ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Plan แผนร้ายข็อตใจนายสุดฮอต

    ลำดับตอนที่ #12 : เพื่อนเก่าที่รู้ใจ

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 55


    รถเก๋งคันหรูแล่นผ่านเส้นทางที่ฉันเคยมายามราตรีกับอีตานี่สองคน แน่นอน ทางไปนครนายก ฉันจำได้

                    “ซีแซนด์ นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย” ดึกดื่นป่านนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกนอกจากนอนพักผ่อน

                    “เฉยเหอะน่า ฉันกำลังโกรธเธออยู่ ถ้าไม่ปล่อยฉันขับรถเงียบๆ ฉันอาจจะปล่อยเธอลงตรงนี้ก็ได้นะ” อีตาบ้านี่เป็นแบบนี้ตลอด เอาแต่ใจที่สุด ฉันก็ยังโกรธนายอยู่เหมือนกันแหล่ะ ฉันกอดอกมองกระจกหน้าต่อไป แต่เมื่อถึงทางเลี้ยวเข้าวัดป่าซีแซนด์ไม่จอด แต่กลับขับเลยไปเรื่อยๆ  เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะพาไปเที่ยววัดตอนกลางคืนอีก

                    รถเลี้ยวเข้าทางน้ำตกแล้วก็ลัดเลาะไปพักใหญ่ จอดตรงรีสอร์ทสไตล์ธรรมชาติ เป็นรีสอร์ทที่ดูดีแล้วก็อะไรอีกล่ะ บรรยายไม่ถูกเลยอ่ะมันสวยมากจริงๆ แม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่เท่ากับรีสอร์ทระดับห้าดาวทั่วไป สวนนี่ก็จัดอย่างดีคงลงทุนไปมากเพราะว่าขนาดฉันดูตอนกลางคืนยังสวยมากเลย ยิ่งมีไฟติดตามต้นไม้และโคมไฟตามทางเดินสไตล์โมเดิร์นแล้วล่ะก็ โอ้ย น่ามาพักมาก อย่าบอกนะว่าฉันจะได้นอนพักที่นี่ กรี๊ดดดด

                    “นี่ นายไม่ไปเช็คอินเหรอ” ฉันเดินไปดึงเสื้อซีแซนด์

                    “เช็คอินทำไมล่ะ” หันมาดึงมือฉันออกแล้วเดินต่อ ฉันเดินตามเค้าก็เดินหนีไกลไปอีก ฉันเลยวิ่งไปขวางหน้าซีแซนด์ไว้

                    “นี่ ฉันง่วงแล้วนะ ไปเช็คอินแล้วเข้าที่พักเหอะ” ฉันทำหน้าตาน่าสงสารที่สุด

                    “ฉันก็ง่วงเหมือนกัน ถอย” แน๊ มาทำเสียงขึ้นจมูกใส่ฉันอีก

                    “โอ้ย แล้วนายเดินดุ่มๆ เข้ามาเจ้าของบ้านเค้าไม่ว่ารึไงเล่า” ซีแซนด์ถอนหายใจรำคาญฉันก่อนจะหันมาตอบ

                    “ไม่ว่าหรอก ก็ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ตอนนี้ลุงกับป้าดูแลให้น่ะ” ว้าว ได้เป็นเจ้าของสถานที่สวยงามแบบนี้ดีจังเลย

                    “โห แล้วทำไม่คราวที่แล้วเราไม่มาพักที่นี่กันล่ะ” ฉันเดินตามซีแซนด์เข้าห้องพักที่งดงามมากห้องหนึ่ง คงจะเป็นห้องที่ดีที่สุดของที่นี่แล้วหล่ะ เพราะว่ามันกว้างใหญ่มาก

                    “หึ เธอสนใจของพวกนี้มากกว่าสนใจฉันรึไงกัน” ทำไมต้องโมโหอีกแล้วเนี่ย เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่แท้ๆ

                    “เปล่าซะหน่อย ฉันจะสนใจไปทำไม บ้านพักตากอากาศของที่บ้านฉันก็มีตั้งเยอะแยะ ชิ” ทำเป็นไม่สนใจฉันเดินหนีไปอาบน้ำเฉยเลย ฉันเลยเดินสำรวจห้องกว้าง ซีแซนด์นายเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย พูดประชดเหมือนฉันเห็นแก่วัตถุสิ่งของมากกว่านายงั้นแหล่ะ บ้านฉันก็รวยจนเงินจะทับตายอยู่แล้ว ฉันจะอยากได้ไปทำไมกันอีก

