว พี่ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”

              ในเมื่อเอ่ยถามด้วยมิตรไมตรีไม่ได้ผล เขาก็คงต้องงัดไม้เด็ดกึ่งบังคับมาใช้ ถ้าหากพวกเขามีเวลาว่างอีกซักหน่อยตัวเขาเองคงจะไม่เอาแต่ใจแบบนี้เป็นแน่ แต่เพราะนี่คือวันหยุดเดียวและวันหยุดสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่(อย่างน้อยก็สำหรับอีกฝ่ายละนะ) เขาก็แค่อยากใช้มันไปให้ไม่เปล่าประโยชน์ที่สุด(แปลง่าย ๆ ก็คืออยากใช้เวลาด้วยกันไง)

              “พี่เห็นแทฮยองพูดอยู่ว่าอยากกิน ยุนกิไปชวนน้องเถอะ”

              เอาอีกแล้ว..

              นี่ไม่ใช่คิมซอกจินที่เขารู้จักแล้วล่ะ ไม่ใช่แน่ ๆ

              พินิจมองคนตรงหน้า ถึงจะมีอาการเหนื่อยล้าจากซ้อมการแสดงพิเศษมาทั้งวัน แต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏก็ช่างประจวบเหมาะเป็นคิมซอกจินเสียจริง ถึงอย่างนั้น ลางสังหรณ์ของเขาก็ชี้ชัดว่านี่ไม่ใช่อาการปกติอย่างแน่นอน

              หรี่ตาของตนเองเมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่หลุบตาลงต่ำ ไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้ามองคู่สนทนาอย่างเขาด้วยซ้ำ อาการแบบนี้ถ้าไม่เป็นเพราะสายตาสั้น อีกฝ่ายก็คงไม่พอใจเขาอยู่มากแน่ ๆ

              ก็ใบหูแดงเถือกนั่นไงละ หลักฐานมัดตัวได้อยู่หมัด!

     

              ถึงมินยุนกิจะเป็นมนุษย์จอมเชื่องช้าผู้ไม่สนใจกับการที่โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา แต่เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีระบบประมวลผลที่โหลยโท่ยเหมือนเจ้า 95 ไลน์นั่นซักหน่อย เขาชอบลอบมองและจับสังเกตไปเรื่อย ถ้ามีเรื่องอะไรก็มักจะรับรู้ก่อนคนอื่น

              แต่นั่นมักใช้ไม่ได้ผลกับเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอายุยี่สิบห้าปี, คิมซอกจิน

              เหมือนกับที่เจ้าโฮซอกเคยพูดเอาไว้ พี่ซอกจินมักเป็นข้อยกเว้นของมินยุนกิ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหาเหตุผลซักเท่าไหร่ คำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ก็คงเพราะ คิมซอกจินคือคิมซอกจิน  ดูสิ้นคิดไปหน่อย แต่เวลาที่เขาได้อยู่กับอีกฝ่าย สมองก็ลืมคิดเรื่องเหตุผลไปชั่วขณะ  

              เช่นตอนนี้ที่เขาคิดอะไรไม่ออกซักอย่าง ถึงจะเค้นออกจากความทรงจำส่วนลึกขนาดไหนก็ไม่เห็นจะมีสัญญาณแจ้งเตือนอะไรซักอย่าง อีกฝ่ายกำลังโกรธเขา นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่เพราะว่าเรื่องอะไรกันละ? ไม่ว่าจะนึกย้อนไปก่อนหน้าซักกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจแน่  เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง เชื่อเถอะว่า ริมฝีปากอิ่มพร้อมที่จะพูดกรอกหูเขาเช้ายันเย็น พร้อมจะสู้จนกว่าเขาจะสำนึกผิด ก้อขี้ประชดขนาดนั้นละนะ

              หรือจะไม่พอใจจากคนอื่นแล้วมาลงที่เขา?

