ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    🍴ปรุงรสให้หลงรัก💘🍜🍴

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่หนึ่งโจ๊กลูกเดือย : รีไรท์

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 64


     

    เหล่าพนักงานในห้องอาหารต่างก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร เริ่มตักซุปหูฉลามใส่ปากช้า ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ กลืนลงไป

    "เอาออกไป" เป็นสามคำสั้น ๆ ที่ทำให้เหล่าพนักงานในห้องอาหารแห่งนี้อยากจะหลั่งน้ำตา

    จานอาหารตรงหน้าถูกสับเปลี่ยนออกไป หลังจากคนที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะใช้ช้อนตักชิมไปเพียงคำเล็ก ๆ เท่านั้น จนพนักงานในร้านอดที่จะคิดไม่ได้ว่า วันนี้ถ้าลูกค้าท่านนี้กลับไปแล้ว พวกเขาจะบอกให้เจ้าของร้านทำบุญร้านครั้งใหญ่เสียทีก็ท่าจะดี

    "จืดไป"

    พนักงาน A “…” น้ำแกงของร้านเขามันจืดตรงไหน จืดตรงไหนเอาปากกาแดงมาวงเดี๋ยวนี้

    "ปลามีกลิ่นคาว"

    พนักงาน B “…” ก็นี่มันน้ำแกงปลา คุณพี่จะให้มันมีกลิ่นกุหลาบเหรอวะครับ

    "เลี่ยนไป"

    พนักงาน C “…” ขาหมู… นี่มันคือขาหมูตุ๋นไงล่ะขอรับคุณลูกค้า จะไม่ให้มันมีไขมันได้ยังไงล่ะครับคุณพี่ ไม่อยากกินอะไรเลี่ยน ๆ กระผมขอแนะนำให้คุณพี่เดินไปร้านฝั่งตรงข้าม แล้วไปสั่งสลัดผักกับไข่ต้มมากินเอาเลยขอรับคุณลูกค้า

    "เครื่องเทศเยอะไปเหม็น"

    พนักงาน E “...” คุณลูกค้าครับ ก็นี่มันคือพะโล้เครื่องในหมูนะครับ ถ้าไม่ให้ใส่เครื่องเทศ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะครับถามจริง ถ้าไม่ใส่เครื่องเทศมันก็จะกลายเป็นลวกจิ้มแล้วนะครับ

    "ผักนี่เหม็นเขียว"

    พนักงาน F ที่ถูกเพื่อนถีบเข้ามาพลีชีพ “…” ก็นี่มันผัดกวางตุ้งน้ำมันหอย… แล้วนี่ก็คือเมนูเด็ดที่รองหัวหน้าพ่อครัวภูมิใจมากเลยนะครับ คุณลูกค้าพูดแบบนี้ รองหัวหน้าพ่อครัวนี่แอบไปร้องไห้แล้วนะ

    "สุกเกินไป"

    พนักงาน A ที่กลับมารับกรรมอีกรอบ “…” อ่า ครับสุกไปก็สุกไปวะ ขี้เกียจมานั่งเถียงในใจแล้ว จิตปล่อยวาง ๆ

    "ไม่ชอบหมูหัน"

    พนักงาน B “…” แล้วจะสั่งมาทำพรือ…

    หลังจากพนักงานเดินถือจานอาหารกลับไปกลับมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง…

    นี่ก็คือความคิดของเหล่าพนักงานทั้งหลาย “…” จะเลือกกินยังไงก็ให้มันมีขอบเขตกันหน่อยสิโว้ย!