                    “คืนนี้ฉันขอนอนบนเตียงด้วยนะ ไม่อยากนอนพื้นแล้วอ่ะ” แม้จะรู้สึกว่าจะได้นอนพื้นไม่ก็โซฟาก็ต้องขอร้องไว้ก่อนอ่ะ ฉันนั่งไขว่ห้างบนเตียงนอนใหญ่โตมโหฬารส่วนซีแซนด์ออกมาจากห้องน้ำมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ท่อนล่าง ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ทั่วแผ่นอก ซีแซนด์สะบัดผมที่เปียกชื้นไปมาก่อนจะเดินตรงมาที่เตียง

                    “ไม่ได้ เดี๋ยวฉันนอนไม่หลับ ลงไปนอนพื้นเลย” แล้วซีแซนด์ก็จัดแจงหยิบผ้าห่มกับหมอนโยนลงมาที่พื้นพร้อมกับโยนฉันลงไปด้วย ไม่จบง่ายๆ แบบนี้หรอกน่า

                    “น่านะ เดี๋ยวฉันเช็ดผมให้ แล้วก็นวดให้ด้วย นายขับรถตั้งนานเมื่อยใช่ม๊า” สุดฤทธิ์ค่ะสุดฤทธิ์ ชุดกระชากลากถูฉันมาจากบ้านอันแสนสุขสบายให้มานอนพื้นรึไงเล่าไอ้บ้าเอ้ย ใครจะไปยอมง่ายๆ ซีแซนด์มองหน้าฉันอย่างชั่งใจก่อนจะตอบด้วยคำพูดน่าฟังว่า

                    “ไม่ อย่าหวังเลยว่าฉันจะหลงกลเธอ ยัยโง่” เอ้อ ฉันมันโง่ ด่าตลอด เตียงก็ตั้งกว้างฉันไม่ยอมนอนพื้นง่ายๆ แน่

                    “โอเคๆ ไม่นอนบนเตียงก็ได้ เช็ดผมให้ฟรีก็ได้มา” เผื่อจะใจอ่อน ดันฉลาดเป็นกรดอีก

                    “คนเราทำอะไรไม่หวังผลไม่มีหรอก ฉันเช็ดเองดีกว่า” แม้จะยื่นผ้าขนหนูขนาดเล็กสำหรับเช็ดผมให้ฉันแล้วแต่ก็เปลี่ยนใจดึงกลับไปเช็ดเองอีก ฉันก็ไม่ยอมปล่อยจึงกลายเป็นซีแซนด์ดึงฉันเข้าไปหาด้วย ฉันถลาเสียหลักจะล้มด้วยความตกใจจึงต้องหาแหล่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ คว้าอะไรก็ได้ไว้ก่อน แล้วสิ่งที่ฉันคว้าก็คือ  คือคือผ้าขนหนูที่ปิดบังท่อนล่างของซีแซนด์

                    “ยัยโรคจิต เอาผ้าขนหนูคืนมานี่” ซีแซนด์รีบดึงผ้าขนหนูมาปิดเหมือนเดิมแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ผมยังเปียกชุ่มแบบนั้น ฉันยังคงนั่งอยู่กับพื้นเช่นเดิมดวงตาเบิกโพลง ภาพลับระหว่างฉันกับซีแซนด์ยังติดอยู่ที่ลูกกะตา

                    “ยัยซุ่มซ่าม ฉันกะแล้วว่าเซ่อซ่าอย่างเธอต้องมายุ่งวุ่นวายกะฉันแน่ ดีนะฉันใส่บ๊อกเซอร์ไว้ ไม่งั้นเธอโดนดีแน่” ซีแซนด์พูดทั้งที่หน้าแดงก่ำ โด่ ทำเป็นโมโหให้ฉัน ตัวเองก็เขินแหล่ะเฟ้ย

                    “แล้วจะนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งคืนรึไงเล่า” ฉันก็ลืมไปว่ายังนั่งอยู่ที่เดิม รีบลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วก็เดินไปยังที่นอนสุดหรูของตัวเอง พื้นที่รัก ฉันรักแกจัง เราจะได้สัมผัสกันอีกแล้วนะ

                    “นี่ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำไมไม่พูด” ฮึ ในเมื่อขอตรงๆ ก็แล้ว เล่นลูกไม้ก็แล้วฉันก็ยังต้องนอนพื้น ตอนนี้ต้องใช้จิตวิทยาซะหน่อย อย่าฝันเลยถ้าฉันไม่ได้นอนเตียงแล้วจะยอมพูดกับนายง่ายๆ

                    “ปัทโธ่เว้ย ทำไมไม่พูดเล่าป้า” หนอย ไม่โกรธ ไม่ด่าอย่ามายั่วโมโหฉันซะให้ยาก ขอให้อึดอัดใจตายคาเตียงไปเลยนะอีตาบ้า

                    “ลืมข้อตกลงข้อที่สองของฉันแล้วรึไง” ดูมันทำ มาทวงสัญญาบ้าบอที่ฉันไม่ได้รู้มาก่อนล่วงหน้า

