ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Plan แผนร้ายข็อตใจนายสุดฮอต

    ลำดับตอนที่ #10 : ใจกลางความรู้สึกดีๆ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 55


    สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก ได้เห็นเพื่อนๆ มีความรักแล้วชักอิจฉา ถึงฉันจะมีแฟนเป็นนักร้องดังระดับ

    ซุปตา ก็ไม่มีโอกาสได้หวานเลี่ยนเหมือนยัยซ่าหลีที่เอานั่นโน่นนี่ไปให้พี่โยแล้วพี่โยขาที่แสนดีก็มีไมตรีตอบรับพร้อมคำพูดหวานๆ ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากมายอย่างยัยลูกหว้ากับออนเจที่อยู่บ้านเดียวกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ฉันชักสงสัยแล้วว่าการคบนายซีแซนด์เป็นแฟนเนี่ย ต้องเหงาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
     

                    “ระหว่างเธอกับซีแซนด์ไปถึงไหนแล้วล่ะ” ซ่าหลีสะกิดแขนถามเมื่อเห็นฉันนั่งหงอยเป็นหมาเหงาอยู่คนเดียว จะเป็นไงได้ โทรไปก็ไม่ค่อยรับ รับแล้วก็ไม่ค่อยคุย คุยแล้วก็แบตหมด ถ้าแบตไม่หมดเธอก็บอกว่าสัญญาณไม่ดี ที่จริงเป็นสัน(เซ็นเซอร์) นิสัยถาวรมากกว่าไหม แหมทำไปได้ ไม่อายคน


    ฮึ เป็นแบบนี้นะไม่มีแฟนซะยังจะดีกว่า ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าเค้าจะอยู่ไหน ทำไร อยู่กับใคร ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีเธอแค่เหงา ไม่มีเขาแค่โสด ในหัวฉันตอนนี้สับสนจนเรียนไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย

                    “ไม่ได้เจอกันเลยอ่ะ เขางานยุ่ง ติดถ่ายภาพยนตร์ต้อนรับซัมเมอร์ของค่ายแบล็คไวท์มูฟวี่” ฉันพูดเซ็งๆ เอาหน้าไปซบลงบนแขนต่อ ไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากนึกถึง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลิกกันซะยังจะดีกว่า
     

                    “เฮ้ย เรื่องที่ยัยสแปลชเล่นเป็นนางเอกอ่ะเหรอ” ลูกหว้าเอาตาโตเท่าไข่ห่านของมันมาเสนอหน้าอยู่แนวลูกกะตาฉันพอดีเด๊ะ ตกใจหมด คนยิ่งระแวงยังจะเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำอีก

                    “อืม แต่ซีไม่มีทางชอบยัยนั่นหรอก เค้ายังเคยให้ฉันไปกันยัยนั่นไม่ให้ยุ่งกับเค้าเลย” น้ำเสียงไม่ได้มีความมั่นใจเลยซักติ๊ดนึง

                    “เอางี้ป่าว คืนนี้พี่โยจัดงานวันเกิด แกก็ไปกับฉันดิ เผื่อได้เจอซีไง” เริ่มสนิทเราก็เรียกแต่ชื่อย่อของซีแซนด์กัน
     

                    “มันจะดีเหรอ” ฉันเงยหน้าถามยัยซ่าหลี

                    “ดีสิ เธอก็ไปเป็นเพื่อนฉันไง พี่โยน่ะเป็นคนของประชาชน ยังไงฉันไปงานก็ได้ยืนแกล่วอยู่คนเดียวแน่ แกอ่ะยัยลูกหว้า นายด้วยออนเจ ไปด้วยกันป่าว” ซ่าหลีหันไปชวนลูกหว้ากับออนเจ แต่สองคนนั้นส่ายหน้าดิก

                    “คืนนี้บ้านเรามีปาร์ตี้ แม่ฉันทำหมูทะต้องรีบกลับไปช่วยกันทำ จะได้กินให้อร่อยไง” ครอบครัวยัยลูกหว้าน่าอิจฉานะ ถึงมันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เห็นมันเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังแล้วอบอุ่นดี กับแม่ก็สนิทเหมือนเพื่อน กับพ่อก็ขยันทำงานแล้วรีบกลับมาอยู่กับครอบครัว มีน้องเล็กๆ อีกสองคนที่น่ารักน่าชัง แถมมีออนเจคนรู้ใจไปอยู่บ้านเดียวกันอีก เฮ้อ อิจฉา
     

                    “งั้นทุ่มตรงแกมารับฉันละกัน เดี๋ยวบอกพี่โยว่าไม่ต้องส่งคนมารับ” โอ้โห เดี๋ยวนี้ก้าวหน้า มีส่งรถมารับกันไปงานวันเกิดด้วย นี่ฉันไม่ได้ตกข่าวอะไรไปใช่มะ

                    “ทำไมพี่โยให้ความสำคัญกับแกขนาดนั้นวะ อย่าบอกนะว่า” น่านไง พูดแค่นี้ซ่าหลีก็หน้าแดงทำเฉไฉมองออกนอกหน้าต่าง อืม คนมีความรักแล้วมักเป็นเด็กลงไปนิดนึง คนมีความรักมักจะชอบทำแววตาหวานซึ้ง อย่างยัยซ่าหลีนี่ชัวร์

                    “ฉันกับพี่โย เราคบกันแหล่ะ อ๊าย” โอ้ว แล้วก็ชอบว่ายัยลูกหว้าทำตัวเวอร์ เขินเกินพอดีไปแระแกอ่ะ
     

                    “ดีใจด้วยนะ” ลูกหว้ากับออนเจบอกฉันว่าสองคนนี้คบกันตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว แอบเห็นกอดกันในโรงยิมด้วย เลยโดนยัยซ่าหลีวิ่งไล่เตะเอาทั้งสองคน ที่บังอาจมาแอบดูฉากสวีทรักหวานแหวว

                   

                    ยัยซ่าหลีในชุดเดรสเกาะอกสีชมพูผูกโบว์ที่เอวขับผิวขาวของมันให้ผ่องขึ้นไปอีก และฉันในชุดราตรีไหล่เดียว ผ้าชีฟองสีฟ้าจับทวิสต์เอว แต่งคริสตันช่วงไหล่และช่วงเอวทำให้ฉันดูเป็นสาวเปรี้ยวอมหวานในคืนนี้

