ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ seokjin's smile ( alljin / yoonjin )

    ลำดับตอนที่ #2 : ♡#1 sf 'room 403 #1' /yoonjin

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 624
      8
      20 ม.ค. 60

     Room 403 #1 'called'

    inspired by jealousy incarnate. (my rovvxhyo XD)

     




                หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ด.. หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบแปด.. หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบ

              “จะนับให้ถึงสองพันเลยไหม?”

              น้ำเสียงเนิบๆของคนข้างเตียง(ที่ตอนนี้ถูกกั้นอาณาเขตด้วยผ้าม่านของทั้งคู่แล้วนั้น) เอ่ยขึ้นขัดตอนที่เขากำลังจดจ่อกับการนอนนับบรรดาแกะที่วิ่งผ่านไปมา

             

    “ยุ่งหน่า... เอ่อ.... หนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบหก”

              “สามสิบเก้าต่างหาก”

             

    เบ้ปากพร้อมกับมองบน จะใจกล้าขึ้นมาก็ตอนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นหน้าเขานี่แหละ ทำไม๊ทำไม คิมซอกจินต้องมานอน มาใช้ชีวิตร่วมสัปดาห์กับเจ้าหมาพันธุ์ปั๊กที่เก่งแค่เรื่องขัดคนอื่นเขาไปวันวันด้วยนะ ทั้งที่ก็ประกาศศักดาเอาไว้แล้วแท้แท้ว่าจะไม่มีวันได้เข้ามาในวงโคจรชีวิตร่วมกันอีก สุดท้ายแจคพ็อตรางวัลใหญ่ก็ตกมาที่เขาทุกที

     

              เฮลโหล ที่เคยไปบนบานว่ากล่าวเอาไว้ไม่ได้หมายความว่าต้องมาถูกหวยกับอะไรพวกนี้ซักหน่อย เขาแค่อยากได้รางวัลเป็นเงิน เงินที่ใช้จ่ายพอประทังชีวิตได้ ไม่ใช่รางวัลใหญ่เป็น.. เป็นมนุษย์ร่างเล็กแต่ใจเหี้ยมโหดแบบนี้

              ยิ่งมะรืนนี้ ซอกจินก็ต้องกลายเป็นเนื้อขึ้นเขียงให้เขาแล่อีก..

              นี่สินะที่ว่ากันว่าเรื่องร้ายๆมักจะเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ

     

              ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามือก่ายหน้าผาก ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็นอนไม่หลับจริงๆสินะ เปิดเพลงฟังกรอกหูก็แล้ว นั่งนับแกะจนถึงสองพันก็แล้วก็ไม่มีวิธีไหนสำเร็จซักทาง นี่ก็เลยเที่ยงคืนมาเป็นชั่วโมงแล้ว เขายังทำใจนอนหลับไม่ลงเลย

              “ซอกจิน..”

              “...”

              “คิมซอกจิน”

              “...”

              “พี่ซอกจิน”

              “อะไร”

              ก็เห็นเรียกซอกจิน คิมซอกจินเฉยๆ เขาจะไปรู้หรอว่าผู้ป่วยร่วมห้องเขาหมายถึงใคร เท่าที่จำได้มินยุนกิไม่เห็นจะมีเพื่อนที่อายุเท่ากัน รุ่นเดียวกันที่ชื่อคิมซอกจินเลยนา.. เอ๋ งงจัง

     

              “เรียกตั้งนานทำไมเพิ่งตอบ?”

              “เห็นนายเรียกแค่ซอกจิน ก็นึกว่าเรียกเพื่อน”

              “ห่างกันสามเดือนอย่าเรื่องมากหน่า”

              ถ้าไม่เกรงใจว่ามีผ้าม่านกั้นความเป็นส่วนตัวไว้อยู่นะ(ถึงแม้มันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยก็ตาม)เขาคงจะคว้าแจกันดอกไม้ข้างหัวเตียงปาไปใส่คนข้างๆแล้ว ก็พอรู้อยู่หรอกว่าเด็กไร้มารยาแค่ก ไม่ค่อยแสดงความเคารพรุ่นพี่ซักเท่าไหร่ แต่พอโดนทำตัวแบบนี้ใส่ก็อดบ่นไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่ผิดหรอก แต่นี่มินยุนกิไง มินยุนกิเชียวนะ หายใจก็ผิดแล้ว

     

              “ฉันเป็นฟีตัส*ก่อนนายแล้วกัน”

              “...”