                    “เธอต้องทำตามสัญญาให้ครบสามข้อนะจะบอกให้” แกล้งหลับดีกว่าไม่อยากได้ยิน

                    “ฉันรู้นะว่าเธอยังไม่หลับ ไม่อยากรู้รึไงว่าข้อที่สองฉันจะให้ทำไร” นายให้ทำแต่ฉันไม่ทำ ไม่อยากรู้เฟ้ย

                    “เฮอะ เล่นอย่างนี้เลยเหรอเนี่ย” แล้วเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็มาหยุดอยู่ข้างฉัน

                    “ว๊าย นายจะทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉันนะ” นายบ้าลงจากเตียงมาอุ้มฉันลอยหวือขึ้นไปยังกับตัวฉันเบาหวิว

                    “พูดได้แล้วรึไง ทำไมไม่เงียบต่อไปล่ะ” ทั้งฉันทั้งผ้าห่มถูกโยนลงบนเตียงตามมาด้วยการทาบทับของซีแซนด์ เขาใช้ผ้าห่มขึงฉันไว้ทำให้ดิ้นไปมาลำบาก

                    “อยากนอนมากนักไม่ใช่เหรอบนเตียงเนี่ย หืม” ใบหน้าหล่อเหลาก้มมากระซิบถามอยู่บริเวณซอกคอ ทำไมสงครามประสาทใช้ไม่ได้ผลอ่ะ ทำไมฉันไม่เป็นผู้ชนะ แต่กลับตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซีแซนด์อีกแล้ว

                    “อะไร ฉันทำอะไรให้ ปากก็ปากของฉัน อยากพูดก็จะพูด ไม่อยากพูดก็ไม่พูด นายจะทำไมมิอุ๊บ” แล้วริมฝีปากฉันก็ถูกครอบครองโดยริมฝีปากสีชมพูอ่อนของซีแซนด์ นายกำลังจะทำให้ฉันไร้สติอีกแล้วนะ แล้วจุมพิตที่แสนหวามไหวก็แปลเป็นรุนแรงขึ้นเมื่อเขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากแล้วดูดดื่มความหอมหวานรัญจวนใจพาให้ปั่นป่วนอารมณ์พาลให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงตามไปด้วย

                    “เธอกำลังจะทำให้ฉันขาดสตินะ แอมแปร์” ซีแซนด์กระซิบข้างหูเมื่อถอนริมฝีปากออก นายกำลังจะขาดสติ แต่ฉันขาดสติไปแล้วที่ต้องการสัมผัสเมื่อครู่อีก ฉันมองหน้าซีแซนด์ตาหวานฉ่ำแล้วทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำในชีวิตนี้ ฉันโน้มคอซีแซนด์ลงมาหาแล้วประกบปากจูบเขาด้วยตัวเอง เป็นไปได้ไงเนี่ย

                    “แอมแปร์” เสียงแหบพร่าแว่วๆ มาเมื่อถอนริมฝีปากออก ฉันหายใจหอบถี่ยังคงกอดคอซีแซนด์ไว้นิ่ง เราจ้องตากันอย่างชั่งใจก่อนที่ซีแซนด์จะตัดสินใจ

                    “ฉันว่าคดีที่เธอก่อขึ้นทุกอย่างค่อยตัดสินพรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้นอนเหอะ” แล้วเตียงก็ตกเป็นของฉัน โดยที่ซีแซนด์สะบัดหน้าสองสามทีใช้มือตบหน้าเบาๆ เรียกสติก่อนจะเข้าห้องน้ำล้างหน้า พักใหญ่จึงได้พาร่างออกมาไปนอนบนโซฟา

                    “คิก” ฉันลอบหัวเราะเบาๆ ไม่ให้ซีแซนด์ได้ยิน และแล้วเตียงนอนก็เป็นของฉัน ฮ่าๆๆ นายเกิดช้าไปจ๊ะเบเบ๋ เรื่องแบบนี้มันสอนกันไม่ได้แน๊

     

                    อรุณสวัสดิ์เช้าอันสดใสหลับสบายมากมากเลย ฉันบิดขี้เกียจไปมาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงมองคนที่ยืนอยู่ปลายเตียง

                    “มุขป่ะเนี่ย” ซีแซนด์กอดอกยืนมองฉัน

                    “มุขอาร๊าย ไม่รู้เรื่อง” ฉันทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วก็รีบลุกจากเตียง เตรียมเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แต่ซีแซนด์ยังเดินตามมาท้าวแขนที่ประตูหน้าห้องน้ำไม่ให้ฉันปิดประตู

                    “ก็มุขครองที่นอนแสนสบายของฉันดิ” โถโถ อภิโธ่อภิถังกะละมังดั้งเด่ ช้าไปมั้ยน้อง ปล่อยฉันนอนยันเช้าแล้วมาเซ้าซี้ถามเนี่ย