                    “ไม่น่าเกลียดเหรอแก เค้าไม่ได้ชวนฉันซะหน่อย” ฉันดึงแขนยัยซ่าหลีไว้ก่อนเดินเข้างาน

                    “ไม่หรอก แกเป็นแฟนน้องชายเค้านะ ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ” ฮึ พูดขึ้นก็ดีแล้ว ติดต่อไม่ได้มาสองวันเต็มๆ เจอหน้าแม่จะฉะให้
     

                    “พี่โยคะ ดูสิหลีพาใครมาด้วย” ยัยหลีพาฉันไปยืนโชว์ต่อหน้าพี่โย แต่สายตาพี่โยจับจ้องแต่ยัยหลี ไม่เคยเห็นสไตล์นี้ของมันอ่ะดิ แต่ฉันอ่ะแต่งแบบนี้ไปเที่ยวกับพี่โยจนชินแระ

                    “แล้วซีแซนด์ล่ะคะ” ฉันถามขึ้นก่อนที่สองคนนี้จะจ้องตากันจนท้อง

                    “อ๋อ อยู่ที่ริมสระว่ายน้ำน่ะ” พี่โยชี้ไปภายในงาน คืนนี้เป็นปาร์ตี้ริมสระน้ำ คนมันรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดหร๊อก ดูสิ แค่งานวันเกิด จัดยังกับงานแต่งงานแน่ะ

                    และเป้าหมายที่ฉันมองไว้ก็หล่อทะลุแก้วไวน์ที่บริกรถือผ่านหน้าฉันไปเลย ผู้ชายที่ฉันคิดถึงตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่นั่น ข้างกายเค้ามีผู้หญิงสวยยืนอยู่ข้างๆ และฉันจำได้แม่นเลย นางคือยัยอุกาบาตรนอกโลก ยัยสแปลช

                    “มองอะไรอ่ะซี จำไม่ได้หรือไงว่าเราตกลงอะไรกันไว้” ยัยสแปลชคล้องแขนซีแซนด์แล้วยิ้มเยาะเย้ยฉัน

                    “มันเกิดอะไรขึ้นซีแซนด์ นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่” ฉันตะโกนถาม
     

                    “พูดอะไรไปตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจหรอกยัยโง่” เอ้อ ฉันมันโง่ ก็โง่ที่ถูกเด็กอย่างนายหลอกเอาไง เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะผู้หญิงคนนี้ ยัยผู้หญิงหน้าด้าน ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ ใจเย็นไว้นะแอมแปร์ แกเป็นนางเอก ท่องไว้แกเป็นนางเอก จะทะเลาะตบตีแย่งผู้ชายไม่ได้ มันไม่ใช่นิสัยของนางเอก ถ้าฉันลงไม้ลงมืออีกก็ไม่ต่างจากเดิมที่ถูกบอกเลิกด้วยคำว่าฉันมันยัยโหด
     

                    “ฉันโอเคแล้วหล่ะ ว่าแต่พวกเธอคบกันอยู่เหรอ” เปลี่ยนโหมดจากกำหมัดแน่นหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเป็นยิ้มพิมพ์ใจยิ่งกว่านางสาวไทยปีนี้ให้ทั้งสองคน อันที่จริงนอกจากพี่โย แล้วก็เพื่อนฉันทั้งสองคน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเราคบกันแล้ว ก็โอเค๊ ในเมื่อนายอยากให้มันเป็นแบบนี้ฉันเล่นสงครามประสาทกับนายก็ได้

                    “ว่ายังไงล่ะ ฉันเป็นแฟนคลับนะ จะไม่บอกกันบ้างเลยเหรอ” นี่แหล่ะความน่ากลัวของผู้หญิง ลองได้เย็นชาบ้างแล้วล่ะก็ เหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้นแหล่ะ โดยเฉพาะคนอย่างนาย ซีแซนด์ คนที่บอกกับคนทั่วประเทศผ่านสื่อว่าไม่มีทางชอบผู้หญิงแก่กว่าตั้งสองปีอย่างฉัน แล้วก็คนที่บอกว่าชอบฉันในวันเดียวกัน นายกำลังทำฉันสับสนนะ ตกลงเราไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่ใช่มั้ย แค่นายบอกว่าชอบฉันแล้วฉันก็คิดไปเองล่ะสิว่าเราคบกัน

                    “เอาไว้ถ่ายหนังเรื่องนี้จบแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้เข้าใจฉันด้วยว่าคงให้เธอติดต่อไม่ได้” อืม ดี คลุมเครือแต่ก็ความหมายเดียว ให้ฉันเลิกยุ่งกับนายใช่มั้ย

                    “ได้สิ ฉันจะไม่โทรไปรบกวนนายแล้วหล่ะ สบายใจได้” ฉันหันหลังเดินจากภาพบาดตาบาดใจออกมา เจ็บปวดทรมาน ฉันไม่น่าไปหลงรักผู้ชายนิสัยแย่อย่างนายเลย ให้ตายสิ นายซีแซนด์

     

                    ฉันทิ้งเพื่อนสาวผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักไว้ในงานวันเกิดพี่โย แล้วขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย พ่อกับแม่ไปฮันนีมูนรอบที่ร้อยแล้วมั้ง รอบนี้ท่านไปออสเตรเลีย มีความสุขเกิ๊น ไม่ห่วงลูกมั่งเลย ไอ้น้องบ้าก็ไปเฝ้ายัยเด็กนุ่นที่บ้านจนเข้านอกออกในได้สบายใจเฉิบ ปล่อยพี่สาวมันอยู่คนเดียวแห้งเหี่ยวหัวใจ ฉันขับรถเหม่อลอยไปเรื่อยเพราะไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียวที่บ้านสิ้นสุดไปที่สะพานพระรามแปด
     

                    “นี่พี่แอมป์รึเปล่าฮะ” เสียงคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยิน หนุ่มน้อยน่ารักเด็กสายวิทย์คณิต เรียนเก่งที่สุดในชั้นปีที่ย้ายหนีฉันไปเรียนที่อื่นหลังจากเราเลิกกันนี่นา ฉันจอดรถนั่งเล่นอยู่บนสะพานพระรามแปด ไม่คิดว่าจะมีคนบ้ามานั่งเป็นเพื่อนฉันด้วย