    เพราะความเรื่องมากจู้จี้จุกจิ๊กจับผิดได้ทุกเรื่องของลูกค้ากิตติมศักดิ์ ทำเอาเหล่าบรรดาผู้จัดการพนักงานพ่อครัว และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาหารในมื้อนี้ ต้องพากันแอบหลั่งน้ำตาอยู่ในใจกันโดยทั่วหน้ากัน

    ฮึก ๆ ทำไมราชาแห่งการเลือกกินถึงได้แวะเข้ามาที่ร้านของพวกเขาได้กัน? ทำไมหวยถึงได้มาเลือกออกที่ร้านของพวกเขา ตามปกติแล้วลูกค้าเข้าร้านมาแถมยังสั่งอาหารมื้อใหญ่ ทางร้านก็ควรจะดีใจใช่ไหม? แต่คุณลูกค้าที่เป็นราชาแห่งการเลือกกินคนนี้ มันดันไม่เหมือนกับลูกค้าคนอื่นไง ดังนั้นพวกเขาดีใจไม่ออกหรอก ฮื่อ ๆ

    เป็นที่รู้กันดีในวงการว่า ถ้าหากราชาแห่งการเลือกกินคนนี้เข้าไปกินอาหารที่ร้านอาหารร้านไหน แล้วไม่ยอมกินอาหารร้านนั้นเลยสักจาน ร้านอาหารนั้นก็จะถูกประณามว่ารสชาติอาหารไม่ถึงขั้นจนสมควรจะต้องถูกลดดาวลง แล้วตอนนี้ราชาแห่งการเลือกกินคนที่ว่านั่นกำลังนั่งมาอยู่ในร้านของพวกเขา แถมยังดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกใจกับอาหารจานไหนของพวกเขาเลยสักจานอีกด้วย ฮื่อ ๆ ไอ้คนเลือกมาก ชาติหน้าขอให้เอ็งไปเกิดที่อลาสก้า แล้วต้องออกไปล่าแมวน้ำมาทำกับข้าวกินเอง

    ตอนนี้พนักงานในร้านตลอดจนเหล่าบรรดาพ่อครัว กำลังรู้สึกกลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะถ้าพ่อราชาแห่งการเลือกกินคนนี้ ไม่ยอมกินอาหารจานไหนของร้านเลยสักจาน พวกเขาก็สามารถบอกได้เลยว่า ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของร้านนี้จะต้องจบลงในวันนี้แน่

    "ผู้จัดการครับเราจะทำยังไงกันดี" พ่อครัวใหญ่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

    "คุณเป็นพ่อครัวคุณยังไม่รู้แล้วผมจะรู้ไหมหา! หรือว่าจะให้ผมไปเจียวไข่ไปเสิร์ฟให้ลูกค้าลองชิมดูดีไหมล่ะ" ผู้จัดการร้านหันไปตอบพ่อครัวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ก็ยังไม่วายอดไม่ได้ที่จะพูดประชดออกมา

    เหล่าพ่อครัวกับพนักงานพอได้ยินผู้จัดการร้านพูดออกมาอย่างนั้น พวกเขาก็ต่างพากันส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทันที จะให้คนที่ต้มไข่ยังไหม้ ไปเจียวไข่ให้ลูกค้ากินงั้นหรือ อย่าเลยจากที่ร้านจะพอมีทางรอด ถ้าให้ผู้จัดการบ้าจี้เจียวไข่ไปให้ลูกค้ากินเข้าจริง ๆ คราวนี้มีหวังร้านได้เจ๊งจริงอะไรจริงแน่ ดังนั้นพอเถอะผู้จัดการพ่อครัวขอร้อง…

    เมื่อไม่สามารถจะทำอะไรกับราชาจอมเลือกกินได้ เหล่าพ่อครัวที่มีสีหน้าราวกับกำลังจะร้องไห้ จึงทำได้แค่เพียงมองหน้ากันไปมา เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่พวกเขาทำอาหารไม่อร่อย แต่ปัญหามันอยู่ที่ลิ้นอันแสนจะจู้จี้จุกจิกของพ่อราชาจอมเลือกกินคนนั้นต่างหากเล่า มันใช่ความผิดของพวกเขาเสียที่ไหน