                    “ไม่มุขนะ เอาน่าๆ เช้าแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเที่ยวกันเหอะ” ฉันปัดมือไล่ความคิดซีแซนด์ นายนั่นทำหน้าเซ็งก่อนจะยอมถอยไปนั่งที่โซฟาเปิดทีวีดู ได้ยินเสียงรายงานข่าวการหายตัวไปของยัยสแปลช เออดี ให้หายเข้ากลีบเมฆไปเลยยิ่งดี หมั่นไส้มัน แต่หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับโอ๊ตหรอกนะ เห็นสายตาก่อนแยกกันแล้วไม่ค่อยไว้ใจโอ๊ตยังไงก็ไม่รู้ ถ้ายัยนั่นเป็นไรไปก็เป็นเพราะฉันอยู่ดี

                    “เธอว่ายัยนั่นหายไปเพื่อเรียกเรตติ้งรึเปล่า” ซีแซนด์หันมาถามฉันที่เดินเช็ดหน้าเช็ดตาออกมาจากห้องน้ำ

                    “บ้า คิดได้ไง” ถึงจะเถียงแทนในฐานะผู้หญิงด้วยกันแต่ก็เห็นด้วยนะ นางยิ่งชอบทำให้ตัวเองดังทางลัดอยู่ด้วย

                    “ทำไมจะคิดไม่ได้ ขนาดฉันยังโดนผู้จัดการส่วนตัวยัยนั่นขู่เอาเล้ย” ห๊า ทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

                    “ขู่อะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าที่นายไม่ยอมติดต่อกับฉันแล้วก็ไปอี๋อ๋อกับยัยนั่นเพราะโดนขู่น่ะ” ฉันเอาหน้าไปเกยโซฟาเลยบ่าซีแซนด์

                    “ก็ใช่สิยัยโง่ คิดว่าฉันอยากทำแบบนั้นรึไงล่ะ มีแต่เธอนั่นแหล่ะที่นอกใจฉันน่ะ” แน่ะ เข้าตัวเลย

                    “บ้าเหรอ นั่นน่ะรุ่นน้องเคยรู้จักกัน” ก็ไม่ได้โกหกนะ แค่บอกไม่หมด

                    “รุ่นน้องที่เคยคบเป็นแฟนน่ะเหรอ” ห๊า นายรู้ได้ไง มันจะอะเมซิ่งจิงกะเบลเกินไปแล้วรู้ไปซะทุกเรื่อง

                    “นะ นายรู้” ฉันหน้าเหวอแต่ก็เฉไฉเดินมานั่งคู่กับซีแซนด์ที่โซฟาทำทีกดเปลี่ยนช่อง แต่ก็ยังคงเป็นข่าวของสแปลช แต่เป็นพี่จุ๊บผู้จัดการส่วนตัวมาให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อคืนพายัยนั่นมาส่งที่คอนโด พอเช้ามาโทรหาไม่ติด ขึ้นไปบนห้องก็ไม่เจอแล้ว จากนั้นก็ตีบทโศกวิงวอนให้ช่วยกันค้นหา เจ้คะ ตีบทแตกขนาดนี้เจ้น่าจะเป็นนักแสดงซะเองเลยนะเนี่ย อ้อ สงสัยอายุเยอะเกินไปจะมาเล่นหนังวัยรุ่น

                    “นี่ปิดเลย แล้วก็ตอบฉันมา ไอ้หน้าอ่อนแฟนเก่าเธอมาเกาะแกะเธอได้ไง เธอโทรไปตามมันมาหาใช่มั้ย” หวา จ้องหน้าเอาเป็นเอาตายเลย เอาไงดีหว่า บอกความจริงละกัน

                    “ป่าวนี่ ไม่ได้ตาม ยอมรับก็ได้ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นแฟนกันแต่เลิกกันแล้วนะ ตอนนั้นเค้าย้ายโรงเรียนไปอยู่กับพ่อแม่ที่ลอนดอน นี่ปิดเทอมเลยกลับมาเมืองไทย เอิ่ม” เอาไงดีหว่า จะบอกโต้งโต้งว่ามาตามจีบฉันงั้นเหรอ

                    “มันก็เลยกลับมาขอคบกับเธอว่างั้นเหอะ” อย่าจ้องหน้าจับผิดสิ  เค้าบ่ได้ทำผิดเด้

    ฉันอึกอัก นึกโมโหคนที่บอกอีตานี่ว่าโอ๊ตเคยคบกับฉัน ทำให้ฉันนั่งอึดอัดอยู่ในระยะประชิด จะลุกจากโซฟาเดินหนีก็ถูกจับแขนไว้แน่น

                    “ทำไม ไม่กล้าตอบเพราะยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเธอนอกใจฉัน” ชิ ทีนายยังไปเกาะแกะกับยัยนางเอกดาวยั่วนั่นเลย