                    “บังเอิญจังเลยเนอะ ที่เราได้กลับมาเจอกันอีกน่ะ” ฉันที่นั่งตีบทโศกอยู่พอมีหนุ่มน้อยหน้าหล่อมานั่งข้างๆ ก็รู้สึกอบอุ่นใจดีนะ เป็นใจกลางความรู้สึกดีๆ เหมือนมีเพื่อนมานั่งรับฟังปัญหาน่ะ

                    “อืม แล้วตอนนี้โอ๊ตไปอยู่ไหนแล้วหล่ะ ตั้งแต่ย้ายโรงเรียนก็ไม่ได้ข่าวโอ๊ตเลยนะ” ฉันหันไปยิ้มอย่างเป็นมิตร อย่างน้อยการบอกเลิกของโอ๊ตก็ทำฉันเจ็บน้อยที่สุดล่ะนะ
     

                    “พี่รู้อะไรมั้ย ผมคิดถึงพี่ทุกวันเลยนะ” ตอบไม่ตรงคำถาม แต่มันตรงเข้ามากระแทกใจฉัน

                    “อะไรกัน โอ๊ตเป็นคนบอกเลิกพี่แอมป์เองนะ จะมาคิดถึงพี่ทำไม” ฉันหัวเราะแก้เขิน ไม่เจอกันเกือบปี ดูเค้าเป็นหนุ่มขึ้นแล้วก็สูงขึ้น แล้วก็หล่อขึ้นมากเลยหล่ะ

                    “ตอนนั้นผมคิดแต่ว่าผมไม่คู่ควรกับพี่ ยิ่งพวกเพื่อนๆ หาว่าผมหลอกเอาเงินพี่ผมก็ยิ่งละอายใจ ผมไม่ได้อยากบอกเลิกพี่จากใจจริงนะครับ” โอ๊ตพูดไปก้มหน้าไป นายกำลังทำฉันสับสนอีกคนแล้วนะโอ๊ต ช่วงเวลาแห่งความเสียใจเวลามีใครซักคนเข้ามาเอาไหล่ให้ซบนี่มัน อืม ไม่ยังไงหรอกก็แบบว่ารู้สึกดี ฉันเอาหัวไปพิงไหล่โอ๊ตแบบที่ชอบทำตอนคบกับน้องคนนี้
     

                    “ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธหรอก” โกหก ตอนนั้นฉันโกรธมากเลยแหล่ะ เอาของที่โอ๊ตคืนมาทั้งหมดแจกคนใช้หมดเลย โมโหเมิ๊ก แต่ว่าตอนนี้โอเคแระ

                    “แต่พี่รู้อะไรมั้ยครับ” ทำไมมีแต่คนตั้งคำถามฉันแบบนี้นะ ถามว่าฉันรู้อะไรมั้ยทั้งที่ยังไม่บอกอะไรเลย

                    “อะไรเหรอ” ฉันถามทั้งที่ยังพิงไหล่โอ๊ตอยู่

                    “ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ผมเทียบพี่ไม่ได้แล้วนะ ที่ย้ายโรงเรียนเพราะผมต้องไปช่วยงานพ่อที่ต่างประเทศ พ่อผมประมูลงานที่ลอนดอนได้ เรากลายเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก แล้วตอนนี้ผมก็มีทุกอย่างเหมือนกับที่พี่มี ผมกลับมาหาพี่ จะขอชดเชยสิ่งที่ผมเคยขาดหายไปตอนคบกับพี่ ผมมีเวลาให้พี่แอมป์ตลอดปิดเทอมนี้เลยนะครับ” งั้นที่มาเจอกันบนนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะสิ เค้าตามหาฉันนี่เอง

                    “แล้วมาเจอพี่ที่นี่ได้ไงอ่ะ” ฉันหันไปมองที่จาร์กัวรุ่น XJ ราคาเหยียบสิบสามล้านที่พึ่งเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ว้าว รวยจริงอะไรจริงนะค๊าเนี่ย

                    “แฮะๆ อันที่จริงผมไปที่บ้านพี่แล้วเค้าบอกว่าพี่ไปงานวันเกิดพี่โย ผมก็เลยตามไป พอเห็นพี่ขับออกมาเลยขับตามมา ไม่ได้บังเอิญเจอกันจริงๆ หรอกฮะ” โอ๊ตหัวเราะน่ารักน่าหยิก ฉันก็หัวเราะด้วยรู้สึกหมั่นเขี้ยวเลยจี๋เอวเค้าไป แล้วเราก็หยอกล้อกันเหมือนไม่เคยเลิกกันมาก่อน แต่ความรู้สึกฉันที่มีต่อโอ๊ตคือคิดว่าโอ๊ตเป็นน้องชายคนนึงเท่านั้นเอง

                    เรานั่งดูดาวด้วยกันอยู่พักนึงก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์สี่สูบแล่นมาด้วยความเร็วสูง ชะลอ แล้วก็ขับผ่านไปด้วยความเร็ว มีรถอีกหลายคันมาจอดลงมายืนดูดาวเหมือนเรา บางคนเอาเสื่อมาปูปิกนิคข้าวเหนียวไก่ย่างด้วย
     

                    “กลับกันเหอะ” ฉันลุกขึ้นยื่นมือไปให้โอ๊ตจับ แต่แรงฉุดจากโอ๊ตที่ตัวหนักยังกับหินทำเอาฉันเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของรุ่นน้องสุดหล่อ ก่อนจะตั้งสติผลักอกเค้าออกแล้วจัดเสื้อผ้า

                    “พี่ยังไม่ตอบผมเลยนะ” ตอบอะไรอ่ะ เล่นเอางง

                    “ไม่ต้องทำหน้างงเลย ผมบอกแล้วว่าผมกลับมาตามหัวใจที่หล่นหาย พี่ไงหัวใจของผม พี่ยังไม่ตอบเลยว่ายังรู้สึกดีกับผมอยู่รึเปล่าน่ะ” ไอ้รู้สึกดีก็รู้สึกดีอยู่หรอกนะ แต่ไอ้จะให้กลับไปคบกันนี่มันก็เร็วไปหน่อยมั้ง ฉันกำลังเสียใจอยู่นะ

                    “เอ่อ พี่ว่า เอ่อ มัน มันเร็วเกินไปนะ หายไปตั้งนาน แถมเป็นคนบอกเลิกพี่อีก จะมาขอคบกันง่ายๆ แบบนี้ได้ไงอ่ะ” ฉันหันหลังให้เพราะทำหน้าทำท่าทางไม่ถูก
     