    “หรือจะให้ผมลองทำคั่วกลิ้งไปให้ลูกค้าชิมดีครับ คั่วกลิ้งสูตรเจ้าคุณทวดของผมนะเด็ดอย่างนี้เลย” พนักงานเสิร์ฟ B ผู้ซึ่งมีคุณทวดเป็นคนใต้และมีสูตรคั่วกลิ้งรสเด็ดประจำตระกูล เสนอความคิดว่าตนเองจะเป็นคนทำคั่วกลิ้งรสเด็ดไปให้ลูกค้าชิมเพื่อที่จะกอบกู้วิกฤตของร้าน

    ป้าบเข้าให้ พ่อครัวใหญ่ประจำร้านยกมือขึ้นมาตบหัวพนักงาน B ไปหนึ่งป้าบ โทษฐานเสนอเมนูอาหารไม่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้าน

    “แหกตาดูสักนิดไอ้จ่อยว่าที่นี่มันที่ไหน ที่นี่มันเป็นร้านอาหารจีนโว้ยไม่ใช่ร้านอาหารใต้ แล้วต่อให้คั่วกลิ้งสูตรคุณทวดเอ็งจะอร่อยจริงอะไรจริง แต่มันก็เอาออกไปเสิร์ฟให้ลูกค้ากินไม่ได้อยู่ดีโว้ย” ถึงแม้พ่อครัวใหญ่จะรู้ว่าคั่วกลิ้งสูตรของจ่อยจะอร่อยจริงอะไรจริง แต่มันก็ไม่สามารถเอาไปเสิร์ฟให้ลูกค้าได้อยู่ดี

    แต่ทันใดนั้นเองผู้จัดการร้านก็พลันปิ้งไอเดียบรรเจิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผู้จัดการกวาดสายตามองเหล่าบรรดาพ่อครัวกับพนักงานในร้านด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

    “พ่อครัวและพนักงานทุกคน วันนี้ถึงเวลาเราจะได้ดึงเอาศักยภาพที่เก็บซ่อนเอาไว้ของพวกเราเอาออกมาใช้กันแล้ว เอาล่ะใครมีสูตรเด็ดสูตรลับสูตรเจ้าคุณปู่คุณย่าอะไรที่คิดว่าเด็ดก็ให้ไปลองทำมาเลย ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นของคาวหรือของหวาน ไม่เกี่ยงว่าคนทำจะเป็นพ่อครัวใหญ่หรือว่าเด็กล้างจาน ของเพียงมันแถว่าเป็นอาหารจีนได้ก็ให้ไปลองทำมาเลย ยกเว้นเอ็งไอ้จ่อย แกงส้ม แกงเหลือง คั่วกลิ้ง ไข่ครอบ หมึกต้มหวานสูตรเด็ดของเอ็งนั่นถึงมันจะอร่อย แต่มันเป็นอาหารใต้ และมันแถไม่ได้ว่าเป็นอาหารจีน ดังนั้นเอ็งจงเป็นหน่วยกล้าตายไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าแทนก็แล้วกัน”

    “เข้าใจผู้จัดการเถอะนะจ่อยนะ ถึงกับข้าวบ้านจ่อยจะอร่อยแต่มันผิดคอนเซปต์ของร้านวะจ่อย” พอผู้จัดการพูดจบก็เดินไปตบหลังจ่อยเบา ๆ อย่างต้องการที่จะปลอบใจจ่อย

    "หมดแล้วหรือยัง?" ราชันย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ สายตาของราชันย์เหลือบมองจานอาหารที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาที่เฉยเมย

    จ่อย “…” อะไรคือหมดรึยัง? อาหารทุกชนิดในร้านที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ พ่อคุณเล่นเอาลิ้นมาแตะ ๆ แล้วก็วางช้อนลงเสียดื้อ ๆ แถมบางจานแค่จะเหลือบมองเฉย ๆ พ่อเจ้าประคุณก็ยังไม่ยอมที่จะเหลือบมองเสียด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาถามว่าอาหารหมดหรือยังอีกเรอะ!

