ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : อดีตของดวงตะวัน

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 53


    ตอนที่สาม



    “ลอเรนข้ามีอะไรอยากจะถามเจ้าหน่อยได้ไหม”เอลราสเดินถามขึ้นหลังจากออกมาจากห้องรักษา ดวงตาสีฟ้าล้ำลึกจ้องมองร่างของเด็กชายตรงหน้าอย่างคาดคั้นเป็นเชิงสื่อว่า ห้ามเลี่ยงคำถามนี้เด็ดขาด ลอเรนสบเข้าก็ชะงักแล้วพยักหน้าแกนๆ




    “มีอะไรหรือขอรับท่านเอลราส”




    “เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นกันแน่ ใครเป็นคนทำ”เอลราสเอ่ยถามเรียบๆ ขณะเดินเข้าไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในห้องรับแขก เด็กชายผมสีน้ำตาลเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ส่วนหมอเลอซัสก็ก้าวฉับๆเข้าไปนั่งเบียดกับเอลราสโดยไม่สนใจสายตาจิกกัดที่อีกฝ่ายส่งมาให้ คนผมทองระบายลมหายใจอย่าไม่มีอารมณ์จะเถียงด้วย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เด็กชายที่นั่งเงียบคล้ายกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่พอโดนจ้องมากๆเข้าสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เล่าเรื่องที่ตนเห็นมาทั้งหมดโดยไมคิดจะปิดบัง สีหน้าของผู้ใหญ่สองคนเรียบเฉยๆขึ้นเรื่อยๆ เอลราสเปลี่ยนจากการยิ้มอ่อนโยนมาเป็นยิ้มเหี้ยมเกรียม อีกทั้งคุณหมอเลอซัสที่ยิ้มระรื่นเสมอก็ไร้ความรู้สึกจนหน้ากลัว




    “หึๆๆๆๆๆ”เอสราสหลุดเสียงหัวเราะหน้ากลัวออกมา จนเด็กชายถึงกับสะดุ้งถอยหลัง เลอซัสคลายใบหน้าเรียบเฉยแล้วมองคนข้างๆอย่างเหนื่อยใจ




    คิดอะไรพิเรนๆ อีกล่ะสิท่า ถึงได้หัวเราะแบบนี้ เลอซัสคิดใจในก่อนจะยกมือขึ้นโบกหัวทองๆนั้นจนหน้าคว่ำ




    “โอ้ย! เจ็บนะ! เจ้าทำบ้าอะไรหาเลอซัส!” คนโดนตบหัวร้องโวยวาย บรรยากาศแปลกๆที่โผล่ออกมาเมื่อครู่จางหายไป มือขาวกุมส่วนที่โดนทำร้าย เจ็บจนน้ำตาเล็ด ไอ้ดำงี่เง่า! ร่างเล็กกว่าตวัดสายตาเอาเรื่องคนตัวโตอย่าคาดโทษ




    “เจ้ากำลังทำให้ลอเรนตกใจ ข้าเลยช่วยเรียกสติให้ก็เท่านั้น”ร่างสูงตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะก้มหลบหมัดพิฆาตที่คนตัวเล็กกว่าส่งมาอย่างอาฆาตแค้น ลุกขึ้นจากที่นั่งเดิมแล้ววิ่งหลบไปทั่วห้อง แล้วในที่สุดเขาก็หันมาโบกมือไล่เด็กชายที่กำลังมองทั้งคู่ตาแป๋วให้ออกไปจากห้องเพื่อให้ตนจัดการอะไรๆได้สะดวกขึ้น




    “เจ้าหาวิธีเรียกสติแบบอื่นไม่ได้เรอะไงหา! ทำไมต้องตบหัวด้วย มันเจ็บนะ”เอลราสโวยวาย พลางคว้าของที่อยู่ใกล้ๆตัวมาโยนใส่เจ้าคนที่กำลังหลบไปทั่วห้อง ตั้งแต่หนังสือ ขวดหมึก แก้วน้ำชา แจกัน...จนเมื่อเอลราสทำท่าจะยกเก้าอี้ขึ้น ร่างสูงก็ปราดเข้ามาประชิดตัวแล้วจับมือทั้งสองของคนคลั่งล๊อกไว้อย่างแน่นหนาจนกระดิกตัวไม่ได้




    “ปล่อยข้านะ เลอซัส!”เอลราสร้องอย่างหงุดหงิด พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่เหมือนแขนเจ้าคนตรงหน้าจะทำด้วยเหล็ก จะดิ้นจะสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด สุดท้ายก็ต้องนิ่งอย่างหมดทางเลือกแล้วสั่งเสียงหงุดหงิด




    “ข้าหยุดแล้วนะเจ้าจะปล่อยข้าได้รึยัง!”




    “ก็ได้ๆ ปล่อยก็ได้ แหม เสียดายนะเนี้ย น่าจะดิ้นอีกสักหน่อย หึๆๆ”เลอซัสทำหน้าเสียดายติดหมับ เล่นเอาเลือดสูบฉีดไปทั่วใบหน้าขาวๆจนแดงซ่าน สบถด่าเจ้าดำที่ปล่อยมือออกไป ก่อนจะตีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง




    “ข้ามีเรื่องจะให้เจ้าไปทำให้หน่อยได้ไหม”




    “เรื่องอะไรล่ะ”เลอซัสแกล้งเลิกคิ้วอย่างกวนประสาท เอลราสร้องเชอะอย่างฉุนๆ




    “ไม่ต้องมาแกล้งเซ่อ คิดหรือว่าข้าจะเชื่อ เจ้าเป็นถึง เลอซัส เทอร์มิส เทพอัศวินเทอร์มิสองค์ที่สามสิบหกเชียวนะ!”



