คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ♡#1 sf 'room 403 #1' /yoonjin
Room 403 #1 'called'
inspired by jealousy incarnate. (my rovvxhyo XD)
หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ด..
หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบแปด.. หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบ–
“จะนับให้ถึงสองพันเลยไหม?”
น้ำเสียงเนิบๆของคนข้างเตียง(ที่ตอนนี้ถูกกั้นอาณาเขตด้วยผ้าม่านของทั้งคู่แล้วนั้น)
เอ่ยขึ้นขัดตอนที่เขากำลังจดจ่อกับการนอนนับบรรดาแกะที่วิ่งผ่านไปมา
“ยุ่งหน่า...
เอ่อ.... หนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบหก”
“สามสิบเก้าต่างหาก”
เบ้ปากพร้อมกับมองบน
จะใจกล้าขึ้นมาก็ตอนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นหน้าเขานี่แหละ ทำไม๊ทำไม
คิมซอกจินต้องมานอน มาใช้ชีวิตร่วมสัปดาห์กับเจ้าหมาพันธุ์ปั๊กที่เก่งแค่เรื่องขัดคนอื่นเขาไปวันวันด้วยนะ
ทั้งที่ก็ประกาศศักดาเอาไว้แล้วแท้แท้ว่าจะไม่มีวันได้เข้ามาในวงโคจรชีวิตร่วมกันอีก
สุดท้ายแจคพ็อตรางวัลใหญ่ก็ตกมาที่เขาทุกที
เฮลโหล
ที่เคยไปบนบานว่ากล่าวเอาไว้ไม่ได้หมายความว่าต้องมาถูกหวยกับอะไรพวกนี้ซักหน่อย
เขาแค่อยากได้รางวัลเป็นเงิน เงินที่ใช้จ่ายพอประทังชีวิตได้ ไม่ใช่รางวัลใหญ่เป็น..
เป็นมนุษย์ร่างเล็กแต่ใจเหี้ยมโหดแบบนี้
ยิ่งมะรืนนี้
ซอกจินก็ต้องกลายเป็นเนื้อขึ้นเขียงให้เขาแล่อีก..
นี่สินะที่ว่ากันว่าเรื่องร้ายๆมักจะเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามือก่ายหน้าผาก
ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็นอนไม่หลับจริงๆสินะ เปิดเพลงฟังกรอกหูก็แล้ว
นั่งนับแกะจนถึงสองพันก็แล้วก็ไม่มีวิธีไหนสำเร็จซักทาง
นี่ก็เลยเที่ยงคืนมาเป็นชั่วโมงแล้ว เขายังทำใจนอนหลับไม่ลงเลย
“ซอกจิน..”
“...”
“คิมซอกจิน”
“...”
“พี่ซอกจิน”
“อะไร”
ก็เห็นเรียกซอกจิน
คิมซอกจินเฉยๆ เขาจะไปรู้หรอว่าผู้ป่วยร่วมห้องเขาหมายถึงใคร
เท่าที่จำได้มินยุนกิไม่เห็นจะมีเพื่อนที่อายุเท่ากัน
รุ่นเดียวกันที่ชื่อคิมซอกจินเลยนา.. เอ๋ งงจัง
“เรียกตั้งนานทำไมเพิ่งตอบ?”
“เห็นนายเรียกแค่ซอกจิน
ก็นึกว่าเรียกเพื่อน”
“ห่างกันสามเดือนอย่าเรื่องมากหน่า”
ถ้าไม่เกรงใจว่ามีผ้าม่านกั้นความเป็นส่วนตัวไว้อยู่นะ(ถึงแม้มันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยก็ตาม)เขาคงจะคว้าแจกันดอกไม้ข้างหัวเตียงปาไปใส่คนข้างๆแล้ว
ก็พอรู้อยู่หรอกว่าเด็กไร้มารยา– แค่ก
ไม่ค่อยแสดงความเคารพรุ่นพี่ซักเท่าไหร่ แต่พอโดนทำตัวแบบนี้ใส่ก็อดบ่นไม่ได้อยู่ดี
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่ผิดหรอก แต่นี่มินยุนกิไง มินยุนกิเชียวนะ หายใจก็ผิดแล้ว
“ฉันเป็นฟีตัส*ก่อนนายแล้วกัน”
“...”