    จ่อยขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ตอนนี้ตั้งแต่ผู้จัดการยันพนักงานเสิร์ฟน่ะ แทบอยากจะพุ่งเข้าไปกินหัวคุณลูกค้าอยู่แล้วนะครับ แต่มันก็ดันทำไม่ได้ไงโว้ย ขันติ ขันติ ท่องไว้ไอ้จ่อยว่าลูกค้าคือพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจะเอาปังตอมาเฉาะหัวพระเจ้าไม่ได้นะ ขันติ ขันติ ขันติ โว้ยจ่อย!

    แต่ก่อนที่จ่อยกับคนในร้านจะสติหลุดจนจับเอาราชันย์มาสับเป็นชิ้น ๆ และตุ๋นยาจีนกินให้หายแค้น คุณเจ้าของร้านอย่างอินทนิลหรือว่ามาสเตอร์ของทุกคนก็ถือหม้อโจ๊กเดินเข้ามาเสียก่อน ราชันย์จึงรอดจากแผนฆาตกรรมคนแล้วเอาเนื้อมาตุ๋นยาจีนไปได้อย่างหวุดหวิด

    "ยังมีอาหารเหลืออยู่อีกหนึ่งจานครับ"

    น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ที่ดังมากระทบเข้ากับโสตประสาทของราชันย์และกลิ่นของอาหารหอมกรุ่นที่โชยมา ทำให้ราชันย์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่มาของเสียงและกลิ่นอาหารนั่น

    ราชันย์ผู้ซึ่งได้ฉายาจากเหล่าเชฟกับเหล่าพ่อครัวว่าราชาแห่งการเลือกกิน ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเมื่อมองเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวสมส่วนคนหนึ่ง กำลังค่อย ๆ ประคองถาดอาหารเดินเข้ามายังโต๊ะที่เขากำลังนั่งอยู่อย่างช้า ๆ

    ชายหนุ่มคนนั้นกวาดสายตามองจานอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับพนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ด้านข้าง พอพนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น พวกเขาก็รีบกรูกันเข้ามาเคลียร์จานอาหารทั้งหมดบนโต๊ะออกไปอย่างรวดเร็ว

    ชายหนุ่มหันกลับมาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้แก่ราชันย์ราวกับต้องการจะขออภัยราชันย์กับความไม่สะดวกนี้อยู่กลาย ๆ ซึ่งทันทีที่ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาในห้อง ราชันย์ก็สัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศภายในห้อง และท่าทีของผู้จัดการ พ่อครัว ตลอดจนพนักงานเสิร์ฟที่ทำหน้าที่ให้บริการอยู่ในห้องนี้ก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงทันที

    “อาหารจานนี้เป็นอาหารจานสุดท้ายแล้วครับ และถ้าอาหารจานนี้ของเราไม่สามารถทำให้คุณพอใจได้ผมจะปลดป้ายชื่อร้านของเราลง และจะไม่คิดค่าอาหารคุณลูกค้าเลยแม้แต่บาทเดียว” ชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่ารอยยิ้มนี้กลับส่งไปไม่ถึงดวงตา

    “ผมแค่อยากทานอาหารอร่อย ๆ” ราชันย์อธิบายกลับไปสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ตัวของเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่อยากให้ชายหนุ่มตรงหน้านี้เข้าใจเขาผิด

    ราชันย์แอบลอบพิจารณาชายหนุ่มผู้มาใหม่อยู่อย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มคนนี้ผิวขาวจัดแต่ดูแล้วไม่น่าจะมีเชื้อสายของชาวจีน การแต่งกายก็ดูจะเรียบง่าย เพราะเจ้าตัวสวมใส่แค่เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวคอกลมแบบง่าย ๆ แต่ตัวเสื้อกลับปักลวดลายสีแดงสดไว้ที่ชายเสื้อ ส่วนกางเกงก็เป็นเพียงแค่กางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีขาวที่ดูเรียบง่ายเท่านั้น

    แต่สิ่งที่สะดุดตาราชันย์มากที่สุด กลับเป็นเส้นผมสีดำสนิทราวกับขนนกกาน้ำที่ถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยอย่างง่าย ๆ และปักตรึงเอาไว้ด้วยปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่งนั่นต่างหาก เมื่อราชันย์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายจนเต็มตา อยู่ ๆ หัวใจที่คิดว่ามันได้กลายเป็นก้อนหินไปแล้ว มันก็พลันเต้นระรัวราวกับว่ากำลังจะหลุดออกมาจากอกออกมาได้ทุกเวลาก็ไม่ปาน

