คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เรื่องนี้ต้องขยายของยัยลูกหว้า
วันซวย วันนี้เป็นวันซวยจริง คนอะไรมันจะดวงสะดุดกุดจุ๊ดจู๋แบบนี้นะลูกหว้าเอ้ย มีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกาหลีนึกว่าจะได้เป็นเนื้อคู่ กะว่าจะได้มีแฟนกะเค้าซะทีเห็นแต่ยัยแอมป์มีแฟนแล้วตัวเองโสดมาตั้งสิบเจ็ดปี อิจฉา แต่ที่ไหนได้ ฉันอุตส่าห์นั่งรำลึกภาษาเกาหลีที่พร่ำเรียนมาสองปีเพื่อทักทาย แต่นายนั่นกลับพูดไทยได้ แถมยังจะมาอยู่กับฉันตั้งเทอมนึงให้ตายเหอะ ใครจะไปทนไหว มีหวังกัดกันตายตั้งแต่ยังไม่ครบเทอม ให้เค้ามาอยู่ตั้งสามเดือนเชียวนะคุณครู ไม่ใช่สามวัน ถึงจะมีค่าใช้จ่ายให้ก็เหอะ
“อัน เยปอโย (ยัยขี้เหร่)” มันหลอนฉันอีกแล้ว มันด่าฉันด้วย ไอ้บ้าเอ้ยทำไมต้องอยากมาอยู่บ้านฉันด้วยฟะ พ่อฉันต้องไม่ให้นายนอนด้วยแน่ ฉันจะให้นายไปนอนเฝ้าหน้าบ้านกับไอ้แรมโบ้เลย (หมาพันบางแก้ว)
“กลับกันเหอะ” อองเจสบายกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินตามฉันมาที่ป้ายรถเมย์
“ซายางฮาแก่ดซึมนิดา ฉันขอปฏิเสธไม่ให้นายไปบ้านฉัน” บ้าแล้วครู คิดได้ไงให้เพื่อนร่วมชั้นชายไปพักค้างอ้างแรมบ้านนักเรียนหญิง
“งั้นเหรอ โอเค ฉันไปบอกครูละกันว่าเธอไม่ให้ฉันไป แต่ว่าเธออาจจะถูกตัดทุนการศึกษาเทอมหน้าก็ได้นะ” ไอ้บ้าออนเจเดินกลับไปทางห้องพักอาจารย์ มันกล้ามากที่เอาเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้มาต่อรองฉัน ฐานะทางบ้านระดับนี้ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอมเป็นแสนนะเฟ้ย
“เออ ฉันให้นายพักด้วยก็ได้” ฉันตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองค่ะ แต่อย่าคิดนะว่าจะไปอยู่บ้านฉันอย่างสุขสบายน่ะ นายโดนดีแน่
“คัมซาฮัมนิดา (ขอบคุณ)” ทำหน้าดีใจยังกับเด็กได้ของเล่นใหม่ อย่าเอาหน้าใสๆ ของนายมาทำลายความตั้งใจที่จะแกล้งนายนะ
“ฉันไม่มีรถ บ้านฉันก็เล็กแล้วก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้า เดินทางด้วยรถเมย์ทุกวันนะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเห็นหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของออนเจที่ต้องมายืนรอรถเมย์ข้างฉัน
“อืม” หึ ผิดหวังล่ะสิท่า อุตส่าห์ได้มาฝึกงานโรงเรียนคุณหนูอย่างนี้ต้องมาพักกับบัดดี้จนๆ อย่างฉันน่ะ
“ดีซะอีก ฉันไม่เคยลำบาก จะได้เรียนรู้ไง” โรคจิต มีแต่คนอยากสบายแต่นายอยากลำบาก ดี ได้ลำบากสมความปรารถนาแน่
“แต่ถ้าเธออยากสบาย เรากลับแท็กซี่ก็ได้นะ ฉันมีเงิน” อย่ามาอวดรวยกับฉันนะ เมื่อกี้ยังบอกอยู่หยกๆ ว่าอยากลำบาก
“ไม่ เก็บเงินของนายไว้ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศของนายไปเหอะ” เป็นหนุ่มเกาหลีที่พูดไทยชัดเวอร์
“ฉันชอบเมืองไทยนะ คนไทยเป็นคนดี ฉันชอบ” ชอบก็ชอบไปสิ โน้มหน้ามาใกล้ฉันทำไมเล่า อ๊ะ รถเมย์มาพอดีเลย เกือบไปแล้วรีบขึ้นรถดีกว่า (เกือบอะไรเหรอ:เดซี่)
“เฮ้ รอด้วยสิ” ออนเจวิ่งขึ้นรถตามฉันมา วันนี้คนเบียดกันเป็นปลากระป๋องเช่นเคย ด้วยความสูงเท่าหลักกิโลเมตรอย่างฉันจึงต้องหาเสายึดเหนี่ยว ฉันคว้าเสาพลาดกำลังจะล้มแต่ออนเจคว้าเอวฉันไว้ และดึงขึ้นมาแนบกับแผงอกกว้างของเขา หัวใจฉันเต้นแรงมาก ต้องเป็นเพราะเมื่อกี้วิ่งขึ้นรถเหนื่อยและมาเจอเรื่องตื่นเต้นแน่ๆ
“เกาะฉันไว้ดีกว่า” ออนเจพลิกตัวตัวฉันหันกลับมาหาเค้า กลิ่นโคโรญน์เบาบางผสมกลิ่นเหงื่อเล็กน้อยโชยขึ้นเตะจมูก ใจฉันเต้นแรงกว่าเดิมแต่ก็ยอมเอามือไปจับเสื้อเค้าไว้แต่โดยดี
“แบบนี้ดีกว่าปลอดภัย เดี๋ยวรถเบรกเธอล้มไปอีก” ออนเจเอามือข้างที่ไม่ได้โหนโอบกอดฉันไว้หลวมๆ
“อย่าทำแบบนี้นะปล่อย ที่เมืองไทยเค้าถือ” ฉันดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของออนเจ แต่ดิ้นไม่ได้มากเพราะด้านหลังเบียดอยู่กับคุณลุงพุงพลุ้ย