              หึ เป็นไงละ เด็กสายศิลปะอย่างนายคงไม่เคยได้ร่ำได้เรียนเลยสินะเรื่องราวของระบบสืบพันธุ์มนุษย์ โทษทีนะที่คิมซอกจินคนนี้ผ่านประสบการณ์การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาอย่างโชกโชน คำด่าเชิงวิชาการเลยทำให้เงียบไปเลย

              อืม.. เงียบจริงด้วยแฮะ

     

              เงียบ มินยุนกิเงียบแบบเงียบไปนานเลย ไม่หือไม่อือ ไม่ตอบอะไรเลยด้วย ถ้าเกิดไม่ได้ยินเสียงหายใจนี่เขาเองก็คิดว่าเมื่อกี๊คุยกับอากาศแล้วนะ ไม่รู้ว่าอึ้งคำด่าหรือหมดคำจะเถียงด้วยกันแน่

     

              เบ้ปากใส่อีกครั้ง ไม่อยากคุยก็เรื่องของเขา ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงเนิบๆ ต่ำๆที่ได้ยินแล้วขนลุกยังไงไม่รู้

     

              มองเพดานบนห้องแล้วก็เหนื่อยใจกับตัวเอง ถ้าขืนเขายังนอนไม่หลับแบบนี้ความดันต้องต่ำมากแน่แน่ แล้วยิ่งคุณพยาบาลใจโหดก็จอมจู้จี้อีก มีหวังได้มองเขาแรงแถมยังจิกกัดซะจนมุดหน้าหนีไม่ทันแน่แน่

              ไปเดินเล่นดีกว่าไหมนะ..

     

              หย่อนขาทั้งสองข้างลงจากเตียงพร้อมกับเปลี่ยนไปเป็นท่านั่ง สวมรองเท้าของโรงพยาบาลและไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตไว้อยู่ออกไปด้วย เดินวนรอบเตียงเพื่อหาทางออกซักทางที่ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเตียงข้างๆที่ยังคงเงียบ

              ขอให้เงียบอย่างนี้ซักหนึ่งอาทิตย์ด้วยเถอะ

     

             


              การไปเดินพักผ่อนกับธรรมชาติบางทีมันก็ช่วยอะไรได้เยอะจริงๆ เขาไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมคนป่วยถึงชอบเดินกันนัก อาจจะเพราะบางทีได้เจอธรรมชาติมันก็ช่วยทำให้สมองของเราลืมคิดเรื่องอะไรไปได้บ้าง

              เช่นเดียวกับคิมซอกจินที่ลืม.. ลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ห้องเลขที่เท่าไหร่

     

              อันที่จริงเรียกว่าไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ดีกว่า เขาจำได้ว่าห้องเขาน่ะอยู่ตึกไหน แต่ครั้นจะไปถามพยาบาลก็ดันไม่มีใครซักคนที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เขาเองก็เข้าใจนะว่าตอนนี้ก็ปาไปตีสามแล้วแต่ใจคอจะไม่มีใครซักคนที่ประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์เลยหรอ นี่คราวซวยของคิมซอกจินหรือเปล่า

     

              นั่งรอหน้าเคาน์เตอร์เกือบสิบนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะมานั่งซักคน ถ้าจะให้เดินดุ่มขึ้นลิฟต์ก็ไม่มั่นใจอีกว่าชั้นสี่หรือห้า

              มัน 503 405 403 หรือ 304…

     

              นั่งนับนิ้วอยู่คนเดียวตอนตีสามไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจเลยซักนิด แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาดันเพลินไปหน่อยกับการชมธรรมชาติ เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องผ่าตัด กลัวนู่นกลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด กลัวว่าตัวเองจะรอดไหม กลัวว่าวันผ่าตัดถ้าเกิดมันไม่ได้มีปัญหาแค่ตรงลำไส้เขาอย่างเดียวละ ... แล้วก็กลัวว่าวันนั้นถ้าเกิดเขาต้องเข้าห้องผ่าตัดคนเดียวโดยที่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเลยซักคนขึ้นมาจะทำยังไง