                    “แปลว่าพี่ก็ไม่ปฏิเสธใช่มั้ยถ้าผมจะไปจีบพี่ที่โรงเรียน” จริงสิ โอ๊ตปิดเทอมแล้ว แต่โรงเรียนของฉันยังไม่ปิด คงได้แตกฮือกันแหล่ะที่มีหนุ่มหล่อแต่งตัวเท่ห์ๆ ขับรถหรูๆ ไปเดินป้วนเปี้ยนที่โรงเรียน

                    “ในโรงเรียนไม่เหมาะหรอก ไว้หลังเลิกเรียนดิ” อ๊ะ นี่ฉันพลาดอะไรอีกแล้วรึเปล่า ฉันอนุญาตให้เค้าตามจีบฉันเรอะ แต่ฉันก็โสดแล้วนี่นา จะมีหนุ่มมาตามจีบก็จะเป็นไรไป แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วยเนี่ย

                    เลิกคิดดีกว่า ฉันแยกกับโอ๊ตเสร็จก็รีบขับรถกลับบ้าน รู้สึกเหมือนมีใครขับรถตามเลยแฮะ หวังว่าฉันคงไม่ถูกสั่งเก็บหรอกนะ ไม่เอาไม่คิดมาก รีบกลับไปอาบน้ำนอนดีกว่า

                   

                    “มุงดูอะไรกันแต่เช้าเนี่ย เกะกะขวางทางชะมัด” ฉันบีบแตรสองที กลุ่มไทยมุงก็กระจายกันไปจนเห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทางเข้าประตูโรงเรียนเหลือแคบนิดเดียว

                    “นายโอ๊ตเหรอเนี่ย” ฉันถอยรถชิดกำแพงโรงเรียนแล้วรีบลงไปจัดการ

                    “มาแล้วเหรอครับพี่แอมป์ ผมรอตั้งนานแน่ะ” เสียงใสแจ๋วของหนุ่มน้อยดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาฉัน

                    “บอกแล้วไงว่าอย่ามาที่โรงเรียน” กอดอกหน้าดุตำหนิให้รู้สำนึก แต่โอ๊ตกลับทำหน้าทะเล้น

                    “พี่บอกว่าไม่ให้ไปในโรงเรียนนี่ฮะ แต่ผมอยู่หน้าโรงเรียนนะ ไม่ได้เข้าไปในโรงเรียนซะหน่อย” จริงของม๊าน

                    “แล้วมาทำอะไรแต่เช้า บอกว่าให้มาหลังเลิกเรียน” หาเรื่องด่าจนได้

                    “ก็ผมคิดถึงพี่นี่ฮะ อ่ะนี่ ผมเอามาฝากจากลอนดอน” กล่องเครื่องสำอางชั้นดีครบเซทยื่นอยู่ตรงหน้า จำได้ว่าฉันเคยบ่นว่าอยากได้ แต่มันคงแพงเกินแล้วก็คงไม่ไหวถ้าต้องบินไปซื้อถึงลอนดอน นี่โอ๊ตยังจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อยู่เลยอ่ะ ฉันรับของขวัญจากแดนไกลมาไว้ในครอบครองแล้วยิ้มแก้มปริให้โอ๊ตบ่งบอกว่าฉันปลื้มของขวัญชิ้นนี้

                    “เมื่อก่อนผมไม่เคยให้อะไรพี่เลย ต่อจากนี้ไปผมจะเป็นฝ่ายให้ เย็นนี้เจอกันนะฮะ” โอ๊ตส่งจุ๊บให้ฉันก่อนจะเดินขึ้นรถราคาสิบกว่าล้านขับออกไป เหมือนฝันเลยแฮะ
     

                    รถจาร์กัวคันงามแล่นจากไป ไทยมุงก็กระจายหายไป มีเพียงเสียงฮือฮานินทาฉัน ความฮอทกลับมาแล้วเฟ้ย ไม่เหมือนตอนคบกับนักร้องดังที่ไม่เห็นมีใครพูดถึง ไม่มีใครอิจฉาฉันเลย แล้วก็เจ็บจี๊ดๆ ที่ใจไม่ใช่มีความสุข แต่ยัยแอมป์เธอกำลังจะลืมอะไรไปรึเปล่า ซีแซนด์เป็นคนที่ทำให้ใจเธอเต้นแรงในแบบที่ไม่เคยได้รับจากใครนะ

                    ไม่ว่าจะคบกับใครมาซักกี่คน แต่คนที่รู้สึกตื่นเต้นใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดและทำให้เขินอายทุกครั้งก็คือซีแซนด์ แต่เค้าให้เธอรอจนกว่าจะปิดกล้องภาพยนตร์ยัยรุ่นที่กำลังถ่ายทำอยู่ไม่ใช่เหรอ แค่เดือนเดียวแกจะรอไม่ได้เชียวเหรอเนี่ย โอ้ย แต่ไอ้เดือนเดียวนี่ต้องไม่ติดต่อกันด้วยเหรอ แล้วมันต่างอะไรกับเลิกกันล่ะ

                    “ณัฐชญาดา เหม่ออะไรจ๊ะ ณัฐชญาดา นี่แม่ณัฐชญาดา” อุ้ย ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่ออาจารย์ตะโกนอยู่ข้างหู เพื่อนรักทั้งสองคนทำไมไม่ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์สร้างฝันของฉันก่อนที่อาจารย์จะมายืนจ้องหน้าฉันเนี่ย

                    “ขาอาจารย์” ฉันยืนขึ้นก้มหน้าให้อาจารย์

                    “กรุณาตั้งใจเรียนด้วยนะจ๊ะ ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว คะแนนเก็บก็ไม่ค่อยดีนะเธอเนี่ย” อาจารย์เดินกลับไปจรดปากกาเคมีไปบนไวท์บอร์ดต่อแล้วก็สอนๆๆ โธ่อาจารย์ขา ลูกสาวคนรวยแบบหนูถึงจะสอบได้คะแนนไม่ดีหนูก็ไม่ตกงานหรอกค่ะ ว่าไงนะ จะหาว่าฉันใช้ชีวิตประมาทงั้นเหรอ แหมๆ ฉันก็แค่ไม่เก่งวิชาเลขเท่านั้นแหล่ะ ก็มันยากนี่นา

                    “เย็นนี้ไปบ้านฉันกันมั้ย แม่ฉันจัดเลี้ยงฉลองครบรอบเปิดร้านมาครบสามสิบปีน่ะ” ยัยแมงปอเดินมาชวนออนเจ