“อย่าดิ้นสิ เห็นมั้ยชนคนอื่นแล้วเนี่ย” แล้วอ้อมกอดของออนเจก็กระชับแน่นขึ้นจนตัวฉันแนบอยู่กับร่างกายกำยำของออนเจ มือฉันวางบนกล้ามท้องเค้า ซิกซ์แพ็คแมนมากแข็งแรงยังกับนักกีฬาแน่ะ
“เป็นไรรึเปล่า” เสียงกระซิบทุ้มต่ำข้างใบหูเล่นเอาสยิวขนลุกซู่ทันที จะเป็นก็ตอนนายถามนี่แหล่ะ
“ป่าว” ปากบอกป่าวแต่ปฏิกิริยาทางร่างกายมันไม่ป่าวด้วย เลือดฉันสูบฉีดรุนแรงมาก พระเจ้าคะท่านกำลังเล่นตลกอะไรกับลูกอยู่กันแน่เนี่ย
“ป้ายหน้าพันธ์ทิพย์ใครลงก้าวไวเลยก้าวไว” เสียงห้วนๆ ของเด็กรถ
“เตรียมลงได้แล้ว” ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตือนให้ออนเจเตรียมลง
“บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ” “ป่าว แต่พ่อฉันขายเสื้อผ้าอยู่นี่ ต้องข้ามถนนไปฝั่งนู้น” ฉันชี้ไปที่ประตูน้ำ เราเดินไปทางสะพานลอย ฉันเกลียดถนนเส้นนี้ ทั้งรถเยอะ รถก็ติดแต่ก็วิ่งกันเร็วชะมัด สะพานลอยก็อยู่โครตจะไกลป้ายรถเมย์เลย เดินจนลิ้นห้อยทุกครั้งที่มาช่วยพ่อเก็บแผง
“พ่อคะ” ฉันเรียกพ่อที่กำลังยกแผงขึ้นรถ “ยิ่งปวดหลังอยู่บอกกี่ทีแล้วว่าอย่ายกของหนัก มานี่หนูยกเอง” ฉันรีบแย่งเหล็กราวในมือพ่อมาถือไว้แล้วมองพ่ออย่างเอาเรื่อง
“พ่อไหวน่า เอ้อ แล้วนี่ใครล่ะ แฟนเหรอ” พ่อพยักหน้าไปทางออนเจ
“บ้าดิพ่อ ไม่ใช่ นี่นักเรียนแรกเปลี่ยน จะมาอาศัยเราอยู่เทอมนึง” ฉันยกเหล็กขึ้นรถกะบะเก่าๆ อายุเกือบยี่สิบปี วิ่งได้บ้างไม่ได้บ้างก็ซ่อมกันไป
“สวัสดีครับ ให้ผมช่วยนะครับ” ออนเจยกมือไหว้พ่อแล้วก็วางกระเป๋าเดินไปยกแผงตระแกรงวางผ้าที่เหลือขึ้นรถ พ่อยิ้มให้แล้วหิ้วกระเป๋าออนเจไปโยนใส่รถ
“ไปลูกไป แม่ทำกับข้าวรอแล้วป่านนี้” สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของบ้านฉันมั้ยล๊า มีพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า ถึงอยู่โรงเรียนฉันจะดูจน แต่อยู่ในตลาดนี้ร้านฉันขายดี มีแต่คนว่าบ้านฉันรวย ความรวยความจนมันวัดกันที่ตัวเงินเหรอ ไม่หรอก มันวัดกันที่ความรู้จักพอต่างหากล่ะ
จะดิ้นรนหาเงินไปทำไมเยอะแยะถ้าไม่มีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว บ้านฉันสิ พอมีพอกินไม่เดือดร้อน ทุกคนรู้หน้าที่ ตื่นเช้ามาฉันก็ทำความสะอาดบ้านหุงข้าว แม่ก็ลุกมาเตรียมทำกับข้าวแล้วก็จับเจ้าทโมนสองตัวน้องชายน้องสาวฝาแฝดอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็เป็นแม่บ้านที่ดี พ่อก็ช่วยแม่เลี้ยงน้องก่อนที่จะเตรียมจัดของออกมาขาย ฉันก็มาเรียน ตกเย็นถ้าไม่ติดกิจกรรมอะไรฉันก็รีบมาช่วยพ่อเก็บแผงเสื้อผ้า แม่ก็ทำกับข้าวเย็นรอเรา ฮ๊า มีความสุขจัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ” ความสุขของฉันกำลังจะหมดลงไปเพราะอีตาออนเจจอมยุ่งนี่แหล่ะ
“เรื่องของฉัน” หมดกันชีวิตอันสุขสันต์ ดูสิแม่ทำหน้าไม่พอใจฉันด้วย
“ทำไมพูดกับเพื่อนแบบนั้นล่ะลูกหว้า แม่ไม่ชอบเลย” หนูก็ไม่ชอบค่ะแม่ แต่ไม่ชอบอีตาออนเจนะ
“ฮึ่ย” ฉันเชิดหน้าใส่หมอนั่น แต่อีตาออนเจกลับหัวเราะชอบใจก่อนจะรีบประจบแม่ฉัน
“คุณแม่ยังสวยอยู่เลยนะครับเนี่ย ไม่บอกไม่เชื่อเลยว่ามีลูกสามคนแล้ว” ไอ้ขี้ประจบ ฉันล่ะเกลียดนายจริงๆ
“ไอ้หนุ่มนี่พูดจาเข้าท่า แม่ไอ้ลูกหว้าเค้าเคยเป็นถึงนางนพมาศเชียวนะเว้ย” พ่อคุยทับอีก มีใครสนใจฉันมั่งมะเนี่ย ไปเล่นกับลูกตาลกับต้นปาล์มน้องสาวน้องชายฉันดีกว่า
“จ๊ะเอ๋เจ้าพวกทโมน อย่าไปสนใจคนบ้าเลยนะ เค้าจะมาวุ่นวายบ้านเราแค่สามเดือนเองจ๊ะ” ฉันยื่นปลาตะเพียนไปหลอกให้น้องจับเล่น เด็กสองขวบนี่กำลังซน แม่คงวิ่งไล่จับทั้งวันเลยสินะ