              เห็นอย่างนี้คิมซอกจินก็คิดมากไม่ใช่น้อยนะ(แหงละ เพราะถ้ามากกว่านี้ก็คงเครียดตายไปแล้ว)

     

              สะดุ้งเมื่อส้มผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋า เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ชั่งใจอยู่นิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดรับไป

                /เมื่อไหร่จะกลับ/

              “... กลับ กลับอะไรครับ?”

              /..กลับห้องไง/

     

              น้ำเสียงเอกลักษณ์ที่ฟังทางโทรศัพท์ก็เหมือนจะมีหน้าปรากฏอยู่ลางๆ ผู้ป่วยขี้ลืมแอบดีใจนิดหน่อยที่หมอนี่โทรมา ถึงจะยังข้องใจเรื่องได้เบอร์เขามายังไงก็ตามทีเถอะ

              “มินยุนกิหรอ?”

                /คิดว่าเป็นนัมจุน?/

              “ก็ฉันไม่มีเบอร์นายหนิ.. ว่าแต่.. ยุนกิอา...”

     

              พยายามลากเสียงยานๆเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความอายของตัวเอง ถึงเขาไม่มีอะไรจะเสียต่อหน้าเจ้านี่แล้วก็ตามที แต่มันก็อดรู้สึกอายไม่ได้อยู่ดี

                /อะไร?/

              “ห้องเราเลขอะไรนะ.. ฉันลืมเลขห้องอะ”

                /.../

     

              ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งเหมือนยังคงจับใจความไม่ได้ว่าคิมซอกจินเพิ่งพูดอะไรออกไป ให้ตายเถอะ นี่ฆ่าตัวตายต่อหน้ามินยุนกิหรือเปล่า

                /403/

              “เออแล้วก็..”

                /ขึ้นลิฟต์ชั้นห้า อย่าไปชั้นสี่ นั่นมันห้องเด็กอ่อน/

              “ขอบใจนะ”

                /รีบกลับห้องมาซักทีเหอะ ไม่กลัวหมอด่าหรือไง/

                แค่ตอบว่าไม่เป็นไรอย่างสุภาพซักครั้งมันจะช้ำในตายไหมละ ไอเด็กเวร

     

     

              หลังจากเดินทางผ่านมรสุมชีวิตวัยอัลไซเมอร์มาได้อย่างเฉียดฉิว คิมซอกจินก็ทำการเมมทั้งเบอร์โทรศัพท์(ตั้งชื่อเอาไว้ว่าเบอร์ต้องห้ามอันดับที่ 1)และเมมเบอร์ห้องพร้อมกับเลขชั้นเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ เมื่อมันมีครั้งแรก เขาต้องทำให้มั่นใจว่ามันจะไม่มีครั้งที่สองอีกต่อไป คนอย่างเขาพึ่งพาหมอนั่นได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ

     

              เมื่อถึงประตูหน้าห้อง ยืนพิจารณาอยู่หน่อยว่าจะเปิดประตูเข้าไปแบบปกติ หรือเดินอย่างวิญญาณที่ไม่มีเสียงซักแอะ หรืออย่างเจ๋งก็เดินไปประกาศโต้งๆเลยว่าถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว

              แบบไหนมันทุเรศน้อยที่สุดกันนะ

     

              ตัดสินใจแล้วว่าจะทดลองทำตัวเป็นเจ้าที่ซักวัน เลยทำการค่อยๆบิดลูกบิดประตูอย่างเงียบเชียบ เดินเข้าไปฝ่าดงความมือที่คาดว่ามินยุนกิคงลุกมาปิดไฟเอาไว้ เดินเลียบไปตามขอบผนังเพื่อนำทางไปยังอาณาเขตของตัวเอง แหวกกลุ่มผ้าม่านที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้นเมืองแล้วยิ้มเยาะให้กับความสำเร็จ เพียงแค่นี้เจ้าเด็กเวรก็จะไม่รับรู้อีกว่าเขามาถึงห้องตั้งแต่เมื่อไหร่