หึ
เป็นไงละ
เด็กสายศิลปะอย่างนายคงไม่เคยได้ร่ำได้เรียนเลยสินะเรื่องราวของระบบสืบพันธุ์มนุษย์
โทษทีนะที่คิมซอกจินคนนี้ผ่านประสบการณ์การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาอย่างโชกโชน
คำด่าเชิงวิชาการเลยทำให้เงียบไปเลย
อืม..
เงียบจริงด้วยแฮะ
เงียบ
มินยุนกิเงียบแบบเงียบไปนานเลย ไม่หือไม่อือ ไม่ตอบอะไรเลยด้วย
ถ้าเกิดไม่ได้ยินเสียงหายใจนี่เขาเองก็คิดว่าเมื่อกี๊คุยกับอากาศแล้วนะ
ไม่รู้ว่าอึ้งคำด่าหรือหมดคำจะเถียงด้วยกันแน่
เบ้ปากใส่อีกครั้ง
ไม่อยากคุยก็เรื่องของเขา ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงเนิบๆ ต่ำๆที่ได้ยินแล้วขนลุกยังไงไม่รู้
มองเพดานบนห้องแล้วก็เหนื่อยใจกับตัวเอง
ถ้าขืนเขายังนอนไม่หลับแบบนี้ความดันต้องต่ำมากแน่แน่
แล้วยิ่งคุณพยาบาลใจโหดก็จอมจู้จี้อีก มีหวังได้มองเขาแรงแถมยังจิกกัดซะจนมุดหน้าหนีไม่ทันแน่แน่
ไปเดินเล่นดีกว่าไหมนะ..
หย่อนขาทั้งสองข้างลงจากเตียงพร้อมกับเปลี่ยนไปเป็นท่านั่ง
สวมรองเท้าของโรงพยาบาลและไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตไว้อยู่ออกไปด้วย เดินวนรอบเตียงเพื่อหาทางออกซักทางที่ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเตียงข้างๆที่ยังคงเงียบ
ขอให้เงียบอย่างนี้ซักหนึ่งอาทิตย์ด้วยเถอะ
การไปเดินพักผ่อนกับธรรมชาติบางทีมันก็ช่วยอะไรได้เยอะจริงๆ
เขาไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมคนป่วยถึงชอบเดินกันนัก
อาจจะเพราะบางทีได้เจอธรรมชาติมันก็ช่วยทำให้สมองของเราลืมคิดเรื่องอะไรไปได้บ้าง
เช่นเดียวกับคิมซอกจินที่ลืม..
ลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ห้องเลขที่เท่าไหร่
อันที่จริงเรียกว่าไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ดีกว่า
เขาจำได้ว่าห้องเขาน่ะอยู่ตึกไหน
แต่ครั้นจะไปถามพยาบาลก็ดันไม่มีใครซักคนที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เขาเองก็เข้าใจนะว่าตอนนี้ก็ปาไปตีสามแล้วแต่ใจคอจะไม่มีใครซักคนที่ประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์เลยหรอ
นี่คราวซวยของคิมซอกจินหรือเปล่า
นั่งรอหน้าเคาน์เตอร์เกือบสิบนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะมานั่งซักคน
ถ้าจะให้เดินดุ่มขึ้นลิฟต์ก็ไม่มั่นใจอีกว่าชั้นสี่หรือห้า
มัน
503 405 403 หรือ 304…
นั่งนับนิ้วอยู่คนเดียวตอนตีสามไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจเลยซักนิด
แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาดันเพลินไปหน่อยกับการชมธรรมชาติ
เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องผ่าตัด กลัวนู่นกลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด กลัวว่าตัวเองจะรอดไหม
กลัวว่าวันผ่าตัดถ้าเกิดมันไม่ได้มีปัญหาแค่ตรงลำไส้เขาอย่างเดียวละ ...