    เพราะถึงใบหน้าของอีกฝ่ายจะหาใช่ใบหน้าที่งดงามหวานล้ำ แต่มันก็เป็นใบหน้าของชายชาตรีที่มีสัดส่วนทองคำที่ยังคงไว้ด้วยลักษณะของชายชาตรีจนครบถ้วน ราชันย์เหลือบมองไปเห็นว่าที่ติ่งหูทางด้านซ้ายของอีกฝ่ายมีรอยเจาะหูเอาไว้ และดุเหมือนว่าทั่วทั้งเนื้อทั้งตัวของชายหนุ่มผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงปิ่นไม้ไผ่เพียงด้ามเดียวที่เป็นเครื่องประดับเพียงเท่านั้น

    อาจเป็นเพราะว่าราชันย์ไม่ได้เจอคนที่สามารถทำให้เขาสนใจได้มานานแล้ว ราชันย์จึงเผลอเหม่อมองชายหนุ่มผู้มาใหม่อยู่เสียนาน จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเรียกเขาว่าคุณลูกค้านั่นแหละ สติของราชันย์ถึงได้กลับเข้าร่างแบบสมบูรณ์

    “คุณลูกค้าครับ คุณลูกค้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่ารู้สึกไม่สบายที่ตรงไหน”

    อินทนิลขมวดคิ้วมองคนที่นั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก วันนี้เขามาที่ร้านก็เพราะต้องการมาตรวจดูความเรียบร้อยของร้านตามปกติ แต่ว่าเมื่อเขาเปิดประตูครัวเข้าไป สายตาของเขาก็พบเข้ากับภาพของความวุ่นวายราวกับว่าวันนี้เป็นวันสิ้นโลกแล้วก็ไม่ปาน

    หลังจากนั้นพอเขาจับตัวพนักงานคนหนึ่งในครัวมาถามไถ่ ก็ได้ความมาว่าราชาแห่งการเลือกกินได้มาเยือนที่ร้านของเขาเข้าให้แล้ว ตอนแรกอินทนิลก็รู้สึกว่ามันออกจะน่าตลกไปสักหน่อย ที่เหล่าบรรดาพ่อครัวกับผู้จัดการร้านตลอดจนพนักงานเสิร์ฟ หรือแม้กระทั่งเด็กล้างจานจะหวาดกลัวลูกค้าคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้

    แต่พออินทนิลได้ยินวีรกรรมของราชันย์ ที่ทำให้เหล่าพ่อครัวและร้านอาหารทั้งหลายต้องหลั่งน้ำตาเท่านั้นแหละ สีหน้าของอินทนิลก็พลันเย็นชาขึ้นมาหลายส่วนทันที

    สำหรับเรื่องของรสนิยมในการกินนั้น อินทนิลมองว่านี่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เพราะรสอร่อยของแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกันไป บางคนชอบรสเปรี้ยว บางคนชอบรสเค็ม บางคนชอบรสหวาน บางคนชอบอาหารที่มีรสขมเจือจาง อีกทั้งยังมีรสอร่อยที่เรียกกันว่าอูมามิอีกด้วย สำหรับรสเผ็ดร้อนที่คนหลายคนชื่นชอบกันนั้น ถึงจะไม่ได้ถือว่าเป็นหนึ่งในรสชาติทั้งห้าด้วย เพราะว่านั่นเป็นเพียงอาการแสบร้อนของลิ้นที่เกิดจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่เป็นสารที่พบอยู่ในพริกและเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อนหลายชนิดนั้น จะไม่ถูกนับรวมว่าเป็นรสชาติด้วยก็เถอะ แต่ความแสบร้อนที่ถึงใจแบบนี้เขาเองก็ชื่นชอบมันไม่แพ้กับรสชาติทั้งห้าเหมือนกัน