                    “ไปมั้ยลูกหว้า” ออนเจหันมาขอความเห็นลูกหว้าซึ่งยัยนั่นทำหน้าหงิก หึงล่ะสิท่า

                    “ถ้านายอยากไปก็ไป แต่ฉันไม่ไป” ลูกหว้าเก็บกระเป๋าเดินหนีออนเจ แต่ออนเจหันมายิ้มให้แมงปอก่อนจะเดินตามลูกหว้าไป

                    “ยัยดั้งหักนั่นมีอะไรดีนะ ออนเจถึงได้หลงขนาดนั้น ชิ” แมงปอเก็บกระเป๋าเดินออกห้องเรียนไปเช่นกัน

                    “วันนี้ฉันต้องกลับก่อนนะแอมป์ พี่โยจะไปกินข้าวที่บ้านฉันน่ะ” แล้วซ่าหลีก็จากฉันไปอีกคน ฉันยังคงนั่งที่โต๊ะเรียนเหมือนเดิม ว่าก็ว่าตั้งแต่มีเรื่องของซีแซนด์เข้ามาในชีวิตการเรียนฉันก็แย่ลงนิดนึง เค้าไม่ได้ทำอะไรหรอก เป็นฉันเองที่เอาแต่พะวงคิดมากเรื่องเค้า ถ้ามีความรักแล้วแบ่งเวลาไม่ถูก ก็ไม่ควรมีนะ เพราะถ้าจะรักก็ต้องมีขอบเขต รู้เวลา รู้หน้าที่ เรามีหน้าที่เรียน จะรักใครก็ต้องตั้งใจเรียน
     

    เฮ้อ คิดไปก็เท่านั้น ให้นายโอ๊ตติวให้ดีกว่า เด็กอะไรก็ไม่รู้ ตอนคบกันก็เป็นคนติวหนังสือให้ฉัน เค้าอ่านหนังสือแตกฉาน ให้สอนวิชาอะไรเค้าก็สอนได้ทั้งที่ยังไม่ได้เรียน เห็นบอกว่าอ่านหนังสือของม.ปลายจบทุกเล่มแล้วด้วย เก่งเวอร์ชะมัดเลย

    “รักเธอคนนี้ 24ชั่วโมงเช้าสายบ่ายเย็นก็ยัง I love you” ฉันเกือบลืมพี่แกงส้มไปแล้วนะเนี่ย ก็โทรศัพท์ฉันไม่ได้ใช้งานมาหลายวันแล้วอ่ะดิ อิอิ

    “ฮาโหล” ฉันส่งเสียงตอบ

    “พี่ทำอะไรอยู่อ่ะ ผมจะโดนนักเรียนหญิงที่นี่ทึ้งตายแล้วนะ” เสียงหอบแฮ่กๆ ของโอ๊ตมาจากปลายสาย

                    “ขอโทษทีกำลังเก็บกระเป๋าน่ะ” ฉันรีบเก็บหนังสือยัดใส่กระเป๋า ปิดกระดุมแล้วเดินออกจากห้องเรียน

                    “ผมหลบอยู่ในห้องน้ำหลังป้อมยามเนี่ย พี่ออกมารับผมทีนะ ผมไม่ได้เอารถมา” ถึงกับต้องหนีสาวๆ เข้าไปอยู่ในห้องน้ำเลยรึเนี่ย แต่โอ๊ตก็ดูดีขึ้นมากจริงๆ นั่นแหล่ะ แบบว่าหล่อมากอ่ะ

                    “โอเค เดี๋ยวพี่เอารถไปรับ ถึงแล้วจะบีบแตรโอ๊ตก็รีบออกมาขึ้นรถละกัน” ฉันรู้สึกขำๆ กับความสดใสวัยรุ่นของโอ๊ต แต่ดูๆ ไป ก็น่ารักดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้ลืมนึกถึงซีแซนด์ได้ชั่วคราวหล่ะน่า
     

                    “พี่ทิ้งผม” ซีแซนด์สะบัดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อพูดด้วยอาการงอนน้ำเสียงปนหอบ เร่งแอร์ปรับช่องลมไปหาตัวเอง

                    “ทิ้งอะไรอ่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” ฉันขับรถต่อไปทั้งที่ยังไม่รู้จุดหมายว่าจะไปไหน

                    “ทิ้งให้ผมรอพี่ตั้งสิบห้านาที” อืม ทีเมื่อก่อนฉันรอนายเป็นชั่วโมงยังไม่บ่นซักคำ เดี๋ยวไปติวที่สถาบันติววิชา ไหนจะไปทำกิจกรรมแข่งขันกับอาจารย์ รอแค่นี้ทำบ่น

                    “ถ้ารอไม่ได้พรุ่งนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะ” คงอึ้งไปหนึ่งอึดใจเพราะเมื่อก่อนฉันเป็นคนคอยตามเค้าตลอด คอยง้อตลอด แต่ตอนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นอ่ะ ประมาณว่าไม่ต้องมาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

                    “พี่อ่ะ ผมไม่งอนแล้วก็ได้ฮะ พี่พาผมแวะที่นึงก่อนได้มั้ยฮะ” กลับมาทำหน้าทะเล้นเหมือนเดิมแล้ว อุ้ย น่ารักอ่ะ

                    “ไปที่ไหนล่ะ พี่จะได้ขับไปถูก” แทนที่จะตอบเอาแต่อมยิ้มอยู่ได้ มีความสุขอะไรนักหนา
     

                    “พี่ขับไปตามที่ผมบอกละกันฮะ” แล้วเนวิเกเตอร์ก็นำทางชี้ให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เข้าซอย ไม่นานนักเราก็มาอยู่หน้าโรงแรมสุดหรูใจกลางเมือง จุดมุ่งหมายเดตแรกในการเจอกันครั้งใหม่กลับเป็นโรงแรมเดอะพิสตันกรุ๊ป  ฉันเคยพาเค้ามาเลี้ยงที่ห้องอาหารซึ่งมีอาหารทุกชาติและมีห้องจัดเลี้ยงจำรองธรรมชาติไว้ตอนเดตแรกที่ฉันคบกับโอ๊ต เค้าคิดจะทำอะไรกันแน่นะ

                    “ทำไมมาที่นี่ล่ะ” ฉันหันไปถาม

                    “ผมบอกพี่แล้วไงฮะ ว่าจะชดเชยสิ่งที่ผมไม่เคยทำให้พี่ ผมเป็นผู้ชายนะครับ” ก็รู้แล้วหล่ะว่าเป็นผู้ชาย แล้วก็เป็นผู้ชายที่หล่อ เท่ห์มากคนนึงด้วย