              ประเด็นนี้คงถูกตัดออกตั้งแต่คิดจะยกอ้างแล้วด้วยซ้ำ คิมซอกจินถึงจะเป็นคนขี้โวยวายไปนิด แต่ก็ไม่เคยเอาเรื่องบาดหมางระหว่างตนเองกับคนอื่นมาลงกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่(แต่ไม่นับรวมกับการระบายอารมณ์ลงกับคุณมาริโอนะ อันนั้นเขาจะยกเว้นไปก็แล้วกัน) เพราะอย่างนั้น ถ้าปัญหาไม่เกิดจากตัวเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดจากที่ไหนได้อีก

             

              จะให้ไปกับนายได้ไงเล่า เรื่องคืนนั้นมันยังฝังใจฉันอยู่เลยนี่นา

              เพราะการมัวแต่จมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองวนไปวนมา บรรยากาศทั้งห้องจึงเงียบสงัด คนที่เมินหน้าก็เอาแต่ก้มหน้างุด อาจเพราะบรรยากาศระหว่างเราไร้การโต้ตอบใด ๆ บรรดาเสียงจากข้างนอกห้องก็ลดลงเป็นระยะ เขาก็เลยเผลอได้ยินคำบ่นอุบของอีกฝ่ายที่เหมือนจงใจพูดให้ตัวเองได้ยินอยู่ฝ่ายเดียว คงคิดว่าเขาไม่ได้ยินก็เลยพูดออกมาสินะ

              แล้วเรื่องคืนนั้น.. มันคือเรื่องคืนไหนกันละ?

              ย้อนไปถึงความทรงจำช่วงเวลาค่ำคืนอย่างที่อีกฝ่ายบอกใบ้ นอกจากจำได้อย่างลางเลือนว่าหมกตัวอยู่แต่ห้องแต่งเพลง กับห้องซ้อมเต้น และห้องนอน สถานที่อื่นก็ไม่เคยผุดออกมาในหัวอีกเลย ยกเว้นเสียแต่งานเลี้ยงหลังจบงานประกาศรางวัลหลายเวที นอกจากนั้นเขาก็ไม่ยักจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความผิดในยามค่ำคืนนั้นอีก

              ..... แล้วเขาไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ตอนไหนกัน

              ฝังใจเลยหรอ ร้ายแรงขนาดนั้นเลย?

              “พี่ซอกจิน”

              สูดลมหายใจลึกเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะตอบกลับด้วยอาการมึนตึง เอาล่ะ นี่คงไม่ใช่อาการอย่างอื่นนอกจากโกรธกันแล้วล่ะ แถมท่าจะดูแรงเสียด้วย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา พี่ใหญ่คนนี้ก็ไม่เคยทำท่ามึนตึงใส่เขานอกจากหยอกล้อกันเพียงเท่านั้น

              แล้วสรุปสาเหตุมันคืออะไรละ?

              “เงยหน้าคุยกับผมก่อน”

              “...”

              ไม่สำเร็จ ไม่เห็นผลเลยซักนิด อีกฝ่ายนอกจากจะไม่เงยหน้ามาคุยด้วยกันตรง ๆ ยังเลือกที่จะเอนตัวลงนอนกับเตียงของตนเองและหันหลังให้เขาอย่างไม่แยแส ถ้าหากในตอนแรกมินยุนกิให้คำนิยามว่านี่คือความโกรธระดับเจ็ด ตอนนี้มันคงพุ่งทะลุเต็มสิบไปแล้วเรียบร้อย

              “..พี่ซอกจิน”

              “...”

              “พี่ซอกจิน โกรธอะไรผมหรือเปล่า?”

              ขยับตัวไปประจันกับพื้นที่ของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว แผ่นหลังที่ประกอบไปด้วยช่วงไหล่กว้างกลับดูบอบบางเมื่อจมอยู่ในกองตุ๊กตา ถึงจะนอนหันหลังให้เขาแต่ใบหูของอีกฝ่ายก็ยังคงแดงชัดท่ามกลางแสงไฟภายในห้องของเรา

             

    “...”