                    “แล้วทีนายไปอี๋อ๋อกับยัยสแปลชนั่นน่ะ” หาข้อแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้โยนข้อหาให้คนอื่นซะเลย

                    “ก็บอกแล้วไงว่าฉันถูกบังคับ ผู้จัดการของยัยนั่นเอารูปเธอสมัยคบกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้ามาขู่ฉัน ถ้าฉันไม่ทำตามที่บอกจะอัพรูปเธอลงเน็ตนะ แล้วถ้าฉันเปิดตัวเธอแล้วคนก็ต้องจับตามองเธอน่ะเซ่” เรื่องมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง แต่ถ้าซีแซนด์ไม่ผิด ฉันก็ผิดน่ะสิ เอาไงดีหว่า

                    “อ๋อ นายอายล่ะสิที่มีแฟนอย่างฉันน่ะ อายว่าคนจะนินทาใช่มั้ยล่ะว่ามีแฟนที่เคยคบผู้ชายมาหลายคนน่ะ” ก็ใช่น่ะสิ ยังไงนายก็ต้องผิด เพราะฉันไม่ยอมรับผิดมีไรป่ะ

                    “ประสาทไปกันใหญ่แล้ว ฉันกลัวเธอเสียชื่อหรอกนะ” เราจ้องหน้ากันใกล้ขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

                    “อ๋อเหรอ ไม่ใช่เต็มใจ ดีใจล่ะสิไม่ว่าที่ได้ใกล้ชิดยัยดาวยั่วนั่นน่ะ อยากสลัดฉันทิ้งอยู่แล้วไม่ใช่รึไงเล่า โอ้ย” มือใหญ่ของซีแซนด์ปิดปากฉันไว้แล้วเอาหน้าของตัวเองมาชิดหน้าฉัน

                    “เงียบซักทีได้มั้ย ฉันบอกว่าไม่ได้ชอบยัยนั่น คนที่ฉันชอบมีแค่เธอเท่านั้นนะ” บ้า จะมาหวานอะไรตอนนี้เล่า เขินนะ ฉันพยักหน้าหงึกหงักซีแซนด์ถึงได้ปล่อยมือ

                    “เอาเป็นว่าฉันไม่สนใจละกันว่าพวกนั้นจะขู่อะไรฉันอีก อันที่จริงที่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นข้อตกลงระหว่างเราข้อที่สองฉันจะให้เธอคอยไปดูแลฉันในกองถ่าย ฮึ แต่เธอคงไม่ว่างหรอกมั้ง รุ่นน้องบินมาจากลอนดอนทั้งที มีรึจะมาดูแลแฟนตัวเองน่ะ” ประชดใช่มั้ยเนี่ย

                    “นายหึงเหรอ” ฉันยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเห็นหน้าขาวๆ แดงจนถึงหู

                    “บ้า ใครจะไปหึงเธ้อ คิดได้ไงไปอาบน้ำดีกว่า ไร้สาระจริง” โด่ รู้หรอกว่าเขิน คิกคิก น่ารักอ่ะ

                    “ให้ไวด้วย ฉันอยากไปเที่ยวแระ” ไหนๆ ก็ได้มาถึงนี่ทั้งที ไปอีกหน่อยก็ถึงปารัญญ่าแล้ว กรี๊ดดดด ขอให้นายไม่ลืมสัญญานะว่าจะพาฉันไปน่ะ

     

                    และแล้วก็เหมือนฝันที่เป็นจริง ฉันได้มายืนอยู่ที่ยุโรป อิอิ ไม่ใช่หรอกค๊า ที่นี่คือปารัญญ่าเมืองยุโรปจำลอง มองมุมไหนก็น่าถ่ายรูปเป็นที่สุด

                    “ไปเหอะ เร็วดิอยากเข้าไปถ่ายรูปแล้วเนี่ย” ฉันจูงกึ่งลากแขนซีแซนด์เข้าไปด้านใน ชักช้าจริงมัวแต่หยิบแว่นหยิบหมวกมาสวมอยู่ได้ คนก็ไม่เยอะซะหน่อย ชิ ยกให้ในฐานะคนดังละกัน

                    “จะรีบไปไหน สิ่งปลูกสร้างทั้งนั้น นี่ก็อิฐ นี่ก็หิน มันไม่ระเหิดหายไปในอากาศหรอกน่า” กวนได้อีก

                    “ที่นี่สวยเหมือนหน้าตาฉันมาก ฉันไม่อยากเถียงกับนายให้เสียอารมณ์หรอก เอานี่มือถือฉัน แล้วก็ถ่ายให้ด้วยฉันจะเอาไว้อัพเฟสอวดเพื่อนๆ”