    ดังนั้นการที่มีคนอย่างราชันย์มาเดินเข้าเดินออกร้านอาหารร้านนั้นร้านนี้ แล้วไปเที่ยวสร้างปัญหาให้กับร้านอาหารและพ่อครับไปจนทั่วนั้น อินทนิลจึงรู้สึกไม่ชอบใจนัก

    โรคของคนรวยที่ไม่รู้จักว่าความรู้สึกตอนที่ท้องว่าง และไม่เคยลิ้มรสชาติของความหิวโหยสินะอินทนิลคิด และเพื่อเป็นการตัดปัญหา อินทนิลจึงตัดสินใจที่จะลงมือปรุงอาหารให้กับคุณลูกค้าเจ้าปัญหาด้วยตัวเอง

    กว่าราชันย์จะรู้สึกตัวกลับมา มือขาวแข็งแรงที่ดูคล่องแคล่วว่องไวของอินทนิล ก็เริ่มตักโจ๊กในหม้อแบ่งใส่ลงถ้วยใบเล็กวางลงตรงหน้าของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ราชันย์ถึงกับขมวดคิ้วฉับเข้าหากัน เมื่อเขาเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ดูขัดตาที่กระจายตัวอยู่ทั่วมือขาวผ่องที่ดูแข็งแรงคู่นั้น จนเขาเผลอคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้อย่าไม่รู้ตัว

    “รอยแผลเป็นพวกนี้?” ราชันย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ

    “มันคือผลลัพธ์ในความพยายามของพ่อครัว มันคือความทรงจำและเป็นเหรียญตราแห่งเกียรติยศของพ่อครัวครับคุณลูกค้า” อินทนิลดึงมือกลับมาอย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะตอบราชันย์กลับไปด้วยน้ำเสียงที่ระรื่นหู

    “ทานให้อร่อยนะครับ” อินทนิลส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้กับราชันย์ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้ราชันย์มองตามหลังของเขาไปจนสุดสายตา

    รอจนกระทั่งประตูห้องปิดลงอีกครั้ง แต่ราชันย์ก็ยังคงจ้องมองประตูบานนั้นอยู่อีกพักใหญ่ จากนั้นราชันย์ก็ก้มหน้าลงมองชามโจ๊กลูกเดือยในชามแบ่งที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมาตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่มีใครอ่านออก ชายหนุ่มเป่าโจ๊กเล็กน้อยก่อนที่จะกินมันเข้าไป หนึ่งช้อนสองช้อนสามช้อน

    “เติมอีก” ราชันพูดออกมาเสียงเรียบ

    เหล่าพนักงานที่ให้บริการอยู่ในห้องวีไอพีทุกคน “…” โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยบวชชี! ราชาแห่งการเลือกกินเรียกให้ตักอาหารเพิ่มโว้ย ฮื่อ ๆ ร้านเรารอดแล้ว

    ผู้จัดการร้านที่เห็นว่าร้านรอดแล้วแน่ ๆ รีบกระวีกระวาดเดินเข้ามาตักโจ๊กลูกเดือยถ้วยใหม่ให้ราชันย์ด้วยตัวเองด้วยความปลื้มปริ่ม สมกับเป็นมาสเตอร์จริง ๆ ปราบราชามารแห่งการเลือกกินลงได้ด้วยโจ๊กเพียงถ้วยเดียวแบบนี้

    “เติมอีก” คำ ๆ นี้ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งผู้จัดการร้านแทบอยากจะยกหม้อไปให้ราชันย์เลียมันเสียเลย โจ๊กถ้วยที่เจ็ดหมดลงพร้อม ๆ กับที่ภายในหม้อดินที่ใส่โจ๊กมาก็ว่างเปล่า

    “เอาแบบนี้มาอีกหม้อ” ราชันย์สั่งโจ๊กมาเพิ่มเมื่อเห็นว่าผู้จัดการร้านมองหม้อโจ๊กนิ่ง และไม่ได้ตักโจ๊กเพิ่มให้กับเขาอีกแล้ว