              หึ อย่าคิดว่าจะได้ล้อกันเลย คิมซอกจินน่ะ หาตัวจับยากนะจะบอกให้

     

     

     

     

              เช้าแสนสดใสถูกทำลายด้วยเสียงแหวกผ้าม่านขั้นดังสุดของคุณพยาบาลคนเมื่อวาน เขากำลังฝันหวานถึงนางเอกนักแสดงแนวหน้าของประเทศ แต่แล้วก็ถูกพังลงด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษที่ทำให้เขาต้องมานอนอยู่ในห้องที่เหมือนแดนประหารอย่างนี้!

     

              “หน้าตาดูไม่ได้เลยนะคะ”

              นี่คำทักทายของพยาบาลกับคนไข้หรอ... นี่มันมาไกลถึงขั้นนี้แล้วหรอครับ...

     

              “ขอบคุณครับ”

              “ไม่เป็นไรค่ะ พยาบาลจะวัดความดันให้นะคะ”

     

              คุณพยาบาลที่สวยสู้เบซูจีไม่ได้ซักนิดเดินเข้ามาบีบแขน เน้นตรงนี้ว่าบีบแขน ของคิมซอกจินเข้าอย่างจัง พร้อมกับสวมใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่าเครื่องตรวจวัดความดัน นี่ถ้าไม่ได้บอกก่อนว่าจะวัดความดัน เขาเองก็คิดเลยนะว่ากำลังจะถูกลักพาตัวไปไหนหรือเปล่า

     

              “ความดันต่ำมากเลยนะคะ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนได้นอนหรือเปล่า”

              เห้อ ทำไมคิมซอกจินถึงซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ

              “อ่อ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนไข้ทราบหรือเปล่านะคะ แต่คนไข้คิดถูกแล้วที่เลือกทานน้ำผลไม้มากกว่าอาหารพวกนม เพราะจะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น”

     

              “เอ่อ...”

              “แล้วก็พยาบาลจะงดให้อาหารคุณซอกจินก่อนผ่าตัด 24 ชั่วโมงนะคะเพื่อการผ่าตัด ระหว่างนั้นก็ทำใจให้สบาย รับรองว่ามันจะผ่านไปด้วยดีค่ะ”

     

              น้ำผลไม้อะไร... คิมซอกจินผู้นี้ยังไม่เคยเสียเงินซักวอนเลยตั้งแต่ล้มตัวลงนอนในห้องนี้ เขาจำได้ดีว่าไม่เคยมีซักครั้งที่จะเดินไปซื้อน้ำผลไม้ที่ตู้หยอดเหรียญ หรือพยาบาลเขาเข้าเวรดึกจนมองผิดมองถูกกันนะ

     

              อ๋า.. น้ำผลไม้ที่ว่าคืออันนี้ซินะ

     

              หันไปมองตรงหัวเตียงที่มีกล่องน้ำผลไม้ยี่ห้อดังวางอยู่ มันเป็นน้ำผลไม้รสส้มที่เขาชอบ แต่เท่าที่จำได้ก็ไม่ได้ซื้อ แถมตอนที่ย้ายมาอยู่ในห้องนี้ก็ไม่ได้วางอยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่สวัสดิการของโรงพยาบาลแน่ๆ(ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะแพงหูฉี่ แต่ก็ไม่มีอะไรให้เลยซักอย่าง!) แล้วมันมาวางอยู่ตรงหัวเตียงเขาได้ยังไงนะ?

     

              เอื้อมมือไปหยิบเมื่อคุณพยาบาลเดินกลับไปตรงปลายเตียงเพื่อเก็บอุปกรณ์ สายตาเหลือบไปเจอกระดาษโน้ตสีขาวเล็กๆที่ประทับตาโรงพยาบาลอยู่ ลายมือลีบ ผอมแห้งที่คุ้นตาก็เขียนข้อความอยู่สั้นๆที่ไม่ว่าจะอ่านทวนกี่รอบ มันก็ยังเขียนเหมือนเดิม

     

              กินน้ำผลไม้แทนนมไปก่อน น่าจะช่วยให้นอนหลับได้เหมือนกัน

     