                    ว่าแล้วฉันก็วิ่งไปจุดที่มีรถจักรยานใส่ดอกไม้ ขึ้นคล่อมรถแล้วก็ทำท่าปั่นเหมือนในหนังเกาหลี วิ่งไปตรงน้ำพุ ตรงหน้าร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า จนกระทั่งคนถ่ายทำท่ารำคาญแล้วนั่นแล ฉันถึงได้รับมือถือคืนแล้วก็ไปหยุดอยู่หน้าโรงหนังสามร้อยหกสิบองศาเป็นรูปโดมสีดำ

                    “ฉันอยากดูอ่ะ เป็นไงเนี่ย” ฉันเดินไปด้อมๆ มองๆ เพื่อส่องดูด้านใน แต่ทุกอย่างก็มืดมิดและมีเด็กขายตั๋วเดินออกมา

                    “เข้ามั้ยครับพี่ รอบละร้อยยี่สิบครับ” เรียกฉันพี่หน้าแกแก่กว่าฉันอีกนะ

                    “ซีแซนด์ ฉันอยากดูอ่ะ” ฉันหันไปบอกซีแซนด์แต่มือก็ควักเงินจ่ายไปแล้วเรียบร้อยสองใบสองร้อยสี่สิบบาทถ้วน

                    “ฉันไม่อยากดู” เฮ้ย ไม่ดูไม่ได้ฉันซื้อตั๋วแล้ว

                    “ได้ไงอ่ะ ค่าตั๋วก็จ่ายแล้ว นะนะ คนดี๊คนดี” ทำหน้าเหมือนลูกแมวขี้อ้อนแล้วเกาะแขนซบไหล่ อิอิ

                    “ปล่อยเลยยัยบ้า เดี๋ยวเค้าก็หาว่าฉันพาป้ามาเที่ยวหรอก ห่างๆ เลยไป” ชิ ไม่เกาะก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นต้องว่าแรงอย่างงั้นนี่ เออ ฉันมันแก่ ฉันมันสวย ฉันมันรวย เอ่อ อันหลังเป็นข้อดีทั้งน๊านเนอะ

                    “ทำไม อายนักหรือไงที่คบกับฉันน่ะ” ฉันกอดอกหันหลังให้ ฉันงอนอยู่นะเฟ้ยรีบมาง้อเด้ นานไปแล้วนะ มันจะสองนาทีอยู่แล้วอ่ะ เฮ้ย

                    “เฮ้ ซี บังเอิญจังเลยที่มาเจอกันที่นี่” เสียงสาวสวยลูกครึ่งทักทายนายซีแซนด์ หนอย ว่าแล้วทำไมไม่ง้อฉัน ปล่อยฉันงอนเก้อเหรอ นายเจอดีแน่

                    “อ้าวเนส เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานเนอะ” จะใช้น้ำเสียงร่าเริงเกินไปมั้ย หน้าระรื่นแบบนี้ไม่เคยทำกับฉันเลย แน่ะ ทียัยนั่นเกาะแขนไม่เห็นสะบัดออกซักนิด อ๊าย ชีช้ำ

                    “นี่ใครเหรอซี” ฉันเดินเข้าไปเกาะแขนอีกข้างแล้วเอาหน้าซบ ลืมเรื่องงอนไปเสียสนิท ใครจะยอมให้แฟนตัวเองไปอี๋อ๋อกับสาวอื่น ฝันไปเหอะย่ะ

                    “ปล่อยก่อนดิ ฉันอึดอัด” ทำไมต้องแกะมือฉันคนเดียวด้วยล่ะ อึดอัดก็ต้องแกะมือยัยนั่นด้วยดิ ยัยมายองเนสนั่นน่ะ ยัยหน้าฝรั่งหัวทองสำเนียงการพูดไทยเดี๊ยะอ่ะ แกะมือมันออกด้วยดิ ฉันจ้องแขนอีกข้างของซีแซนด์ที่ยัยนั่นเกาะไว้แน่น

                    “ฉันชื่อเนสค่ะ เป็นคนรู้ใจของซีแซนด์” ห๊ะ คนรู้ใจ แล้วฉ๊านล่ะ ฉ๊านเป็นใคร ฉันเป็นคนรักเค้าน๊า

                    “ไม่ต้องพูดกับยัยนี่เยอะหรอกเนส ยัยนี่เป็นพวกเดียวกันกับเพนกวินน่ะ ชอบเข้าใจอะไรยากๆ” และแล้วยังไม่ทันอธิบายอะไรให้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งคู่ก็ควงแขนกันไปนั่งที่ร้านกาแฟปล่อยฉันเดินตามอย่างผีดิบทื่อๆ หมดแรง