แล้วก็กลัวว่าวันนั้นถ้าเกิดเขาต้องเข้าห้องผ่าตัดคนเดียวโดยที่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเลยซักคนขึ้นมาจะทำยังไง
เห็นอย่างนี้คิมซอกจินก็คิดมากไม่ใช่น้อยนะ(แหงละ เพราะถ้ามากกว่านี้ก็คงเครียดตายไปแล้ว)
สะดุ้งเมื่อส้มผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋า
เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ชั่งใจอยู่นิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดรับไป
/เมื่อไหร่จะกลับ/
“... กลับ กลับอะไรครับ?”
/..กลับห้องไง/
น้ำเสียงเอกลักษณ์ที่ฟังทางโทรศัพท์ก็เหมือนจะมีหน้าปรากฏอยู่ลางๆ
ผู้ป่วยขี้ลืมแอบดีใจนิดหน่อยที่หมอนี่โทรมา
ถึงจะยังข้องใจเรื่องได้เบอร์เขามายังไงก็ตามทีเถอะ
“มินยุนกิหรอ?”
/คิดว่าเป็นนัมจุน?/
“ก็ฉันไม่มีเบอร์นายหนิ.. ว่าแต่..
ยุนกิอา...”
พยายามลากเสียงยานๆเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความอายของตัวเอง
ถึงเขาไม่มีอะไรจะเสียต่อหน้าเจ้านี่แล้วก็ตามที แต่มันก็อดรู้สึกอายไม่ได้อยู่ดี
/อะไร?/
“ห้องเราเลขอะไรนะ.. ฉันลืมเลขห้องอะ”
/.../
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งเหมือนยังคงจับใจความไม่ได้ว่าคิมซอกจินเพิ่งพูดอะไรออกไป
ให้ตายเถอะ นี่ฆ่าตัวตายต่อหน้ามินยุนกิหรือเปล่า
/403/
“เออแล้วก็..”
/ขึ้นลิฟต์ชั้นห้า อย่าไปชั้นสี่
นั่นมันห้องเด็กอ่อน/
“ขอบใจนะ”
/รีบกลับห้องมาซักทีเหอะ
ไม่กลัวหมอด่าหรือไง/
แค่ตอบว่าไม่เป็นไรอย่างสุภาพซักครั้งมันจะช้ำในตายไหมละ
ไอเด็กเวร
หลังจากเดินทางผ่านมรสุมชีวิตวัยอัลไซเมอร์มาได้อย่างเฉียดฉิว
คิมซอกจินก็ทำการเมมทั้งเบอร์โทรศัพท์(ตั้งชื่อเอาไว้ว่าเบอร์ต้องห้ามอันดับที่ 1)และเมมเบอร์ห้องพร้อมกับเลขชั้นเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ
เมื่อมันมีครั้งแรก เขาต้องทำให้มั่นใจว่ามันจะไม่มีครั้งที่สองอีกต่อไป
คนอย่างเขาพึ่งพาหมอนั่นได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ
เมื่อถึงประตูหน้าห้อง
ยืนพิจารณาอยู่หน่อยว่าจะเปิดประตูเข้าไปแบบปกติ
หรือเดินอย่างวิญญาณที่ไม่มีเสียงซักแอะ
หรืออย่างเจ๋งก็เดินไปประกาศโต้งๆเลยว่าถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว
แบบไหนมันทุเรศน้อยที่สุดกันนะ
ตัดสินใจแล้วว่าจะทดลองทำตัวเป็นเจ้าที่ซักวัน
เลยทำการค่อยๆบิดลูกบิดประตูอย่างเงียบเชียบ
เดินเข้าไปฝ่าดงความมือที่คาดว่ามินยุนกิคงลุกมาปิดไฟเอาไว้
เดินเลียบไปตามขอบผนังเพื่อนำทางไปยังอาณาเขตของตัวเอง
แหวกกลุ่มผ้าม่านที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้นเมืองแล้วยิ้มเยาะให้กับความสำเร็จ
เพียงแค่นี้เจ้าเด็กเวรก็จะไม่รับรู้อีกว่าเขามาถึงห้องตั้งแต่เมื่อไหร่
หึ อย่าคิดว่าจะได้ล้อกันเลย คิมซอกจินน่ะ
หาตัวจับยากนะจะบอกให้
เช้าแสนสดใสถูกทำลายด้วยเสียงแหวกผ้าม่านขั้นดังสุดของคุณพยาบาลคนเมื่อวาน
เขากำลังฝันหวานถึงนางเอกนักแสดงแนวหน้าของประเทศ แต่แล้วก็ถูกพังลงด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษที่ทำให้เขาต้องมานอนอยู่ในห้องที่เหมือนแดนประหารอย่างนี้!