                    “ขอบใจจ๊ะ” โอ๊ตลงรถเดินมาเปิดประตูให้ฉันแล้วยื่นแขนให้ฉันจับ ฉันก็นึกสนุกคล้องแขนเขาเดินไปตามพรมสีแดงหรูหรา ยังสวยงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยที่นี่ จะเปลี่ยนก็มีแต่ป้ายที่ติดว่ามีงานเปิดตัวพระเอกและนางเอกเรื่อง Summer Of Love ร้อนนี้มีรัก ผลงานของเดซี่มิคาเอล ไม่อยากจะเชื่อเลย นักเขียนเห่ยๆ งานเขียนห่วยๆ ยังมีคนเอาไปทำภาพยนตร์ (มันพาลเพราะเรื่องนายซีแซนด์น่ะ เจ้ไม่ถือ:เดซี่)

                    “หยุดทำไมล่ะครับพี่” โอ๊ตก้มหน้ามาถามเมื่อฉันหยุดเดินเอาแต่จ้องมองป้ายโฆษณานั่น

                    “พี่แอมป์” เรียกอีกครั้งให้ฉันได้สติ

                    “อะ อ่ะจ๊ะ ว่าไงโอ๊ต” ฉันหันมามองหน้าโอ๊ต
     

                    “ผมถามพี่ว่าพี่หยุดทำไมน่ะฮะ ไปเหอะ” ฉันขืนตัวนิดนึงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องไม่คิดถึงผู้ชายคนนั้น ผู้ชายอย่างอีตาซีแซนด์นั่นหาที่ไหนก็ได้ ไม่สนใจหรอก ไม่สนซักนิด แค่รู้สึกแปลบๆ ที่หัวใจที่เห็นภาพยัยนั่นโอบกอดกับซีแซนด์ แม้จะแค่ภาพโปสเตอร์ก็เหอะ ฮึ่ม อยากไปฉีกทิ้ง ฉันคงไม่ได้สนใจเรื่องแค่นี้หรอก ใช่มะ

                    “โทษที พอดีพี่รู้จักสองคนนี้อ่ะ” ฉันชี้ไปที่ภาพโปสเตอร์

                    “อ๋อ นักร้องที่ได้เล่นหนังอ่ะเหรอหล่อดีเนอะแต่น้อยกว่าผมนิดนึงฮะฮะ อ้อแต่ผมไม่ชอบยัยนางเอกนี่เลย แต่งตัวยังกับดาวยั่วน่าจะไปเล่นหนังโป๊ซะให้รู้แล้วรู้รอด พวกนักศึกษาไทยที่นู่นนะ ด่าลงเน็ตไม่เว้นแต่ละวันเลยอ่ะ”  นึกว่าฉันคนเดียวที่เกลียดมัน

                    “ของที่เตรียมไว้พร้อมแล้วค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวสวยในชุดเรียบร้อยติดป้ายชื่อว่ารินรดาเดินมาเชิญเราสองคนให้เดินไปในห้องจัดเลี้ยงที่เตรียมไว้
     

                    “ทำไมไม่เห็นมีใครเลยล่ะ” ห้องจัดเลี้ยงวารี ปกติเปิดให้คนเข้ามารับประทานอาหารนี่นา ทำไมวันนี้ไม่มีคนเลยแฮะ แต่วงดนตรีก็เล่นตามปกตินี่นา เสียงน้ำตกปลอมไหลซู่ซ่า อากาศเย็นสบาย ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงร่วมสมัยชิวสไตล์

                    “ก็วันนี้ผมเหมาห้องนี้สำหรับเราสองคนไงฮะ” ย๊าก หูฉันคงไม่ได้ฝาดไปใช่มั้ย ไอ้เด็กบ้านี่ปิดห้องจัดเลี้ยงราคาแพงนี่เลี้ยงฉัน

                    “สำหรับเดตแรกของเราในการเจอกันครั้งใหม่ พอจะทำให้ลืมเรื่องไม่ดีที่ผมเคยทำไว้ได้มั้ยฮะ” โอ๊ตเดินมาเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันก่อนจะเดินกลับไปนั่งตรงข้าม ฮ้า โรแมนติกจังเลยอ่ะ ไฟถูกปิดไปเหลือแสงสว่างของเวทีและโคมไฟระย้ากลางห้อง ยังมีเทียนหอมแกะสลักสวยงามหลายสีตั้งอยู่บนโต๊ะ กลิ่นอโรมาหอมอ่อนๆ โอ้ย ทำไมถึงได้ดีกับฉันขนาดนี้นะ ปกติรวยอ่ะ ทำไรก็เป็นคนจ่ายตลอด พอมีใครมาทำอะไรให้แบบนี้เลยหัวใจพองโต

                    “พี่กลัวอ้วนผมเลยสั่งเสต็กปลากับสลัดผักให้นะครับ” โอ๊ตหั่นปลาเป็นชิ้นพอดีคำก่อนจะส่งจานมาให้ฉัน เอาใจมาก มากกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงยังไม่เคยคิดจะทำเลยแบบนี้อ่ะ

                    ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่เงียบ

                    “มองหน้าผมทำไมฮะ ตกหลุมรักผมอีกรอบแล้วอ่ะดิ” พูดไปขำไป แต่ฉันสะดุ้งสุดตัว ไม่ได้มองเพราะชอบแบบนั้นนะ แต่ว่ากำลังปลื้มใจอ่ะ

                    “ปล่าวย่ะ กินเข้าไปเลย เอ้านี่ๆ กินๆ” ฉันตักพริกในถ้วยซุปเห็ดสูตรเผ็ดไปใส่จานข้าวของโอ๊ต

                    “พี่อ่ะ แกล้งผมอีกแระ” แล้วเราสองคนก็หัวเราะไปกินไป แกล้งกันไป จากนั้นก็สั่งของหวานเป็นเยลลี่ผลไม้สำหรับฉัน ส่วนของโอ๊ตสั่งฟรุตสลัด อันที่จริงก็สั่งให้ฉันทั้งสองอันนั่นแหล่ะแต่ว่าบังคับให้โอ๊ตกินช่วย ผู้ชายไม่ค่อยชอบของหวานอ่ะนะ
     

                    “อิ่มแน่นะ” นายถามฉันเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้ง ท้องจะแตกตายอยู่แล้ว