                    “คนรู้ใจอะไรกัน ฉันเป็นแฟนนายนะ” ฉันพูดขึ้นตามหลังสองคนนั่น ซีแซนด์เลือกนั่งโต๊ะที่มีเพียงสองเก้าอี้ ฉันเลยนั่งที่โต๊ะถัดไปแต่มองสองคนนั่นตาไม่กระพริบ อันที่จริงเดทวันนี้เป็นของเราสองคนไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องให้ความสนใจยัยนั่นกว่าฉันล่ะ น้อยใจอ่ะ หนีกลับก็ไม่ได้ รถก็รถอีตาซีแซนด์ โอ้ย อึดอัด

                    “ที่นิวซีแลนด์เป็นไงมั่ง อากาศเย็นสบายเลยสิ ตอนอยู่เมืองไทยก็เอาแต่บ่นว่าร้อนนี่” จะหัวร่อต่อกระซิกกันมากไปแล้วนะ ฉันนั่งหัวโด่อยู่นี่สนใจบ้างไรบ้าง

                    “แหม คิดถึงเมืองไทยจะแย่ แล้วก็คิดถึงซีด้วยนะ” มันจับมือแฟนฉันอีกแล้ว

                    “น้องคะ ขอกาแฟดำสองแก้วค่ะ อ้อ น้ำตาลไม่ต้องนะคะน้อง เสิร์ฟโต๊ะนั้นเลยค่ะ หวานเกิ๊น” เมื่อไม่สนใจฉันก็ต้องมีอันให้เรียกร้องความสนใจ ฉันสั่งเด็กเสิร์ฟประชดโต๊ะข้างๆ แต่ยัยเด็กเสิร์ฟคิดว่าฉันสั่งแบบนั้นจริงๆ ก็เลยเดินไปสั่งกาแฟให้สองคนนั้น เออ อยากอยู่กันสองต่อสองก็เชิญคุยกันให้ท้องไปเลย ชิ ฉันไปดูหนังคนเดียวก็ได้ ถ้าฉันไปเจอคนหล่อๆ มาจากข้างในล่ะก็จะควงมาอวดนายให้ดู๊

                    “ฉันไปดูหนังแล้วนะ” ฉันพูดขึ้นลอยๆ อยากเรียกร้องความสนใจก็อยาก กลัวเค้าทิ้งไว้ที่นี่ก็กลัว เอ้อ บอกไว้วะหน่อยก็ได้ฟะ เดี๋ยวไม่รู้ว่าฉันหายไปไหน

                    “แล้วพี่นอร์ธไม่มาด้วยเหรอ” แทนที่จะสนใจฉันกลับหันไปสนทนาอย่างออกรสออกชาดกันต่อ ดี๊ ฉันไปจริงด้วย ว่าแล้วก็ก้าวฉับๆ ถือตั๋วสองใบกับใจเหงาๆ เดินเข้าโรงหนังไป ทางเดินแคบๆ หมุนเข้าไปเป็นวงกลม โดมครึ่งหนึ่งเป็นฉากคล้ายจอในท้องฟ้าจำลอง เก้าอี้ที่ฉันได้เป็นเก้าอี้โซฟาสีดำ เก้าอี้ในนี้เป็นสีดำสลับแดงพอนั่งแล้วก็ต้องปรับเอนนอนแปลกดี อ๋อ มันเป็นแบบ 3D แต่ไม่ต้องใส่แว่นตา และแล้วไตเติ้ลของหนังที่จะฉายก็เริ่มแล้ว เป็นฉากทางเข้าหมู่บ้านจากนั้นเสียงวังเวงก็บรรเลงพร้อมดนตรีไทยกับเสียงขับร้องเห่กล่อมเย็นยะเยือก ฉันเริ่มได้กลิ่นของความผิดพลาดในการก้าวย่างเข้าโรงหนังด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความโมโหจนไม่ได้ดูว่าเขาฉายหนังเรื่องอะไร ฉันหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้มาเปิดเป็นไฟส่องตั๋วอีกใบที่เหลือ(ตั๋วที่ซื้อไว้ให้ซีแซนด์) ในตั๋วเขียนว่า

                    “ยินดีต้อนรับสู่แดนสยอง” บรื๋ออออ แดนสยอง แค่ชื่อก็สยิวแล้ว ที่นั่งข้างๆ ก็เจือกไม่มีคนนั่งอีก ฉันจะเกาะใครกรีดร้องได้นอกจากโซฟาแข็งๆ ทุกคนที่เข้ามาดูก็มากับคู่รัก มีเกาะแขนหวีดร้องเบาๆ แต่ฉันน่ะเหรอ หรับตาปี๋ทุกครั้งที่อีผีบ้ามันโผล่หัวมาจากหน้าต่าง เสากลางบ้าน แล้วก็เตียงนอน มันจะสมจริงเกินไปมั้ยนี่ โผล่มายังกับอยู่ตรงหน้าฉันงั้นแหล่ะ บางทีก็เหมือนหัวกะโหลกกลิ้งตกตุ๊บมาบนตักฉันจริงๆ โอ้ย จะเป็นลม นอกจากหลับตาแล้วใช้สองมือจิกโซฟาแน่นจะมีอะไรทำให้มีความสุขในการดูมากกว่านี้มั้ยนี่ ฉันกำลังหัวใจจะวายแล้วนะ อ๊ากกกกก