              จู่ๆใจก็เต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวเขาเองรู้ดีว่าเจ้าของลายมือนี้คือใคร แน่นอนว่าคงไม่พ้นเพื่อนร่วมห้องที่นอนอยู่เตียงถัดไปแน่ๆ แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือจ้าเด็กนี่รู้จักใส่ใจคนอื่น แถมยังเดาเก่งอีกว่าเขาชอบน้ำผลไม้แบบไหน

     

              นึกถึงเพื่อนร่วมห้องก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตื่นนอนก็ไม่ได้ยินเสียงเลยซักแอะ อันที่จริง นับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่อีกฝ่ายโทรมาตามให้กลับห้อง นั่นก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเหมือนกัน ถ้าให้เอามารวมกันก็บ่งบอกได้ว่าเด็กนี่ไม่ได้อันตรายเหมือนที่เคย .. หรือไม่ความร้ายก็ลดลงไปมากกว่าเดิม

     

              ว่าแต่ หายไปไหนของเขากันนะ

     

              “คุณพยาบาลครับ แล้วเอ่อ..มินยุนกิไปไหนหรอครับ?”

     

              คุณพยาบาลที่เพิ่งเก็บของแล้วเตรียมเคลื่อนขบวนก็ปรายตามามองผมทีนึง เธอยิ้มหวานเมื่อได้ยินชื่อของผู้ป่วยร่วมแชร์ของเขา

     

              “อ่อ...คุณมินยุนกิต้องพบคุณหมอน่ะค่ะ น่าจะต้องตรวจประเมินอาการก่อน”

     

              ตั้งแต่ติดต่อเรื่องห้องพักผู้ป่วย คุณพยาบาลก็บอกเขาไว้แค่ว่ามินยุนกิป่วยเป็นโรคคล้ายกับเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคเดียวกันซะทีเดียว คิมซอกจินเองก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นอะไรกันแน่ถึงต้องนอนโรงพยาบาลขนาดนี้ ปกติเวลาป่วยก็ไม่เคยเห็นจะลากสังขารมาหาหมอได้

     

              “ขอโทษนะครับ.. พอจะรู้ไหมว่าเขาป่วยเป็นอะไรหรอครับ?”

              คุณพยาบาลชะงักมือที่กำลังเข็น ก่อนจะยิ้มหยดย้อยอีกครั้งเหมือนพริตตี้โชว์รูม

              “ต้องลองถามเขาเองนะคะ เพราะมันคือความลับผู้ป่วย ฉันบอกไม่ได้จริงๆค่ะ”

              “ขอบคุณครับ”

              “อย่าลืมนะคะ คุณซอกจินต้องอดอาหารและน้ำตั้งแต่เที่ยง ขอให้โชคดีค่ะ”

                มาปล่อยให้คนอยากรู้แล้วก็จากไปนี่ถือว่าผิดจรรยาบรรณไหมครับคุณพยาบาล!

     

     

    TBC

    ‘preview’


    “จะร้องไห้ทำไม นี่พี่ดูละครหลังข่าวหรือไง?”

    “... แต่ที่นายเป็นมันร้ายแรงมากเลยนะยุนกิอา จะไม่ให้ฉันใจหายได้ไง”

    “พี่ลืมไปรึไงว่าตัวเองจะผ่าตัดพรุ่งนี้อยู่แล้ว”

    “ฉันก็ไม่ตายง่ายเหมือนนายหรอกน่า!”

              

    ปล. ฟีตัส หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกทารกตอนอายุครรภ์ได้แปดสัปดาห์ขึ้นไปค่ะ จะมีอวัยวะครบแล้วนั่นเอง



    ตอนต่อไปมาลุ้นกันดีกว่าค่ะว่าคุณมินยุนกิเนี่ยป่วยเป็นอะไรกันแน่..
    แล้วทำไมคุณซอกจินต้องเล่นใหญ่เบอร์นั้นด้วยนา .. เอ๋ งงจัง
    เรื่องนี้ฟลัฟฟี่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะคะ แล้วก็ได้รับแรงบันดาลใจจากซี่รี่ย์ซะส่วนใหญ่
    ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ

    @DRANGEAX105


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×