                    “แน่สิ กลับกันเหอะ” เหมือนเดิมโอ๊ตเดินอ้อมมาขยับเก้าอี้ให้ฉันลุก ผู้ชายแบบนี้มีอยู่ในโลกแห่งความจริงด้วยเหรอเนี่ย ฉันนึกว่ามีแต่ในนิยาย

                    “พี่ฮะ ผมอยากไปดูตัวเป็นๆ ยัยนางเอกดาวยั่วอ่ะ แวะไปห้องจัดเลี้ยงภูคาหน่อยนะฮะ” ห้องภูคาเป็นห้องจัดเลี้ยงที่จำลองเอาวิวภูเขามาไว้ในนั้น จะไปทำไมอ่ะ

                    “อย่าเลย กลับเหอะ พี่อิ่มแล้วง่วงอ่ะ”

                    “ไม่เสียเวลามากหรอกพี่ เราเดินผ่านห้องนั้นอยู่แล้วนะ” ฉันกำลังหาข้อแก้ตัวแต่โอ๊ตชิงพูดขึ้นซะก่อน

                    “หรือว่าพี่มีอะไรเกี่ยวกับดาราชายคนนั้นอ่ะ หรือไอ้นักร้องนั่นมันทำอะไรพี่ บอกผมมาผมจะไปจัดการมันเอง” เอ้า ไปกันใหญ่แล้ว ถูกครึ่งนึงที่ไอ้นักร้องนั่นมันทำพี่แอมป์ของโอ๊ตเจ็บที่ตรงหน้าอกข้างซ้าย แต่ถ้าจะไปทำอะไรเค้าข้ามศพฉันไปก่อนย่ะ
     

                    “ไม่มีอะไรจริงๆ อย่าสนใจเลย” คนเรายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ บอกว่าอย่าสนใจยิ่งถามมากขึ้น

                    “แสดงว่ามี พี่บอกผมสิฮะว่ามันทำอะไร พี่บอกผมสิ” โอ๊ตจับไหล่ฉันเขย่าเบาๆ

                    “พี่รักเค้า ได้ยินมั้ยโอ๊ตว่าพี่รักเค้า” น้ำอุ่นๆ กำลังจะเอ่อออกมา มันน้อยใจตั้งแต่เห็นภาพนั่นแล้วนะ ทำไมต้องทำให้นึกถึงขึ้นมาอีก จบเห่กันดินเนอร์สุดหรู ฉันก็ไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจโอ๊ตหรอกนะ แต่ว่าฉันก็โกหกใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี
     

                    “พี่จะไปรักมันได้ยังไง ในเมื่อมันมียัยนางเอกนั่นเกาะติดเป็นตังเมขนาดนั้นน่ะ เฮอะ” โอ๊ตตบหน้าผากตัวเองหมุนตัวไปอีกด้าน คงไม่อยากเห็นหน้าฉันสินะ ฉันไม่ดีเองที่ไม่บอกตั้งแต่แรกว่ารักคนอื่นอยู่ ยังให้ความหวังน้องอีก

                    “ยัยนั่นชอบเกาะคนอื่นดัง เค้าก็รักพี่เหมือนกัน แต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ พี่คิดว่าเรากำลังคบกันอยู่ แต่พอเค้าถ่ายหนังเรื่องนี้เค้าก็เปลี่ยนไป เค้าห้ามไม่ให้พี่ติดต่อไปจนกว่าจะถ่ายหนังเรื่องนี้จบ” ฉันเล่าให้โอ๊ตฟังแล้วน้ำตาก็ไหล
     

                    “พี่ฮะ อย่าร้องสิ ผมแพ้น้ำตานะ เรื่องนี้ผมว่าต้องเป็นเพราะยัยหน้าสวยนั่นแหล่ะที่เป็นตัวต้นเหตุ”

                    “อะไรทำให้คิดแบบนั้นอ่ะ” โอ๊ตเดินเข้ามาจับหัวฉันไปพิงที่ไหล่แล้วโอบไหล่ฉันลูบไปมา

                    “เช็ดน้ำตาก่อนนะครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง” ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาซับน้ำตา

                    “มันแปลกตรงที่ทำไมต้องไม่ติดต่อแค่ปิดกล้อง ทำไมไม่ห้ามตลอดไป ผมว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ” นั่นสิ ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ ก็คนมันน้อยใจอ่ะ ความผิดหวังมันทำให้ฉันปิดหูปิดตาอยู่
     

                    “พี่ไม่ต้องห่วงนะฮะ ผมบอกแล้วว่าผมกลับมาครั้งนี้เพื่อจะชดเชยสิ่งที่ผมทำไว้ ขอเวลาแปบเดียวยัยดาวยั่วจะไม่มายุ่งกับแฟนพี่แน่” จากที่เกลียดยัยสแปลช ตอนนี้ฉันชักจะสงสารขึ้นมานิดนึงแล้วเพราะไม่รู้ว่าโอ๊ตจะใช้วิธีไหนจัดการยัยนั่น

                    “อย่าทำอะไรเค้าเลยโอ๊ต ต่างคนต่างอยู่เหอะ เค้าถ่ายทำกันแค่เดือนเดือน พี่รอได้ เอางี้นะ พี่เลิกร้องไห้แล้ว โอ๊ตสัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่ไปทำไรยัยนั่นน่ะ” โอ๊ตไม่สัญญาได้แต่ยิ้มให้ฉันอย่างน่ารัก ค่อยเป็นโอ๊ตคนเดิมหน่อย เอ๊ะ เหมือนใครเดินผ่านหน้าประตูไป คงไม่มั้ง เพราะโอ๊ตสั่งพนักงานที่นี่แล้วว่าไม่ให้รบกวนพวกเรา หลังจากเช็คบิลแล้ววงดนตรีก็กลับกันหมดเหลือแค่เราสองคนนี่นา ผีหลอก ผีโรงแรมหลอกฉันแต่หัวค่ำเลย
     

                    “พี่ว่าเรากลับกันเหอะ” จากร้องไห้กลายเป็นขนลุกขนพอง คนยิ่งกลัวๆ อยู่

                   

                    ความจริงตอนนี้ฉันควรกลับมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศที่โอ๊ตสร้างให้ เพราะโปรแกรมต่อจากกินข้าวคือนั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในใจฉันมีแต่ซีแซนด์ แล้วก็เรื่องของยัยอุกกาบาตนอกโลกสแปลชนั่นน่ะ นายโอ๊ตก็พูดอะไรไม่รู้ จะไปจัดการยัยนั่น เดี๋ยวก็เป็นเรื่องจนได้