              “พี่ บอกผมไม่ได้จริง ๆ หรอ?”

              อีกฝ่ายฝังหน้าลงกับตุ๊กตาคุณลุยจิตัวใหญ่ที่มักใช้แทนหมอนหนุนอยู่เป็นประจำ เขาไม่เคยต้องมารับมือกับอาการแบบนี้ของคนเป็นพี่มาก่อน ถึงน้องในวงจะชอบแสดงออกคล้ายกันแต่เขาก็เลือกที่จะเพิกเฉยและปล่อยให้อีกฝ่ายหายคิดมากไปเอง(นั่นก็เพราะเขาต้องการจะดัดนิสัยเจ้าพวกเด็กแสบด้วยละนะ จะให้ตามใจทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่อง ถูกหรือเปล่า?)

              “...”

              “ถ้าพี่ไม่บอก ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ผมไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้เลยซักนิด”

              “เปล่า ไม่ได้โกรธ”

              โกหกไม่เนียนเลย

              ต่อให้เขาเป็นเจ้าแทฮยองที่ความคิดและการแสดงออกไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน เขาก็ยังคงมองออกอยู่ดีว่าอีกฝ่ายไม่พอใจตัวเขาเอามาก ๆ ในเมื่อเขาเป็นคนช่างสังเกต และคิมซอกจินก็เป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาจะใช้เวลาพินิจมองได้อย่างไม่มีเบื่อ ทำไมเขาจะไม่รู้ ทำไมเขาจะมองไม่ออก ความไม่พอใจที่แสดงออกมาทางการกระทำและสีหน้านั่นน่ะ

              “พี่หลอกผมไม่ได้ พี่ก็รู้นิครับ”

              “ก็เปล่า ไม่ได้โกรธ แค่..”

              อีกฝ่ายเงียบไปจนเขาเริ่มใจไม่ดี โอเค เขาอาจจะกังวลมากไปหน่อย แต่เรื่องของคิมซอกจินไม่ต่างอะไรกับเรื่องใหญ่ของเขา ไม่ว่าจะแค่อีกฝ่ายโดนยุงกัดจนเป็นตุ่มบวมแดง หรือแม้กระทั่งเรื่องร้ายแรงที่อีกฝ่ายโดนศอกเข้ายามที่แข่งกีฬาร่วมกับไอดอลคนอื่น ๆ นั่นก็ด้วย

     

    จำได้คร่าว ๆ ว่าพอรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดก็มือสั่นจนรู้สึกว่าประมวลผลไม่ได้ชั่วขณะ ยิ่งได้ยินเสียงเซ็งแซ่ว่ารุนแรงถึงขั้นที่ต้องพาอีกฝ่ายไปถึงโรงพยาบาลหัวใจก็เริ่มทำงานผิดจังหวะ วันทั้งวันของการแข่งกีฬาน่ารำคาญยิ่งขึ้นอีกเป็นสิบเท่าเมื่อเขาไม่สามารถปลีกตัวไปดูพี่ซอกจินได้เลย

    แค่อีกฝ่ายป่วยนิดหน่อยเขาก็แทบจะไม่เป็นอันกินอันนอนอีกแล้ว พอมารู้ว่าโดนโกรธจนถึงขั้นไม่มองหน้าแบบนี้ เขาคงไม่มีแม้แต่อารมณ์จะลุกออกจากที่นอนนี้แน่ ๆ และปีใหม่ในปีนี้ของเขาคงจะเป็นปีใหม่ที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิต

    “แค่.. แค่เห็นหน้านายทีไร คืนนั้นมันก็ลอยมาในหัวฉันน่ะสิ!

    ร่างของคนเป็นพี่ที่นอนหันหลังเอ่ยเสียงแผ่วราวกับไม่อยากให้เขารับรู้ แต่ก็อย่างที่บอก แม้กระทั่งเสียงหัวใจของเขาที่ไม่เคยจะได้ยิน ตอนนี้มันเต้นแรงยิ่งกว่าการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกซะอีก

    คืนนั้น คืนไหนละ?