“โห พูดอย่างนี้น้องเธอก็ไม่ชอบขี้หน้าฉันพอดี ว่าไงครับตัวเล็ก พี่มาดีนะ” ดูดิน้องฉันหัวเราะชอบใจใหญ่แล้ว โอ้ยอารมณ์เสีย ใครก็ชอบนายกันหมด
“ลูกหว้า ไปจัดที่นอนให้เพื่อนไป๊ เอาฉากกั้นห้องในห้องแม่กั้นห้องแกนั่นหล่ะ” ห๊า หูฝาดไปรึเปล่า แม่จะให้ฉันนอนร่วมห้องกับผู้ชายแปลกหน้า
“อะไรอ่ะแม่ จะหมอนี่นอนห้องเดียวกับหนูเหรอ โอ้ย ไม่เอาหรอก หนูเป็นผู้หญิงนะ” ฉันทำท่าจะเดินหนีขึ้นห้องแล้วล็อคห้องตัวเองซะแต่แม่เรียกไว้
“หยุดตรงนั้นเลย บ้านเราก็แคบแค่นี้ ห้องพ่อกับแม่ก็แบ่งเป็นห้องน้องแล้ว ห้องแกก็ตั้งกว้างกั้นแบ่งที่ให้เพื่อนนอนจะเป็นไรไปเล่า ทำกลัวไปได้ ออนเจไม่ทำอะไรแกหรอกน่า เพราะแกน่ะไม่เหมือนผู้หญิงซักกะนิ๊ดนึง” เป็นไงล่ะแม่ฉัน ใช้ศัพท์วัยสะรุ่นกับลูกสาวซะด้วย ดูตรงไหนที่ฉันไม่เหมือนผู้หญิง ฉันออกจะน่ารักน่าชังยังกับสาวเกาหลี ถึงแม้ฉันจะดั้งหัก แต่ก็ผิวขาวดูดี ถึงฉันจะหน้าอกไข่ดาว แต่ก็เสริมสิริโคนจนบะละเฮิ่ม (แอบจิ๊กจากร้านพ่อมา)ถึงฉันจะกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลก แต่ฉันก็แบ๊วนะจะบอกให้ แม่นะแม่
“แม่อ๊ะ” ฉันสะบัดสะบิ้งดิ้นไปมาเหมือนเด็กงอแงเวลาอยากได้ของเล่น
“จะจัดที่นอนให้เพื่อนดีๆ หรือจะให้แม่ยกเลิกแพ็คเกจทัวร์เกาหลีของแก” ห๊า แพ็คเกจทัวร์เกาหลีสองวันหนึ่งคืนของฉันถ้าสอบได้ที่หนึ่ง โอ้ว ไม่นะม่ายยยย ทัวร์ที่จะไปหาแฟนเป็นหนุ่มเกาหลีของฉัน อ๊ากส์ อยากจะบ้าตาย
“โอ้ย ก็ได้ค่ะ” ฉันเดินลงน้ำหนักที่เท้าจนบันไดไม้ขึ้นชั้นสองลั่นเอี๊ยดอ๊าด
“เบาๆ หน่อยลูกหว้า เดี๋ยวบันไดหักแม่จะตัดค่าขนมแกด้วย” แม่เท้าสะเอวด่าไล่หลังมา นายออนเจกำลังขำฉัน เออ ขำไปเหอะ ฉันจะจัดการแกล้งใช้งานนายให้แซ่บไปเลย
“เราต้องมาทำข้อตกลงก่อนจะนอนด้วยกัน” อ๊ะ ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ทำไมออนเจมองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“คืนนี้เธอจะนอนกับฉันเหรอ” เฮ้ย ยิ่งพูดยิ่งน่าคิด
“นายคิดอะไรน่ะไอ้บ้า ฉันหมายถึงนอนในห้องเดียวกันกับฉัน” ทีหลังเวลาคุยกับนายต้องพูดยาวๆ พูดสั้นแล้วมันคิดนอกกรอบที่วางไว้
“ว่ามาดิ” มาทำหน้าตาน่ารักใส่ฉันอีก ก็พอรู้หรอกนะว่าหนุ่มเกาหลีอ่ะน่าใสน่าสัมผัส แต่พอเจอใกล้ๆ แล้วมัน อ๊าย หล่อมากเลยอ่ะ
“ฮู่ว์ มาช่วยฉันยกที่กั้นห้องก่อนละกัน ค่อยมาตกลงกันอีกทีว่านายมีหน้าที่อะไรมั่ง มาอยู่บ้านฉันจะมานั่งงอมืองอเท้าเอาสบายเข้าว่าไม่ได้หรอกนะ ต้องช่วยกันทำงาน รู้จักมั้ยทำงานน่ะ” ฉันถอนหายใจพรืดแล้วก็บ่นๆๆ อยู่คนเดียว เพราะอีตานั่นเดินไปห้องแม่ฉันแล้ว เออดี ปล่อยฉันพูดกับยุงในห้องอยู่ได้
“วางตรงไหนล่ะ” ชั้นหนักๆ แต่อีตาออนเจยกเหมือนมันเบามาก
“ตรงนั้นน่ะ” ฉันชี้ไปที่เศษหนึ่งส่วนสี่ของห้อง” นายออนเจมองหน้าฉันแล้วทำคิ้วผูกโบว์
“ทำไม ไม่พอใจรึไง ไม่พอใจก็ไปนอนหน้าบ้านกับเจ้าแรมโบ้ไป” ฉันเท้าสะเอวพูด บ่นมาก เมื่อย
“ป่าวจ้า ป่าว ตรงนี้ก็ตรงนี้” ออนเจวางที่กั้นห้องลงแล้วกางออก ถึงมันจะสูงท่วมหัวมองไม่เห็นอีกฝั่ง แต่ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดีที่ต้องนอนห้องเดียวกันกับผู้ชาย (แถมหล่อมากด้วย)
“ข้อแรกเวลาอาบน้ำนายต้องแต่งตัวในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นมา เพราะฉันไม่ชินถ้ามีผู้ชายเดินแก้ผ้าในบ้านแม้จะใส่ผ้าขนหนูห่อตัวก็เหอะ ข้อที่สองนายต้องตื่นตีห้าพร้อมฉัน ลงไปทำงานบ้าน ข้อสามเวลาไปเรียนไม่ต้องแสดงตัวว่ามาพร้อมฉัน แล้วก็อยู่ให้ห่างๆ ฉันเอาไว้ หยุด อย่าพึ่งขัด ฉันยังพูดไม่จบ ข้อที่สี่ หลังเลิกเรียนต้องไปช่วยพ่อเก็บแผง แล้วกลับมาช่วยทำความสะอาดบ้านตอนเย็น เป็นค่าข้าวค่าน้ำที่นี่ เข้าใจมั้ย อ้อ เมื่อกี้มีไรจะพูดก็ว่ามา” ฉันหายใจหอบเพราะพูดยาวเกินหายใจไม่ทัน