                    “น้องครับ น้องเป็นไรรึเปล่าครับ น้องครับ” ได้ผลค่ะเสียงกรีดร้องของฉันทำให้พี่ผู้ชายตัวสูงที่อยู่ถัดไปอีกสองเก้าอี้เดินมานั่งข้างฉัน หมดค่าตั๋วไปตั้งสองร้อยสี่สิบบาท ดูไปยังไม่ถึงยี่สิบบาทเลยจ๊ะ

                    “อ่ะ เอ่อไม่เป็นไรค่ะ” ฉันพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

                    “ไม่ต้องฝืนหรอกนะครับ ถ้ากลัวก็หลับตาแล้วก็จับมือพี่ไว้ก็ได้” มือใหญ่นุ่มกุมมือฉันไว้ ถ้าเป็นชั่วโมงอื่นฉันคงถือว่าเค้าแต๊ะอั๋งสาวสวยสุดเซ็กซี่อย่างฉัน แต่ในสถานการณ์มืดตื๋อแบบนี้เค้าไม่เห็นแม้แต่หน้าฉันแต่กลับใจดีมานั่งกุมมือฉันไว้ ฉันเลยรู้สึกอบอุ่นใจนิดหน่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยๆ วางมือบนมือใหญ่นั่นไว้ให้ถนัด ขยับตัวนั่งนิ่งๆ

                    “ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยด้วยความเกรงใจ อย่าว่าฉันใจง่ายเลยนะ ก็อีตาแฟนฉันนั่นน่ะยังไม่สนใจฉันซักกะติ๊ดนึงเลย มัวแต่ไปโอ้โลม ปะติโลม แทะโลมยัยหน้าฝรั่งอยู่นั่นแหล่ะ

                    “การที่คนเราจะเอาชนะความกลัวได้ เราก็ต้องต่อสู้กับความกลัวนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยแผ่วเบาริมใบหูเล่นเอาหน้าชาเลยแฮะ ก็ลมหายใจอุ่นร้อนรวยรินอยู่ตรงใบหน้าฉันอ่ะสิ

                    “ต่อสู้ยังไงคะ” ฉันหรี่ตาขึ้นถามแล้วหลับตาลงต่อเพราะกลัว

                    “ก็ถ้าน้องกลัวผี น้องก็ต้องสบตากับมันให้รู้กันไปว่าเราไม่กลัว ต่อไปเราก็จะกล้าต่อกรกับมัน เหมือนกัน ถ้าเราต้องการเอาชนะ เราต้องสู้ไม่ใช่หนี โอเคมั้ยครับ” พี่ชายนิรนามบีบมือให้กำลังใจจนฉันปรือตามองอีผีบ้าในจอสามร้อยหกสิบองศานั่น หัวใจฉันเต้นแรงมาก มันแลบลิ้นปริ้นตาใส่ฉันแต่ความอบอุ่นที่มือทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันไม่กลัวมัน และมันอยู่ในจอออกมาทำอะไรฉันไม่ได้ ตอนนี้ฉันเริ่มดูหนังได้ซักครึ่งหนึ่งของค่าตั๋วแล้ว มีแอบหลับตาบ้างฉากที่มันทำให้ตกใจเช่นถ่ายตามซอกตึกไม่มีอะไรแล้วอยู่ๆ มันก็โผล่หน้ามาจนแทบหยุดหายใจ ถ้าคนเป็นโรคหัวใจกรุณาอย่าดูนะจ๊ะ เดี๋ยวหัวใจทำงานหนักนะ

                    “รู้สึกดีขึ้นมาเลยค่ะ” ฉันกล้าพอที่จะดึงมือกลับ ฉันไม่กลัวแกแล้วผีเอ๋ย (เฉพาะในจอนะ พวกผีถนนหรือผีนางไม้ก็ยังกลัวอยู่ดี) แล้วจู่ๆ คำพูดของพี่ชายนิรนามก็ดังขึ้นในใจ ถ้าเราต้องการเอาชนะเราก็ต้องสู้ไม่ใช่หนี นั่นสิ ฉันหนีภาพของซีแซนด์กับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในนี้ หนีภาพบาดตามาเจอผีบาดใจ โอ้ยอะไรจะแย่ไปกว่านี้ แต่ถ้าฉันไม่หนีฉันถามให้รู้เรื่อง ก็คงไม่ต้องมาคิดเองเออเองเป็นบ้าแบบนี้แระ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×