    คืนที่เขาซ้อมเต้นเพียงคนเดียวและกลับมาเวลาตีสองนั่นน่ะหรอ หรือจะเป็นคืนที่เขามัวแต่ใช้เวลาอยู่กับสตูดิโอของตัวเองจนล่วงเลยไปถึงเที่ยงของอีกวัน หรือจะเป็นคืนนั้นที่บริษัทพากันเลี้ยงฉลองให้กับรางวัลของพวกเรา

    แต่หลังจากคืนเหล่านั้น เราทั้งสองคนก็ยังปกติดีอยู่ไมใช่หรือไง?

     

    “คืนไหนครับ?”

    เลือกใช้น้ำเสียงโทนสุภาพไม่เหมือนที่เคย เพราะในตอนนี้เขาไม่สามารถเดาทางและอ่านใจของคิมซอกจินได้เลยซักนิด ใครจะไปรู้ว่าจากที่ไม่โกรธเรื่องคำพูดห้วนของเขา ผ่านคืนนี้ไปอาจจะกลายเป็นประเด็นที่ใช้ตีห่างจากเขาก็ได้

    และเขาก็คงจะเป็นบ้าตายแน่ ๆ ถ้าหากแยกห่างจากพี่ชายร่วมห้องคนนี้

    “... นายจำไม่ได้หรอ?”

    หลังจากหันหลังให้เขามาเป็นเวลานาน อีกฝ่ายก็ขยับกายมาเผชิญหน้ากันเสียที ใบหน้าขาวที่เขาชอบลอบมองอยู่บ่อย ๆ ขึ้นสีจาง ใบหูที่เคยแดงเถือกก่อนหน้าก็ดูเหมือนจะลดระดับลงไปแล้ว อาการของคนตรงหน้าคงลดรับจากสิบมาเหลือที่หก ส่วนตัวของเขาเองก็แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ทัน ไม่ชอบเวลาที่คิมซอกจินเมินเขาจริง ๆ

    “ถ้าผมจำได้ ผมก็คงขอโทษพี่ไปนานแล้ว”

    “อ่า... คืนที่เราไปกินเนื้อย่างกัน นายจำไม่ได้หรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”

    ดวงตากลมมองเขาด้วยความสงสัย เสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้เขาหยุดหายใจทุกครั้งก็คงจะเป็นยามที่อีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาคู่นี้ ความใสซื่อและความห่วงใยที่แสดงออกทางแววตามักจะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตกหลุมรักคิมซอกจินซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

              “ก็นาย..”

     

     

     

              เทศกาลปีใหม่เข้ามาใกล้ทุกขณะ สิ่งหนึ่งที่คิมซอกจินจดจำได้ก็คงจะมีแต่ตารางงานปลายปีของทุกรายการที่มันเกี่ยวพันกันไปหมด ใครจะไปรู้ว่าในวันวันหนึ่งเขาจะต้องซ้อมเต้นถึงสามรายการ และที่ยากคือต้องจำทั้งหมดนั่นให้ครบภายในสองวันนี้ด้วย

              งานหินของคนที่รับหน้าที่เต้นประจำกลุ่มอย่างเขาไหมละ?

              ก็นับว่าทางบริษัทยังมีเมตตาอยู่บ้างที่โยนวันหยุดให้พวกเขาในอีกสองวันที่จะถึง หน้าที่ที่มีในตอนนี้ก็แค่ต้องซ้อมท่าเต้นให้มันจบ ๆ ไป หลังจากหมดสิ้นภารกิจนี้พวกเขาก็เหลือแค่ไปเตรียมสำหรับการคัมแบ็คอัลบั้มใหม่ และคอนเสิร์ตที่กำลังจะมีถึงในไม่ช้านี้เอง

              แค่นั้นแหละ

              (แม่งโว้ย ลาออกจากการเป็นคิมซอกจินตอนนี้ทันไหม?)