                    ““รักเธอคนนี้ 24ชั่วโมงเช้าสายบ่ายเย็นก็ยัง I love you” จะหลับอยู่แล้วมาปลุกหนูทำไมคะพี่แกงส้ม ฉันควานหาโทรศัพท์หัวที่นอนแล้วกดรับโดยไม่ได้มองชื่อ
     

                    “ฮาโหล ดึกป่านนี้หัดมีมารยาทซะบ้างสิ แค่นี้นะ” ฉันกำลังจะกดวางเพราะหงุดหงิดที่ถูกรบกวนยามดึกแต่เสียงปลายสายทำฉันตาสว่าง

                    “อยากตายก็ลองวางดูสิ” ชัดเจน แน่นอน เสียงซีแซนด์ดังจากปลายสาย

                    “ซีแซนด์เหรอ ทำไมเป็นนายล่ะ” จับต้นชนปลายไม่ถูก ก็นายเป็นคนห้ามฉันโทรหานี่นา

                    “ทำไมเป็นฉันไม่ได้ รึว่าอยากให้ไอ้หน้าอ่อนนั่นเป็นคนโทรมา” ไปกันใหญ่แล้ว นายห้ามฉันแต่ตัวเองกลับโทร แล้วไอ้หน้าอ่อนไหนอี๊ก ถ้าเป็นนายโอ๊ตนั่นน่ะ ซีแซนด์นายยังหน้าอ่อนกว่าเค้าอีกน๊า

                    “อะไรของนายเนี่ย พูดไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่แล้วนะ” ฉันเริ่มขึ้นเสียง

     

                    “ฉันมันพูดไม่รู้เรื่องนี่ ไม่เหมือนเจ้าของรถจาร์กัวนั่นใช่มั้ยล่ะ เธอเสร็จมันแล้วสิ” หยาบคายที่สุด

                    “ถ้าจะโทรมาด่าก็แค่นี้นะ” พูดไปงั้นแหล่ะแต่รอฟังว่าเค้าจะพูดว่าไง

                    “ออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้” นี้เป็นประโยคคำสั่งใช่มั้ย

                    “ไม่” จะให้ดูนายสวีทหวานแหววกับยัยนั่นเหรอ

                    “ถ้าเธอไม่ออกมาฉันจะปีนรั้วเข้าไปหาเธอเดี๋ยวนี้แหล่ะ” ว่าไงนะ จะปีนรั้ว งั้นเค้าก็อยู่หน้าบ้านน่ะสิ

                    “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” ฉันลุกพรวดขึ้นไปหยิบผ้าคลุมไหล่แล้ววิ่งลงบันไดด้วยความเร็วสูง

                    “มาแล้ว” ฉันเปิดประตูรั้ว คนใช้ทั้งบ้านคงหลับหมดแล้ว ปาเข้าไปเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอนมาบุกบ้านฉันไมเนี่ย

                    “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

                    “ไม่มีอะไรต้องคุยกัน ฉันเข้าใจที่นายบอกแล้ว ฉันก็ไม่ได้โทรไปหานายนี่ นายจะเอาอะไรกับฉันอีก” เรายืนเถียงกันอยู่หน้าบ้าน ฉันไม่เห็นเจ้าไอเทมแต่เห็นรถเบนท์หรูคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน อย่าบอกนะว่าเค้าเปลี่ยนพาหนะเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลย รักเจ้าไอเทมนักไม่ใช่เหรอ

                    “ไม่ได้โทรหาฉัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอไปยั่วผู้ชายอื่นนะ” พูดบ้าอะไรเนี่ย

                    “ฉันไปยั่วใครมิทราบ”

                    “ก็ไอ้หน้าอ่อนที่เธอนั่งหัวเราะร่าอยู่กับมัน กอดมันกลางสะพานพระรามแปดไง” ฉันหน้าเหวอหรือว่าเสียงเครื่องยนต์รถสี่สูบที่ชะลอแล้วก็เร่งเครื่องไปนั่นเป็นรถของซีแซนด์

                    “ทำไมไม่พูดว่าไม่จริงล่ะ พูดไม่ได้น่ะสิเพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เธอไปยืนให้มันกอดน่ะ”

                    “เพี๊ยะ” ฝ่ามือเรียวงามของฉันฟาดไปที่ใบหน้าของซีแซนด์จนหมอนั่นหน้าหงาย หวังว่าคงได้สติขึ้นมามั่งนะ

                    “ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ถ้านายเห็นฉันกับโอ๊ต นั่นคืออุบัติเหตุ ฉันจะล้มเค้าแค่ประคองไว้ ก็เท่านั้น” ซีแซนด์หันหน้ากลับมาแล้วเอามือลูบหน้าสองสามที

                    “ก็ถ้านั่นเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วที่เธอออดอ้อนออเซาะกอดกันกลมที่โรงแรมเดอะพิสตัสเมื่อหัวค่ำนี้ก็บังเอิญด้วยสินะ” อ๊ะ คนที่เดินผ่านห้องนั้นคือซีแซนด์ไม่ใช่ผี แต่พอเป็นนายบ้านี่เลยน่ากลัวกว่าผีอีกนะ แล้วฉันก็ตบเค้าไปซะแรงอีกด้วย จะแก้ตัวไงดีเนี่ย
     

                    “เรื่องนั้น เอ่อ เรื่องนั้นมัน”  ฉันนึกหาคำแก้ตัวแต่คงไม่ทันใจแล้วซีแซนด์ก็กระชากแขนฉันโยนเข้าไปในรถ ก่อนจะเดินไปประจำที่นั่งคนขับแล้วออกรถทันที

                    “นายจะไปไหนน่ะ ละ แล้วนี่รถใครเหรอ” ฉันหันไปถามซีแซนด์ที่หน้าบึ้งตึงกัดกรามกรอด

                    “ทำไมเหรอ หรูสู้รถไอ้หมอนั่นไม่ได้รึไง” เออดีจริง ถามอย่างตอบอย่าง พาลนี่หว่า ฉันเลยคาดเข็มขัดแล้วนั่งเงียบตลอดทาง เวลาโมโหนี่ขับรถกลางคืนสบายมากเลยนะ ฉันน่ะสิไม่ชอบกลางคืน ก็กลัวผีไงเล่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×