“ไม่มีไรหรอก ฉันแค่กลัวเธอขาดอากาศหายใจน่ะ พูดซะเยอะเลย” จะว่าฉันพูดมากใช่มั้ย ไม่เป็นไร ฉันไม่เจ็บ
“อ้อ แล้วถ้าทนไม่ไหววันไหน บอกฉันนะ เดี๋ยวฉันจะบอกอาจารย์ว่านายจะขอย้ายไปพักบ้านยัยแมงปอ” เห็นยัยนั่นก็อยากได้ออนเจไปอยู่บ้านจนตัวสั่น
“นี่ลูกหว้าฉันถามอะไรเธอหน่อยสิ” เดินเข้ามาใกล้ฉันอีกแล้ว อย่าอยู่ใกล้ฉันเพราะฉันใจสั่น เดี๋ยวห้ามใจตัวเองไม่ได้หน้ามืดปล้ำนายไปจะยุ่ง
“อะไรก็ว่ามาสิ แล้วหยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามเข้าใกล้ฉันเกินรัศมีหนึ่งเมตร” ออนเจหน้าจ๋อย
“ก็เวลาไปเรียนเธอไม่ให้ฉันอยู่ใกล้ๆ เธอ แต่เรานั่งโต๊ะติดกันนะ แล้วฉันก็ไม่มีหนังสือด้วย” อย่าทำตาแบ๊วใส่ฉัน ฉันยังไม่ชินที่เห็นจางฮยอนซึง มายืนอยู่ตรงหน้า อย่ามาหล่อคล้ายนักร้องที่ฉันคลั่งไคร้นะ คนอาร๊าย หล่อเกินพอดี หล่อเวอร์ยังกับหลุดมาจากนิตยสารที่ยัยแมงปอชอบซื้อมาอ่าน
“งั้นเวลาอยู่ในห้องเรียนยกเว้นก็ได้ ไปจัดที่นอนของนายได้แล้ว ฉันขี้เกียจจะคุยด้วย” ไม่ใช่อะไรหรอก เดี๋ยวจะใจอ่อนให้กับหน้าตาน่ารักนั่นอีก คิดแล้วโมโหตัวเอง นายนั่นต้องหัวเราะเยาะเธอแน่ยัยลูกหว้าเอ๋ย ถ้าเธอดันไปหลงรักเค้าเข้าน่ะ
“ลูกหว้า ฉันร้อนอ่ะ” อาบน้ำเสร็จก็รีบๆ นอนไปเซ่ เรื่องมากอยู่ได้
“ก็เปิดหน้าต่างบนหัวนายซะสิ ลมจะได้เข้ามา บ้านฉันมีมุ้งลวดไม่ต้องกลัวยุงเข้า” ฉันสาระวนกับการใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนผมที่พึ่งสระ ฮ้า เย็นชื่นใจพัดลมรุ่นแอคเคาท์ยี่สิบนิ้วนี่เย็นชื่นใจดีจัง คิดแล้วก็สงสารอีตานั่นเหมือนกันนะ นอนบนพื้นปูที่นอนปิกนิคบางๆ คงปวดหลังน่าดู เอาเหอะ ถือซะว่าเป็นรสชาติชีวิต แต่ไอ้ครั้นจะให้มานอนบนเตียงนุ่มๆ กับฉันมันก็ส่อจะติดเรทเกิ๊น แล้วไอ้ที่นิยายสมัยนี้ชอบเขียนว่าให้พระเอกนอนที่นอน นางเอกนอนพื้นเนี่ยใช้ไม่ได้กับยัยลูกหว้าหรอกย่ะ เพราะงั้นนอนไปเลย อย่าเรื่องมาก
“ลูกหว้า พัดลมพังอ่ะ” เสียงแครดๆ แล้วก็ดับไปของพัดลมทำให้อีตาออนเจเรียกฉันอีกครั้ง คืนนี้จะได้นอนมั้ย ฉันเปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วมองเวลาก็เกือบเที่ยงคืน สิ้นคืนนี้ ก็เป็นเวลาของวันใหม่
“โอ้ย มันจะมาพังอะไรตอนนี้เนี่ย ฮึ่ม” พัดลมเก่าคร่ำครึไร้ยี่ห้อขนาดสิบสองนิ้วหยุดทำงานไปในบัดดล มันเคยเป็นสมบัติของฉันก่อนที่จะได้เจ้าแอคเคาท์มาไว้ในครอบครอง แต่ไม่ได้ใช้งานมาปีกว่าแระ พัดมาได้ตั้งครึ่งค่อนคืน จะมาใจเสาะตายอะไรตอนนี้ฟะ
“อย่าไปเคาะมันเลย 죽은 (มันตายแล้ว)” เฮอะ คำนี้ฉันจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าอ่านว่าอะไร ใครรู้ช่วยบอกที มันคงแปลว่าตายล่ะมั้ง
“ทำไงดีล่ะ อากาศบ้านเธอร้อนมากเลย” ก็แหงแหล่ะย่ะ บ้านฉันไม่มีห้องแอร์ไว้รับรองแขกนี่
“ทำไมอาจารย์ไม่ให้นายไปอยู่บ้านยัยแมงปอนะ น่ารำคาญชิบ” ฉันบ่นไปมองไปที่พัดลมของตัวเองไป
“ก็ฉันอยากมาอยู่กับเธอนี่นา อยู่กับเธอแล้วสนุกดี” ฉันไม่ใช่สวนสนุกนะเฟ้ย จะมาสนุกเวลาอยู่กับฉันทำม๊าย เดี๋ยวก็เก็บค่าผ่านประตูซะหรอก
“เอางี้ ลากที่นอนนายมานอนข้างเตียงฉันก็ได้” เพื่อมนุษยธรรมของเพื่อนร่วมโลก จงอย่าได้คิดเป็นอื่นนะยะ ฉันไม่ได้อยากจะใกล้ชิดนายแม้แต่นิดเดียว แต่สงสารที่เห็นเหงื่อเต็มหน้านายต่างหาก
“ขอฉันออกไปล้างหน้าก่อนนะ ร้อนมากเลย” ออนเจฉวยผ้าเช็ดตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ฉันแบ่งให้ใช้ครึ่งนึงพาดบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำ
“รีบไปรีบมาล่ะ ฉันง่วง” ฉันพูดพลางคลานขึ้นเตียงของตัวเอง ดีนะวันนี้ฉันเลือกใส่เสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กับกางเกงขาสามส่วนที่ฉันใส่แล้วกลายเป็นสี่ส่วน ดูมิดชิดดี ปกติฉันจะใส่เจเจลายดอกกับเสื้อแขนกุดตัวหลวมสวมสบาย ขืนใส่แบบนั้นให้อีตานี่เห็นมีหวังตานี่คงหื่นใส่ฉันแน่ ถ้าไม่อยากถูกทำมิดีมิร้ายก็ต้องแต่งตัวให้มิดชิดนะจ๊ะทุกคน