“หน้าตาดูไม่ได้เลยนะคะ”
นี่คำทักทายของพยาบาลกับคนไข้หรอ...
นี่มันมาไกลถึงขั้นนี้แล้วหรอครับ...
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ
พยาบาลจะวัดความดันให้นะคะ”
คุณพยาบาลที่สวยสู้เบซูจีไม่ได้ซักนิดเดินเข้ามาบีบแขน
เน้นตรงนี้ว่าบีบแขน ของคิมซอกจินเข้าอย่างจัง พร้อมกับสวมใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่าเครื่องตรวจวัดความดัน
นี่ถ้าไม่ได้บอกก่อนว่าจะวัดความดัน
เขาเองก็คิดเลยนะว่ากำลังจะถูกลักพาตัวไปไหนหรือเปล่า
“ความดันต่ำมากเลยนะคะ
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนได้นอนหรือเปล่า”
เห้อ
ทำไมคิมซอกจินถึงซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ
“อ่อ
แล้วก็ไม่รู้ว่าคนไข้ทราบหรือเปล่านะคะ
แต่คนไข้คิดถูกแล้วที่เลือกทานน้ำผลไม้มากกว่าอาหารพวกนม
เพราะจะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น”
“เอ่อ...”
“แล้วก็พยาบาลจะงดให้อาหารคุณซอกจินก่อนผ่าตัด
24 ชั่วโมงนะคะเพื่อการผ่าตัด ระหว่างนั้นก็ทำใจให้สบาย
รับรองว่ามันจะผ่านไปด้วยดีค่ะ”
น้ำผลไม้อะไร...
คิมซอกจินผู้นี้ยังไม่เคยเสียเงินซักวอนเลยตั้งแต่ล้มตัวลงนอนในห้องนี้
เขาจำได้ดีว่าไม่เคยมีซักครั้งที่จะเดินไปซื้อน้ำผลไม้ที่ตู้หยอดเหรียญ
หรือพยาบาลเขาเข้าเวรดึกจนมองผิดมองถูกกันนะ
อ๋า.. น้ำผลไม้ที่ว่าคืออันนี้ซินะ
หันไปมองตรงหัวเตียงที่มีกล่องน้ำผลไม้ยี่ห้อดังวางอยู่
มันเป็นน้ำผลไม้รสส้มที่เขาชอบ แต่เท่าที่จำได้ก็ไม่ได้ซื้อ
แถมตอนที่ย้ายมาอยู่ในห้องนี้ก็ไม่ได้วางอยู่แล้วตั้งแต่แรก
เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่สวัสดิการของโรงพยาบาลแน่ๆ(ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะแพงหูฉี่
แต่ก็ไม่มีอะไรให้เลยซักอย่าง!)
แล้วมันมาวางอยู่ตรงหัวเตียงเขาได้ยังไงนะ?