    “คือไม่มีแล้วครับ นี่เป็นโจ๊กที่เจ้าของร้านลงมือปรุงขึ้นมาด้วยตัวเองครับ” ผู้จัดการพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจ

    “อื่ม…” ราชันย์ส่งเสียงอื่มออกมาคำหนึ่งเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว

    “ชื่อว่าอะไร?” ราชันย์ถามขึ้นมาอย่างลอย ๆ

    "ครับ ชื่อผมเหรอครับ?" ผู้จัดการร้านเริ่มงงที่อยู่ ๆ เขาก็ถูกราชันย์ถามชื่อ

    “คนที่ทำโจ๊กหม้อนี้ชื่ออะไร ฉันอยากเจอ” ราชันย์มองชามเปล่าที่ใส่โจ๊กด้วยแววตาที่เป็นประกายวาววับ

    "อ๋อ โจ๊กลูกเดือยหม้อนี้ก็คือมาสเตอร์ยังไงล่ะครับ แล้วมาสเตอร์ก็คือคนที่ยกโจ๊กมาเสริฟให้คุณลูกค้านั่นแหละครับ" ราชันย์ถามมาแบบที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ผู้จักการร้านกลับตอบกลับไปแบบที่ดูเหมือนน่าจะตรงคำถาม แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ค่อยตรงคำถามด้วยเหมือนกันมันเสียอย่างนั้น

    “ช่วยเรียกเขามาพบผมที” ราชันย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะกดดัน

    “คงจะไม่ได้หรอกครับคุณลูกค้า เพราะว่าตอนนี้มาสเตอร์น่าจะกลับไปแล้วล่ะครับ” ผู้จัดการส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างสุภาพ

    “เรียกเขากลับมา” ราชันย์เริ่มออกคำสั่งกับผู้จัดการของร้านอย่างเคยชิน

    คราวนี้ผู้จัดการร้านถึงกับส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด ก่อนที่จะรีบพูดปฏิเสธออกมาทันที “ไม่ได้หรอกครับคุณลูกค้า มาสเตอร์จะไปจะมาก็ทำตามใจตัวเองเท่านั้นครับ แถมมาสเตอร์ยังเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงเสียด้วยครับ ไอ้เรื่องที่จะให้เรียกมาสเตอร์กลับมานี่ คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับคุณลูกค้า”

    “เอามา” ราชันย์พูดขึ้นลอย ๆ

    “ครับ?” ผู้จัดการร้านถึงกับยืนงง เอาอะไร คุณลูกค้าจะเอาอีกอะไรอีกล่ะนี่

    “เอาช่องทางที่จะติดต่อเขาได้มา” ราชันย์พูดย้ำขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

    “หา แต่ว่า....” ผู้จัดการร้านถึงกับอ้าปากค้าง คุณลูกค้าจะเอาช่องทางติดต่อมาสเตอร์ไปทำอะไรล่ะครับ

    “ไม่มีแต่เอามา แล้วจะช่วยเขียนรีวิวร้านให้สามย่อหน้า” ราชันย์เริ่มคิดที่จะติดสินบนผู้จักการร้าน ส่วนไอ้เรื่องเขียนรีวิวอะไรนั่นน่ะ ประเดี๋ยวเขาค่อยให้เลขาของเขาเขียนให้ แล้วค่อยให้เลขาของเขาโพสด้วยบัญชีโซเชี่ยลของเขาเอาก็ได้

    “เนื้อหาของการรีวิวขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ” ราชันย์พูดข่มขู่ผู้จัดการร้านออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคุณเลขาที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะถึงกับต้องหันควับมาจ้องหน้าบอสของตัวเองเสียจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า

    คุณเลขา “…” ทำไมบอสเป็นคนแบบนี้ครับ ดูสิผู้จัดการร้านถูกบอสขู่จนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วนะครับนั่น