“ขอโทษทีที่ช้า พอดีจัดการเสื้อที่เปียกอยู่น่ะ” ออนเจเปลือยท่อนบนกลับมาพร้อมโชว์กล้ามท้องแน่นหนัด ไหล่กว้างมัดกล้ามที่แขนดูแข็งแรง อร๊ายยย กำเดาจะไหล เอิ่ม แบบว่าอึ้งอยู่
“ฉันไปหยิบเสื้อก่อนนะ แป๊บเดียว” อยากจะบอกว่าอย่าพึ่งไปกำลังมองเพลินอยู่ อุ้ยไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ จะด่ามัน อีตาบ้าทำผิดข้อตกลง
“นายทำผิดข้อตกลง นายต้องถูกปรับเป็นเงิน” ฉันพูดไปหายใจหอบถี่ไป แค่เห็นเรือนร่างกำยำล่ำบึกของเค้าแค่นี้ก็ใจสั่นเหนื่อยยังกับวิ่งสี่ร้อยเมตรมางั้นแหล่ะ
“ไม่เอาดิ อยู่เหนือการควบคุมนะ ก็เสื้อมันเปียกพอดีอ่ะ” ออนเจสวมเสื้อยืดสีขาวบางๆ เดินมายืนอยู่ปลายเตียง หลบไปนะ ยืนบังพัดลม
“ไม่รู้แหล่ะ ครั้งนี้ยกให้ ถ้ามีครั้งต่อไปฉันปรับครั้งละสองร้อย ถ้าไม่ยอมจ่ายฉันจะไปบอกทุกคนที่โรงเรียนว่านายมันพวกโรคจิต หื่น ลามก แอบดูฉันอาบน้ำ ลวนลาม” ออนเจยกมือขึ้นมาห้ามฉันเหมือนในมิวสิควีดีโอเพลง stop ของวง เอสคลาสเลยอ่ะ
“โอเค ฉันยอมแพ้” ออนเจส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตัวเอง ดีมาก คนสวยใจดีอุตส่าห์แบ่งปันสายลมเย็นฉ่ำให้ นายควรสำนึกบุญคุณฉันไว้ซะนะ นายออนเจ
“ตีห้าแล้วนะ ลูกหว้า เราต้องทำงานบ้านไม่ใช่เหรอ” มันต้องเป็นความฝัน เสียงผู้ชายทุ้มนุ่มน่าฟังมาดังอยู่ข้างหูในห้องสาวโสดได้ไง
“ตื่นเหอะ เดี๋ยวทำงานบ้านไม่ทันนะ” มีเขย่าตัวด้วยเหรอ ไม่ใช่ความฝันแฮะ
“ห๊ะ ออนเจ ย๊าก นายตายแน่ นายมาโดนตัวฉัน นายผิดกติกา” ว่าแล้วฉันก็เอาหมอนข้างฟาดไปที่ออนเจไม่ยั้ง
“ก็เธอไม่ยอมตื่นนี่นา ให้ฉันทำไงล่ะ” นายจะมาโบ้ยให้ฉันไม่ยอมรับความผิดไม่ได้นะ ฉันหยุดฟาดหมอนแล้วแบมือไปตรงหน้าออนเจ
“จ่ายมาสองร้อย” ออนเจหน้าเหวอ
“อะไรอ่ะ” “เร็วๆ จ่ายมาสองร้อย รึจะให้ฉันไปบอกเพื่อนๆ ว่านายจะปล้ำฉันล่ะ ว่าไง” ฉันยืนบนเตียงเลยสูงกว่าออนเจ
“ก็ได้” ฮ่าๆ สะใจได้ตังค์ใช้ด้วย ผิดกฎบ่อยๆ ฉันรวยพอดีอิอิ เป็นพ็อคเกจมันนี่สำหรับเดินทางเที่ยวเกาหลีก็แล้วกันนะ อิอิ
เจรจาธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยเราก็ล้างหน้าแปรงฟันลงมาทำงานบ้าน ฉันเริ่มจากให้ออนเจกวาดบ้านถูบ้าน ส่วนฉันนั่งดูมิวสิควีดีโอของบีทูบีสลับกับคอนเสิร์ตบล็อคบี
“เสร็จแล้วทำไรต่ออ่ะ” อยากจะใช้หุงข้าวเหมือนกันแต่กลัวกินไม่ได้ ให้ไปอาบน้ำเจ้าแรมโบ้ดีกว่า
“เปิดไฟหน้าบ้านอ่ะ แล้วอาบน้ำเจ้าแรมโบว์ให้ด้วยเดี๋ยวฉันจะไปหุงข้าว” ช่างเป็นการแบ่งการทำงานที่ยุติธรรม คุณว่ามะ
“มันจะกัดมั้ยอ่ะ” ออนเจทำท่ากลัว ยังน่ารักได้อีก
“นายก็กัดมัน ก่อนที่มันจะกัดนายสิ” ฉันเดินหนีเข้าครัว โธ่ ไอ้ตัวน่ารำคาญ ยังจะตามมาอีก
“ตามมาไมเนี่ย” ฉันหันกลับมาตวาดใส่
“ฉันกลัวหมาอ่ะ เธอไปแนะนำฉันให้มันรู้จักก่อนดิ มันจะได้ไม่กัดฉันอ่ะ” คิดได้เนอะ แนะนำตัวกับเจ้าสี่ขาหน้าขนเนี่ยนะ ฉันต้องแจกนามบัตรให้มันด้วยเลยมั้ยเล่า
“นายนี่ ทุกเรื่องเลยให้ตายสิ” ฉันเดินชนไหล่ออนเจผ่านประตูไปหาเจ้าแรมโบ้
“แรมโบ้ เจ้าแรมโบ้ มานี่มา พี่พาคนมาให้กัด” “เฮ้ย แนะนำดีๆ ดิ เกิดมันกัดฉันขึ้นมาจริงๆ เธอต้องรับเลี้ยงฉันตลอดชีวิตนะจะบอกให้” ดีจริง เลี้ยงไปตลอดชีวิตมีหวังฉันคงจนตาย
“เอ้า รู้จักกันแล้วทีนี้ก็อาบน้ำให้มันซะสิ นี่สายยาง เปิดน้ำตรงนี้ ว๊ายๆ” สายน้ำพุ่งแรงใส่หน้าฉันสะบัดสายยางจนเปียกไปทั้งตัว แค่สาธิตเปิดปิดก๊อกให้ดูไม่คิดว่าน้ำจะแรงมาก
“โอ้ย เปียกหมดแล้ว เอ้า เอาไป” ฉันยื่นสายยางกับน้ำยาอาบน้ำสุนัขให้ออนเจ
“เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหอะ” ทำไม นายเป็นใครมิทราบมาสั่งฉัน แล้วทำไมต้องหน้าแดง