              ใจชื้นขึ้นมาอีกสามเท่าเมื่อผู้จัดการคนหล่อเปิดประตูมาพร้อมกับบัตรเครดิตการ์ดสุดรักของเจ้าตัว คำพูดแสนสั้นและเรียบง่ายกลับทำให้ทัศนคติของคิมซอกจินเปลี่ยนไปตลอดกาล

              กินเนื้อย่างกัน ฉันเลี้ยงเอง

              คิมซอกจินจะไม่ลาออกจากการเป็นคิมซอกจินแล้วครับ ทนซ้อมอีกไม่นานก็จะได้อิ่มอร่อยกับเนื้อย่างลูกรักแล้ว เขาแทบจะนับถอยหลังรอไม่ไหว ความสุขที่ห่างหายไปนานกลับมาจุกอกจนยิ้มแก้มปริอีกครั้ง ท่าเต้นที่ยากแสนยากก็กลายเป็นง่ายดายเมื่อของรางวัลสำหรับความเหน็ดเหนื่อยคืออิสระที่กินได้ไม่อั้น และพี่เมเนเจอร์ก็จะไม่อยู่ดูพวกเราด้วยละนะ คึ

             

              โซจูขวดแล้วขวดเล่าสำหรับโต๊ะพวกเขาถูกยกมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ โดยคุณป้าประจำร้านที่แสนใจดี ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยามที่ได้กินไปพร้อมกับโซจู ความทรมานทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง ถึงตอนนี้เราจะเริ่มมึน ๆ หัวแล้วก็ตามทีเถอะ

              มาเล่นเกมบอกความในใจกันเถอะ

              คำเอ่ยชวนสั้น ๆ จากหัวหน้าของวงอย่างนัมจุนพลอยทำให้น้องคนอื่นเริ่มอยากร่วมสนุก ใช่ว่าเราทั้งหมดจะไม่เคยพูดความรู้สึกจากใจที่มีต่อกันให้ฟังหรอกนะ ทั้งหน้ากล้อง ทั้งหลังกล้องก็ออกจะแสดงออกกันบ่อย แต่ที่พิเศษก็คือเขาว่ากันว่าเรื่องเล่าจากปากคนเมาน่ะ เชื่อถือได้ที่สุดแล้ว

              เพราะฉะนั้น การที่จะเล่นเกมนี้ด้วยอาการมึนหัวจนแทบจะทิ้งตัวนอนลงตรงนั้นก็สร้างความตื่นเต้นให้เขาไม่ใช่น้อย แต่ก็เกรงกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะพูดคำต้องห้ามบางอย่างออกไป เช่น รู้สึกดีกับใครซักคนมากกว่าคำว่าน้องในวง ฟังดูตลกใช่ไหมละ?

              เอาละ ชูก้านิม เหลือพี่เป็นคนรองสุดท้ายแล้ว ช่วยจับฉลากที่เหลือนั่นซักทีเถอะ

              เราวนกันจับฉลากชื่อที่เขียนจากลายมือยามไม่ได้สติของเจ้าของโครงการ โจทย์ก็คือถ้าหากเราจับได้ชื่อใคร ก็ต้องพูดความในใจทั้งหมด ทั้งเรื่องที่อยากขอบคุณ ทั้งเรื่องที่อยากขอโทษ เรื่องที่อยากสารภาพ รวมไปถึงเรื่องที่อยากให้อีกฝ่ายปรับปรุง หลังจากนั้นคนที่ได้รับฟังเราก็ต้องจับฉลากเพื่อเลือกคนต่อไป

              ช่างประจวบเหมาะที่ฉลากสองใบสุดท้ายคือชื่อของเขา และจอนจองกุกที่เริ่มเล่นเป็นคนแรก

              และคนที่จะจับคนต่อไปก็คือน้องร่วมห้องของเขา มินยุนกิ

              ถึงจะไม่คาดหวัง แต่ก็แอบหวัง

             