    ผู้จัดการร้าน “…” เอ่อ ถ้าเขาให้ช่องทางติดต่อของมาสเตอร์ไป เขาก็ต้องโดนมาสเตอร์ฆ่าแน่ แต่ถ้าไม่ให้เขาก็จะโดนราชาแห่งการเลือกกินนี่ฆ่าแทน แล้วเขาเลือกอะไรได้ไหม? ผู้จัดการร้านแอบคร่ำครวญอยู่คนเดียวในใจ

    เอาวะ! ตายเป็นตาย ถ้าเขาบอกช่องช่องทางติดต่อมาสเตอร์ให้ลูกค้าไป ผลลัพท์อย่างที่เลวร้ายที่สุดเขาก็แค่ถูกมาสเตอร์หักเงินเดือน หรือไม่ก็ลงโทษให้เขาไปเป็นเด็กล้างจานสักสองสามเดือนก็แค่นั้น แต่ถ้าเขาไปขัดใจคุณลูกค้าเจ้าปัญหาคนนี้เข้า แล้วคุณลูกค้ากิตติมศักดิ์ท่านนี้เกิดบ้าจี้เขียนรีวิวร้านนี้แบบเสียหาย ๆ ขึ้นมาจริง ๆ เข้าแล้วล่ะก็ คราวนี้ถ้าร้านเจ๊งขึ้นมา แม้แต่เด็กล้างจานเขาก็คงหมดโอกาสที่จะเป็นแล้ว

    ส่วนผู้จัดการร้านหลังจากที่ถูกราชันย์ขู่บังคับเอาช่องทางติดต่อของอินทนิลไปจนได้นั้น ตอนนี้ผู้จัดการร้านก็เลยต้องมานั่งก่นด่าโชคชะตาของตัวเองอยู่คนเดียวด้วยน้ำตานองหน้า ฮื่อ ๆ เขาจะต้องโดนมาสเตอร์ฆ่าตายแน่ ๆ โฮ ๆ ฮื่อ ๆ

    เหล่าบรรดาพ่อครัวและพนักงานของร้านทุกคน ต่างก็พากันมายืนจุดเทียนไว้อาลัยให้ผู้จัดการร้านผู้โชคร้าย และต่างก็หวังว่ามาสเตอร์คงจะไม่ลงโทษผู้จัดการร้านหนักมือนัก ก็เอาเถอะน่าผู้จัดการ อย่างมากมาสเตอร์ก็คงแค่ลงโทษให้คุณไปล้างจานสักเดือนสองเดือนเท่านั้นเองน่า อย่าไปคิดมากเลย สู้ ๆ ก็แล้วกันนะผู้จัดการ ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละ มีขึ้นมีลง วันนี้เป็นผู้จัดการพรุ่งนี้ก็เป็นเด็กล้างจานได้ ถ้าปลงได้ก็ปลงเสียเถอะครับผู้จัดการ

    ตัดมาทางราชันย์มองดูอีเมลของอินทนิลที่ได้มาจากการข่มขู่ด้วยแววตาที่เป็นประกายวาววับ พ่อครัวที่ทำอาหารได้ถูกปากเขานั้นหาได้ยากแค่ไหน พ่อครัวที่เขาถูกตาต้องใจทั้งตัวคนและฝีมือการทำอาหารกลับหาได้ยากยิ่งกว่า

    ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าคน ถ้าหากเป็นสิ่งที่เขาถูกใจแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการแบบไหนเพื่อให้ได้มาก็ตาม เขาก็จะพยายามเอามาเป็นคนของเขาให้ได้ ราชันย์แห่งอาณาจักรคิงคอร์ปอเรชั่นยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ ที่ริมฝีปากเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่เขาติดใจตั้งแต่แรกเห็น

    “แล้วพบกันเร็ว ๆ นี้นะครับมาสเตอร์...”

    .............................................

    ต่อจากนี้จะค่อย ๆ ทยอยรีไรท์และทยอยลงไปเรื่อย ๆ นะครับ

    ไม่เทครับจบแน่แต่อาจจะช้าหน่อย หัวเราะแห้ง ๆ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×