“ทำหน้าที่ของนายไปเหอะน่า ยุ่งกับฉันจริง” ฉันเดินเข้าตัวบ้านผ่านกระจกแล้วก็เกือบกรี๊ดลั่นบ้าน เพราะว่าเสื้อยืดสีขาวของฉันมัน เอ่อมัน มั๊น มันเห็นจ๊ะเท่งจ๊ะด้านในใสแจ๋วเลยอ่ะดิ มองเห็นเสื้อใสลายสตรอเบอรี่สีชมพูชัดเจนเปลี่ยน อ๊าย ไอ้บ้าออนเจ เห็นหมดเลย ฉันรีบเดินเร็วขึ้นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า โมโหโว้ย นายออนเจ นายเจอดีแน่
ชีวิตฉันกับออนเจเปรียบดั่งเส้นขนาน คือเจอหน้ากันตลอดแต่ห่างกันหนึ่งเมตร ฉันหน้าบึ้งใส่อีตานั่นเพราะอาย ใช่เพราะอับอายขายขี้หน้าแต่เช้าเลย แล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเลยเอาไว้บนหัวเหมือนเดิม เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยให้ชายใดแลเห็น นายเป็นใคร แล้วนายเป็นคร๊ายยย ถึงได้เห็นหน่มน๊มของฉันน่ะ
“ลูกหว้า โกรธฉันเหรอ” “..” เงียบ ฉันไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้น ฉันทำขนาดนี้ดูไม่ออกรึไงว่าโกรธ ก็โกรธนายอะเด้
“ฉันไปทำอะไรให้อ่ะ” “…” เงียบอีกรอบ นายไม่ได้ทำอะไรหรอก ฉันทำเอง น้ำฉันก็เปิดเอง เสื้อสีขาวฉันก็เป็นคนเลือกมาใส่นอน ก็ตอนนอนไม่ได้คิดจะไปเดินเล่นสงกรานต์แถวถนนข้าวสารนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าจะเปียก เสื้อสีขาวเปียกน้ำก็เห็นหมดเลย ไม่เชื่อลองไปเดินดูสก๊อยเกิร์ลเล่นสงกรานต์ที่ข้าวสารดิ เห็นหน่มน๊มชัดเจนเลยแหล่ะ วันดีคืนดีมีโชว์วาบหวิวอีก
“ต้องทำยังไงเธอจึงจะยอมหายโกรธ ต้องทำยังไงเธอจึงจะยกโทษให้ฉัน อย่าทรมานโดยการไม่มองหน้ากัน นึกว่าสงสาร คนรักกัน ฉันขอโทษ” เก่าได้ใจมาก เพลงของเอบีนอมอล นักเรียนต่างห้องและต่างระดับชั้นมองเราเป็นตาเดียว คงนึกแปลกใจที่เห็นยัยผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้าเป็นเด็กเกาหลี มีเด็กผู้ชายเกาหลีเต็มตัวหัวทองมายืนร้องเพลงราวกับทำมิวสิควีดีโออยู่กลางทางเดิน แถมเรายังห่างกันหนึ่งเมตรพอดีเดะไม่ว่าจะก้าวไปข้างหน้าซักกี่ก้าวระยะห่างระหว่างเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่อายเค้ารึไงเนี่ย” ฉันหยุดแล้วหันไปถามออนเจ
“เย้ๆ เธอยอมพูดกับฉันแล้ว รู้ป่าว เวลาเธอโกรธฉัน ฉันรู้สึกใจไม่ดีเลยอ่ะ” กรุณารักษาระยะห่างไม่ใช่มากระโดดโลดเต้นดีออกดีใจจับมือฉันเขย่าไปมาแบบนี้
“นายล้ำเส้น จ่ายมาสองร้อย” วันนี้รวมรายได้ สี่ร้อยบาทถ้วน กว่าจะหมดวันฉันคำนวณรายได้ที่จะรับล่วงหน้าไว้ซักพันนึงละกัน
“เคี่ยวอ่ะ” ออนเจจ๋อยเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันไม่รู้ ควักแบงค์ร้อยสองใบส่งให้ฉัน ฮี่ฮี่ รวยเละ ดีใจจังมีถังเงินถังทองแหล่งใหม่แล้ว กับยัยแอมแปร์อ่ะเกาะไว้หาของกินกับของใช้ได้อยู่ แต่ฉันไม่ได้หลอกกินของเพื่อนนะ เพื่อนเต็มใจเลี้ยงเองอ่ะ
“ไม่เข็ดใช่มั้ย บอกให้รักษาระยะห่าง” ฉันหันไปดุออนเจที่เดินเข้ามาชิดฉัน
“ก็นี่ในห้องเรียนน๊า เธอบอกว่ายกเว้นในห้องเรียน อ๊ะๆ จำไม่ได้ใช่มั้ย ฉันอัดเสียงไว้ด้วยแหล่ะ” ทำท่าหยิบมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดออกมา
“ไม่ต้องๆ ฉันจำได้” ฉันเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ออนเจก็นั่งที่เก้าอี้ตัวเองแต่เลื่อนเก้าอี้มาชิดกับเก้าอี้ฉัน
“จะมาใกล้ทำไมเนี่ย” “ก็เธอมีหนังสืออ่ะ” ตอแหลแล้ว ยังไม่ถึงชั่วโมงเรียนเลย
“เขยิบไป รออาจารย์สอนแล้วค่อยเลื่อนเข้ามา” ฉันหัวเสียหันไปหายัยแอมป์ก็กำลังคุยโทรศัพท์กับหนุ่มน้อยนักร้องนำวง Zsood มันคุยกับแฟนหรือคุยกับอริฟะนั่น มีวะ มีเฮ้ยด้วย ส่วนยัยซ่าหลี ขานั้นนั่งน้ำลายย้อยใส่ภาพในนิตยสารวัยรุ่น ก็หน้าปกเป็นคุณพี่โยขานี่นา เป็นเอามากนะแกเนี่ย