              ดังคาด มินยุนกิอ่านทวนชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมาหลังจากเปิดอ่านชื่อที่อยู่ในกระดาษนั่น มินยุนกิเป็นพวกคออ่อนนิดหน่อย สองสามขวดก็ล้มไม่เป็นท่า สติสัมปชัญญะของอีกฝ่ายตอนนี้คงเหลือไม่ถึง 60% ดี เขาถึงได้เพียงแค่แอบหวัง และไม่กล้าคาดหวัง

              กลัวว่าสิ่งที่ออกจากปากของอีกฝ่าย จะเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราพังทลายลง

              เขายังไม่พร้อมน่ะ อันที่จริง จะเรียกเขาว่าไอป๊อดก็ได้นะ ถ้าหากมันจะทำให้เราเหมือนเดิม

     

              พี่ซอกจิน

              ‘เรียกชื่อฉันเป็นรอบที่ล้านแล้วนะยุนกิ พูดมาซักทีเถอะ

              เอ่ยเร่งคนเมาที่เอาแต่ยิ้มเผล่อยู่ฝ่ายเดียว ใบหน้ามึนตึงสีขาวซีดขึ้นสีฝาดด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จากบนเวทีที่เป็นแรพเปอร์สุดเท่ ภาพในตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เอาแต่หัวเราะอยู่ฝ่ายเดียวหลังจากชื่อพูดของเขาซ้ำไปซ้ำมา

     

              อ่า.. จะเริ่มว่ายังไงดี

               พี่ซอกจินน่ะขี้โวยวาย กินเก่ง ชอบเล่นมุกที่คนอื่นเข้าไม่ถึง ทั้งยังชอบบ่นไปเรื่อยจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชอบทำท่าตลกที่ไม่น่าจะขำ ชอบแกล้งน้องคนอื่นอยู่เรื่อย หรือชอบทำตัวเปิ่นจนตัวเองเจ็บมาก็ตั้งหลายครั้ง

              แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังน่ารัก น่ารักทั้งที่ชอบโวยวาย น่ารักทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ย น่ารักทั้งที่เล่นมุกคุณลุงข้างบ้าน น่ารักทั้งที่ปากบ่นไปเรื่อย น่ารักมาก ๆ เวลาคิดจะแกล้งใครซักคน แล้วก็น่ารักมากไปอีกเวลาที่พี่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารง่าย ๆ ให้พวกเรากิน

              ถึงพี่จะเป็นลูกคนเล็กในครอบครัว พี่ก็ยังทำหน้าที่พี่ใหญ่ของวงได้ดีเสมอ ขอบคุณนะครับที่ยังทนดูแลพวกเราเรื่อยมา ขอบคุณนะครับที่ไม่เหนื่อยเวลาต้องอยู่กับพวกเรา ขอบคุณนะครับที่เข้มแข็งทั้งที่ข้างในของพี่ต้องซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย

              พี่อาจไม่รู้ แต่เพลงหลายเพลงที่ผมแต่งขึ้นทั้งที่นั่งอยู่เฉย ๆ นั่นก็ล้วนเป็นเพราะพี่ ประโยคที่ลอยไปมาแบบไม่มีทิศทาง และจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ล้วนมาจากทุกครั้งที่ผมคิดถึงพี่

              นอกจากผมอยากขอบคุณที่พี่ยังคงเป็นรูมเมทหนึ่งเดียวของผมได้อย่างดี ผมยังอยากขอบคุณที่มักจะเป็นห่วงผม คนที่สนใจแต่เพลงจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ขอบคุณที่มักจะแบ่งอาหารในส่วนของผมเสมอเวลาที่ผมต้องเร่งทำเพลงให้เสร็จ ขอบคุณที่ต้องนอนดึกเพื่อรอผมกลับมาจากสตูดิโอ ขอบคุณนะครับที่ยังทนกับเด็กไม่เอาไหนอย่างผมได้

              พี่อาจไม่รู้ แต่เพราะรอยยิ้มของพี่ทำให้ผมยิ้มได้ เพราะการแสดงออกของพี่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น เพราะดวงตาของพี่

             

     