เอื้อมมือไปหยิบเมื่อคุณพยาบาลเดินกลับไปตรงปลายเตียงเพื่อเก็บอุปกรณ์
สายตาเหลือบไปเจอกระดาษโน้ตสีขาวเล็กๆที่ประทับตาโรงพยาบาลอยู่ ลายมือลีบ
ผอมแห้งที่คุ้นตาก็เขียนข้อความอยู่สั้นๆที่ไม่ว่าจะอ่านทวนกี่รอบ
มันก็ยังเขียนเหมือนเดิม
‘กินน้ำผลไม้แทนนมไปก่อน
น่าจะช่วยให้นอนหลับได้เหมือนกัน’
จู่ๆใจก็เต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
ตัวเขาเองรู้ดีว่าเจ้าของลายมือนี้คือใคร
แน่นอนว่าคงไม่พ้นเพื่อนร่วมห้องที่นอนอยู่เตียงถัดไปแน่ๆ
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือจ้าเด็กนี่รู้จักใส่ใจคนอื่น
แถมยังเดาเก่งอีกว่าเขาชอบน้ำผลไม้แบบไหน
นึกถึงเพื่อนร่วมห้องก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตื่นนอนก็ไม่ได้ยินเสียงเลยซักแอะ
อันที่จริง นับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่อีกฝ่ายโทรมาตามให้กลับห้อง
นั่นก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเหมือนกัน ถ้าให้เอามารวมกันก็บ่งบอกได้ว่าเด็กนี่ไม่ได้อันตรายเหมือนที่เคย
.. หรือไม่ความร้ายก็ลดลงไปมากกว่าเดิม
ว่าแต่ หายไปไหนของเขากันนะ
“คุณพยาบาลครับ
แล้วเอ่อ..มินยุนกิไปไหนหรอครับ?”
คุณพยาบาลที่เพิ่งเก็บของแล้วเตรียมเคลื่อนขบวนก็ปรายตามามองผมทีนึง
เธอยิ้มหวานเมื่อได้ยินชื่อของผู้ป่วยร่วมแชร์ของเขา
“อ่อ...คุณมินยุนกิต้องพบคุณหมอน่ะค่ะ
น่าจะต้องตรวจประเมินอาการก่อน”
ตั้งแต่ติดต่อเรื่องห้องพักผู้ป่วย
คุณพยาบาลก็บอกเขาไว้แค่ว่ามินยุนกิป่วยเป็นโรคคล้ายกับเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคเดียวกันซะทีเดียว
คิมซอกจินเองก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นอะไรกันแน่ถึงต้องนอนโรงพยาบาลขนาดนี้
ปกติเวลาป่วยก็ไม่เคยเห็นจะลากสังขารมาหาหมอได้
“ขอโทษนะครับ.. พอจะรู้ไหมว่าเขาป่วยเป็นอะไรหรอครับ?”
คุณพยาบาลชะงักมือที่กำลังเข็น
ก่อนจะยิ้มหยดย้อยอีกครั้งเหมือนพริตตี้โชว์รูม
“ต้องลองถามเขาเองนะคะ
เพราะมันคือความลับผู้ป่วย ฉันบอกไม่ได้จริงๆค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“อย่าลืมนะคะ
คุณซอกจินต้องอดอาหารและน้ำตั้งแต่เที่ยง ขอให้โชคดีค่ะ”
มาปล่อยให้คนอยากรู้แล้วก็จากไปนี่ถือว่าผิดจรรยาบรรณไหมครับคุณพยาบาล!
TBC
‘preview’
“จะร้องไห้ทำไม
นี่พี่ดูละครหลังข่าวหรือไง?”
“... แต่ที่นายเป็นมันร้ายแรงมากเลยนะยุนกิอา
จะไม่ให้ฉันใจหายได้ไง”
“พี่ลืมไปรึไงว่าตัวเองจะผ่าตัดพรุ่งนี้อยู่แล้ว”
“ฉันก็ไม่ตายง่ายเหมือนนายหรอกน่า!”
ปล. ฟีตัส หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกทารกตอนอายุครรภ์ได้แปดสัปดาห์ขึ้นไปค่ะ จะมีอวัยวะครบแล้วนั่นเอง
ตอนต่อไปมาลุ้นกันดีกว่าค่ะว่าคุณมินยุนกิเนี่ยป่วยเป็นอะไรกันแน่..
แล้วทำไมคุณซอกจินต้องเล่นใหญ่เบอร์นั้นด้วยนา .. เอ๋ งงจัง
เรื่องนี้ฟลัฟฟี่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะคะ แล้วก็ได้รับแรงบันดาลใจจากซี่รี่ย์ซะส่วนใหญ่
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ♡
@DRANGEAX105
ความคิดเห็น