“นี่ดูนี่สิ ใต้โต๊ะฉันมีขนมกับของขวัญเต็มไปหมดเลย” บอกทำไมมิทราบ
“บอกไม ฉันไม่ได้อยากรู้” แต่สองตามันมองไม่กระพริบเอง มันอยู่ในส่วนของต่อมความอยากรู้อยากเห็นซึ่งควบคุมไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
“มีการ์ดสวยๆ ด้วยแหล่ะ ออนเจคะ ซารางเฮโย น่ารักดี ลูกหว้าดูนี่ดิ มีรูปด้วย” ออนเจยัดเยียดการ์ดสีสวยลายหัวใจใส่มือฉัน ก็งั้นๆ แหล่ะ น่ารักไม่ได้ครึ่งของฉันซักนิด ฉันเบ้ปากใส่
“ฉันน่ารักกว่าตั้งเยอะ” ออนเจมองสบตาฉัน แล้วเราก็ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน รู้สึกเสียวซ่านหัวใจ
“สำหรับฉันเธอน่ารักที่สุดเสมอลูกหว้า” ถือเป็นคำชมรึเปล่าเนี่ย แต่ฉันใจเต้นแรงด้วยหล่ะ บ้าไปแล้ว
“อาจารย์มา” เสียงนักเรียนชายดังขึ้น พวกผู้หญิงที่จับกลุ่มคุยกันแตกฮือแยกย้ายกันไปหาที่นั่ง
“กินป่ะ” ช็อคโกแลตหลายชนิดในถุงผ้ายื่นมาตรงหน้าฉัน น้ำยายไหย เอื๊อก น่ากิน
“ไม่ ผู้หญิงเค้าให้นาย ไม่ได้ให้ฉัน” เสียงนักเรียนเคารพของหัวหน้าห้องดังขึ้น พวกเรายืนขึ้นสวัสดีค่ะคุณครู แล้วก็นั่งลงตามเดิม
“อาจารย์เห็นนายโดนทำโทษแน่” ฉันหันไปเจอออนเจแอบกินสาหร่ายเถ้าแก่เนี้ยะรสเป็ดปักกิ่งพ่นไฟ น่ากินอ่ะ ญี่ห้อนี้ฉันก็ชอบกิน แอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“เอาเปล่า” เขายื่นซองสาหร่ายมาตรงหน้า เอาก็ได้ นี่ฉันไม่ได้ตะกละนะ แค่รักษามารยาท คนเค้าอุตส่าห์ชวน
“อร่อยเหมือนเดิม” ในขณะที่สาหร่ายคาปาก อาจารย์จอมโหดก็มายืนอยู่ตรงหน้า ฉันขอคัดค้านให้อาจารย์ฝ่ายปกครองไม่มีสิทธิ์มาสอนนักเรียน เพราะว่าท่านจะชอบถือไม้เรียวมาด้วย หยึย อาจารย์เอาไม้เรียวฟาดโต๊ะด้วย
“นนลนี รู้ใช่มั้ยว่ามีกฎห้ามกินขนมในห้องเรียน” ฉันวางสาหร่ายที่กัดไปแล้วครึ่งนึงใส่ซองกดปิดซิปยัดไว้ใต้โต๊ะ
“รู้ค่ะ” ฉันยืนขึ้นก้มหน้าก้มตา
“รู้แล้วทำไมยังกินขนมอีก ห๊า” น่ากลัวเมิ๊ก
“หนูขอโทษค่ะ” “ครูจะหักคะแนนจิตพิสัยเธอห้าคะแนน” โอ้ไม่นะ ตั้งห้าคะแนนมันอาจทำให้ฉันไม่ได้เกรดสี่เลยนะเนี่ย ฉันอาจโดนตัดจากการเป็นนักเรียนทุนแล้วระเห็จออกไปเรียนโรงเรียนวัด ม๊าย
“อาจารย์ขา ทำโทษหนูอย่างอื่นเถอะนะคะได้โปรด คะแนนมีความสำคัญกับชีวิตหนูมาก” ฉันวิงวอนอาจารย์
“ได้ งั้นเธอเก็บขยะรอบศูนย์อาหารหนึ่งสัปดาห์ โอเคมะ” อาจารย์วัยเลยเลขสี่ถามด้วยคำถามวัยรุ่น สมัยนี้อาจารย์สอนเด็กวัยรุ่นต้องตามให้ทันแบบนี้แหล่ะ
“โอเคค่ะอาจารย์” ฉันถลึงตาใส่อีตาออนเจ อีตาหัวทองนั่นก็กินเหมือนกัน ทำไมฉันต้องโดนคนเดียวเนี่ย
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะเพื่อน” ซ่าหลีหันมาบอก
“ฉันไม่ถูกกับขยะน่ะ คงไปช่วยเธอเก็บไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวมือเปื้อนอ่ะ” ขอบใจยัยแอมป์ที่ทำให้ฉันรู้ซึ้งว่าพวกเราเป็นเพื่อนกิน ไม่ใช่เพื่อนตาย โด่ แค่เก็บขยะเองทำได้สบายมาก แต่คำถามก็คือ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยแหกกฎเลยซักครั้ง แล้วอีตาออนเจมาแค่สองวัน ฉันก็ถูกทำโทษ มันน่าฆ่าทิ้งมั้ยนี่
“อืม ฉันเข้าใจ” ฉันหันมามองหน้าออนเจ อีตานั่นยิ้มน่ารักให้เหมือนทุกที คงไม่รู้ตัวมั้งว่ากำลังจะตาย เอาอะไรฆ่ามันดีนะ เข็มหมุด ปักให้พรุนทั่วตัวจะได้เลือดออกหมดตัวตาย เอาขนมกับช็อคโกแลตยัดปากให้จุกหลอดลมตาย หรือจะส่งกระแสจิตแช่งให้เกิดอุบัติเหตุตายดี
“มองฉันมากระวังชอบฉันนะ”
“ไปเอาทฤษฎีไหนมาพูดยะ” แต่มันคงไม่น่าเชื่อถือ คนอะไรมองหน้ามากแล้วจะชอบกันน่ะ ฉันก็ยังไม่ชอบขี้หน้านายอยู่ดี แม้จะรู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้ สนุกที่ได้ทะเลาะกัน ตื่นเต้นที่ได้สัมผัสกัน แต่ก็ไม่ได้ชอบหรอกนะ
“ก็ทฤษฎีที่ฉันเจอเธอไง แค่ฉันมองเธอมากๆ ฉันก็ชอบเธอแล้วเนี่ย” เป็นการสารภาพรักรึ?