              “ที่ทำให้ผมตกหลุมรักพี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง”

              เอ่ยทวนประโยคที่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำจริง ๆ หลังจากพยายามเค้นออกจากสมองส่วนที่ทำงานมาอย่างนาน เขาก็จดจำได้แทบทุกคำพูดที่ได้พูดออกไปในคืนนั้น ถึงจะเมามาย แต่เขาก็ยังยั้งใจตัวเองไม่ให้ดื่มเกินกว่าที่จะรับไหว และมันก็ทำให้เขาสามารถจดจำเรื่องราวในคืนนั้นได้อีกครั้ง

              “เพราะนายหลับหลังจากที่พูดกับฉัน ฉันก็เลยคิดว่า- นายอาจจะโกหก”

              “...”

              อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาทวนประโยคนั่น น้ำเสียงติดจะสั่นและใบหน้าที่งอง้ำเล็กน้อยทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้ ฉับพลัน แววตาที่เคยสดใสก็หม่นแสงลงจนพาลให้หัวใจของเขาเดินช้าลงอีกด้วย

              “เพราะฉันคิดว่า ถ้าฉันดีใจเก้อ แล้วตื่นมานายก็จำมันไม่ได้ ฉันจะต้องรับผิดชอบกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้แน่ ๆ”

              “...”

              “แต่ฉันก็เผลอดีใจไปกับคำของนายจนได้ และเช้ามามันก็เป็นอย่างที่ฉันคิด นายลืมมันไปหมดแล้ว”

              “แต่-

              “ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า ขอบคุณที่ทำให้คืนวันนั้นเป็นคืนที่ฉันมีความสุขที่สุด ถึงเช้ามาฉันจะไม่กล้าสู้หน้านายก็ตาม ขอบคุณจริง ๆนะ”

             

              มินยุนกิเคยบอกหรือยังว่ารอยยิ้มของคิมซอกจินเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด เขาชอบมันที่สุด และถ้าหากเลือกได้ เขาก็อยากจะเป็นเจ้าของและที่มาของรอยยิ้มเหล่านั้น

              “พี่ซอกจินฟังผมนะ”

              “ถึงตอนนั้นผมจะเมา และพูดอะไรวกไปวนมา แต่เชื่อผมเถอะนะ”

              “ทุกคำที่ผมพูด ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ”

              “พี่กำลังทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากใจเลยครับ”

              Can I say ‘ I love you’ now?, Cause I truly madly deeply mean it.”

     

     


    = drangeax105 =
    จู่ ๆ ก็มีฟีลอยากแต่งอะไรน่ารักเฉยเลยนะคะ หักดิบจากตอนที่แล้วไปหรือเปล่า..
    ไม่เคยแต่งในมุมของคุณยุนกิเลยค่ะ เวลาอินเลิฟ ก็เลยกลัวว่าจะดูแข็งไปหน่อย TT_TT
    ตอนแรกวางแผนว่าจะให้คุณยุนกิตามหาค่ะว่าใครเป็นคนบอกว่าเจ้าตัวชอบ
    แต่ก็นั่นแหละ... คิดว่าคงลากยาวแน่ ๆ เลยให้บอกเองเลย นักเลงพอ!
    แฮปปี้ฟรายเดย์นะคะทุกคน :-)

    ปล. คิดเห็นยังไงก็บอกกันได้นะคะ ไม่สะดวกเม้น ผ่านแท็กเอาก็ได้
    #dgshortfic 
    (นี่สิ้นคิดยิ่งกว่าการตัดสินใจสั่งกระเพาะหมูไข่ดาวในร้านอาหารตามสั่งอีกค่ะ)
    ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้น้า จะเป็นเกี่ยวกับฟิคหวาน ๆ อย่าง party night ก็ได้นะคะ
    รออ่านความคิดเห็นของทุกคนอยู่นะคะ เยิ้ฟ♡
    เราแอบเปลี่ยนชื่อบทความแหละ อย่าสับสนนะคะ คึคึคึคึคึคึคึคึคึ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×