“พอเหอะ” ฉันหันหน้าหนีด้วยความขวยเขิน คนอาร๊าย บอกชอบเป็นเรื่องธรรมชาติ
เก็บขยะนะไม่ใช่แสดงกายกรรม จะมามุงดูกันทำม๊าย มันผิดปกติมากมายเลยหรือไงยะ คนอื่นคงยอมให้อาจารย์ตัดคะแนนจิตพิสัยแต่โดยดีมั้งเลยไม่มีใครเคยถูกให้มาเก็บขยะเหมือนฉัน พวกที่เดินมากินข้าวที่ศูนย์อาหารก็มองอยู่ได้ อายเป็นนะเฟ้ย เพื่อผลการเรียน เพื่อทุนการศึกษา ท่องไว้ยัยลูกหว้า ท่องไว้
“หิวมั้ย ฉันซื้อข้าวมาให้” อาหารสามสี่กล่องกับน้ำอัดลมแก้วใหญ่สองแก้วถูกวางไว้ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ห่างฉันไปไม่กี่ก้าว
“หิวจนจะกินนายได้ทั้งตัวเลย” ฉันพูดไม่ได้คิดอีกแล้ว ออนเจหน้าแดงแจ๋เลย มันต้องคิดอะไรลามกอีกแล้วแน่ๆ
“ฉันน่ากินขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ถ้าเป็นเธอฉันก็ยอมนะ แต่ขอให้เป็นที่ห้องละกัน ตรงนี้คนเยอะไป” ว่าแล้วไง เอาแล้วไง คิดแต่เรื่องบนเตียงตลอด
“ไม่ได้หมายความแบบนั้นย่ะ ฉันเปรียบเทียบเฉยๆ เดี๋ยวไปล้างมือก่อน” ฉันเดินไปเปิดก๊อกน้ำตรงอ่างล้างมือหน้าศูนย์อาหารเสร็จก็เดินมานั่งตรงข้ามออนเจ
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบกินอะไรเลยถามเพื่อนเธอ แต่เพื่อนเธอบอกว่าเธอชอบทุกอย่างที่เป็นของฟรี ฉันเลยซื้อรวมกันมาหลายอย่างเลย” ดีมากยัยเพื่อนรักทั้งสอง ฉันรักแกเหลือเกิ๊น จะพูดให้เพื่อนดูดีหน่อยก็ไม่ได้
“ขอบใจ” ฉันเน้นเสียงหนักหน่วงแล้วหยิบกล่องแรกขึ้นมาเปิด ว้าว สเต็กปลาแซลมอนแสนอร่อย น่ากินจัง
“เอานี่ไปด้วยดิ กินคู่กัน” ออนเจเปิดกล่องสลัดทูน่ายื่นให้ฉัน ของฟรีแสนอร่อยมือนี้ดีจังเลย นายก็เป็นคนดีเหมือนกันนะออนเจ (ทุกคนที่เลี้ยงข้าว ซื้อของให้ และให้ตังค์ฉันใช้ ทุกคน เป็นคนดี อิอิ)
“อันนั้นอะไรอ่ะ” ฉันมองกล่องของออนเจ มันเป็นเหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ราดด้วยซอสสีเหมือนน้ำสลัด แล้วก็มีผักต่างประเทศที่ฉันไม่รู้จักอีกสองสามอย่าง แล้วก็กุ้งสดวางสี่ตัวถ้วน
“เป็นอาหารแปลงมาจากอาหารอิตาเลี่ยนมั้ง เห็นว่าใช้เส้นใหญ่แทนอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ” จะเป็นมั้ยถ้าฉันจะนั่งตรงนี้ ใกล้ๆ เธอ แล้วก็เอาซ่อมไปจิ้มมาชิม อิอิ
“แหว่ะ ไม่เห็นอร่อยเลย” อาหารอิตาเลี่ยนนี่เลี่ยนสมชื่อจริงๆ
“ไม่อร่อยเท่ากับข้าวฝีมือแม่เธอเลยอ่ะ” ของมันแน่อยู่แล้วย่ะ แม่ฉันทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลก
ฉันใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายมาอาทิตย์กว่า หัวใจดวงน้อยๆ ก็เริ่มสั่นคลอน ก็นายออนเจน่ะสิ จ่ายค่าปรับให้แม้จะไม่ได้ล่วงละเมิดกฎ บอกว่าอยากให้กระปุกออมสินฉันเต็มก่อนปิดเทอม พอปิดเทอมแล้วจะได้บินไปเที่ยวพร้อมเค้ากลับเกาหลีด้วยเลย
“นายไม่เบื่อมั่งรึไงเกาะติดฉันแจแบบนี้” ฉันหันไปถามออนเจที่ตอนนี้อยู่แต่กับฉัน ยัยแอมป์กับยัยซ่าหลีก็หนีไปไหนตลอด เปิดช่องให้อีตาบ้านี่ได้อยู่กับฉันตามลำพัง ยัยสองคนนั้นชอบบอกว่า เนื้อคู่มาอยู่ตรงหน้า ไม่ให้ฉันเสียเวลา จับทำแฟนซะเลย คิดไปได้ยัยพวกนี้
“ถ้ากลัวฉันเบื่อเธอก็พาฉันทำอะไรที่มันตื่นเต้นดิ” อยากตื่นเต้นใช่มั้ย เดี๋ยวก็พาไปวิ่งหนีเท้าเด็กโรงเรียนชายล้วนข้างๆ ซะเลยนี่เอามั้ยล่ะ
“อยากตื่นเต้นแบบไหนล่ะ” ฉันถาม “ก็กิจกรรมที่ทำให้ใจเต้นแรงแล้วก็เลือดสูบฉีดอ่ะ” ออนเจนั่งชิดติดกับฉันเช่นเคย (ตอนนี้อยู่ในห้องเรียนไม่ผิดกฎ) แต่ว่ามันผิดกับอัตราการเต้นของหัวใจฉัน
“นายออนเจ ทะลึ่ง” ฉันหน้าแดงแจ๋
“เธอสิทะลึ่ง คิดอะไรอ่ะ แค่อยากให้พาไปเล่นบาสเอง” เฮ่อ ใจเต้นแรง เลือดสูบฉีด = เล่นกีฬาบาสเก็ตบอล
“แล้วก็ไม่พูดตรงๆ ฉันว่านายรู้จักภาษาไทยดีกว่าฉันซะอีกนะ มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทำไมมิทราบ” พูดไปงั้นแหล่ะ ถ้านายไม่มา คงไม่มีใครที่ทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้หัวใจเวลาอยู่ใกล้แบบนี้หรอก ถึงจะทะเลาะกันบ่อย ถึงจะจิกกัดกันบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกชอบนายขึ้นมาแล้วหล่ะ ออนเจ
ความคิดเห็น