    ………………….

    อีกด้านหนึ่ง




    แลนซ์กำลังนั่งมองเด็กชายผมทองที่กำลังนั่งทานข้าวต้มเงียบๆ จริงๆแล้วเขารู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ามีอะไรแปลกๆ เพราะหลังจากประโยคทำความรู้จักเมื่อครู่ ร่างตรงหน้านี้ก็ไม่ปริปากพูดขึ้นมาอีกเลยไม่ว่าเขาจะพยายามชวนคุยขนาดไหนก็ตามจนเขาต้องยอมแพ้นั่งมองเด็กชายเงียบๆ สุดท้ายจึงถือโอกาสพิจารณารูปลักษณ์ซะเลย ดวงหน้าขาวๆติดจะซีดเซียวส่อแววเศร้าหมอง ดวงตาสีฟ้าครามกระจ่างใสบัดนี้มีม่านหมอกหม่นแสงมาบดบังให้ประกายต่างๆหายไปสิ้น...ผมสีทองเป็นประกายล้อแสงเรืองรองของโคมไปข้างๆเตียงทำให้เด็กชายตรงหน้ามองดูราวกับภาพวาดที่จิตรกรบรรจงวาดอย่างสวยงามและเศร้าสร้อย ผ่านไปสักพักเมื่อคนที่เขามองอยู่ก็ตวัดสายตามามองราวรู้ตัว แลนซ์รีบละสายตาและรับถ้วยข้าวต้มว่างเปล่ามาเก็บแก้เขิน ก่อนจะหยิบยาส่งให้




    “เจ้าอยากกินขนมไหม เกรเซียส...”เขาหยิบขนมหวานที่เคี่ยวจากน้ำตาลขึ้นมาส่งให้ แต่เด็กชายผมทองก็ละสายตาจากเขาไปเหม่อลอยอีกครั้ง ผ่านไปสักพักเสียงเล็กๆก็หลุดออกมาจากปากในที่สุด




    “เจ้า...ไม่รังเกียจ..ข้าหรอ....” แลนซ์เลิกคิ้วอย่างไม่เขาใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดแทรกขึ้นมาเพราะดูเหมือนเด็กชายจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา




    “ข้าน่ะ...เป็นคนที่...ใครๆก็เรียกว่า...เด็กต้องสาปเชียวนะ....” นัยน์ตาสีฟ้าครามเริ่มคลอด้วยหยาดน้ำใส ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น




    “ข้ามันตัวซวย...เพราะข้า...เพราะข้า..ท่านพ่อ..ท่านแม่...ฮึก...ถึงต้องตาย...”เกรเซียสเลื่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำมาจับจ้องที่เด็กชายผมดำอย่างไม่เข้าใจก่อนจะกรีดร้อง




    “ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น...ทำไมเจ้าต้องมาทำดีกับข้าด้วย! ทำไม!! ทั้งๆที่ข้าอยากจะตายๆให้หลุดจากชีวิตเฮงซวยนี่...ไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดเพราะข้าอีก!! ทั้งๆที่ควรจะเกลียดข้า...เหมือนกับทุกคน...ทำไมต้องมาช่วยข้าด้วย!! ข้าอยากตาย! ได้ยินไหมว่าข้าอยากตาย!!”เด็กชายผมทองผลักแลนซ์ออกไปชนโต๊ะข้างๆจนเกิดเสียมโครมดังสนั่น แล้วกระโดดออกจากเตียงไปคว้ามีดมาชี้หน้าเด็กชายผมดำด้วยมือที่สั่นระริก




    “เกิดอะไรขึ้น!”เอลราสผลักประตูเข้ามาในห้องก่อนจะหยุดมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เกรเซียสสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมีดเล่มเล็กๆนั่นมาทางผู้มาใหม่ทันทีด้วยความหวาดระแวง




    “ถอยไป!! ถอยไปนะ!! ข้าอยากตาย พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้า! โลกนี้มันน่ารังเกียจ...โลกนี้ทอดทิ้งข้า...แล้วทำไมข้าต้องมาทนอยู่กับสภาพที่ไม่มีใครต้องการแบบนี้ด้วย!! ข้ารู้นะ...พวกเจ้าเก็บข้ามาก็เพราะสมเพชข้า...ข้าเกลียดความรู้สึกแบบนั้น ข้าไม่ต้องการ...ได้ยินไหมว่าข้าไม่ต้องการ!!”เกรเซียสตวาดแหวทั้งน้ำตา เขาพยายามกดก้อนสะอื้นลงคอไปอย่างยากเย็น ก่อนจะค่อยๆยกมีดขึ้นมาจ่อคอตัวเองด้วยรอยยิ้มขมขื่น เขาหลับตาลง กลั้นใจแทงมีดลงไป...




    ฉึก!!



    ........



    ..............................



    .........................................................




    ทำไม...ทำไมถึงไม่เจ็บ....เด็กชายคิดอย่างแปลกใจก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อภาพที่เอลราสกำลังจับมีดเล่มทีเขาใช้ด้วยมือเปล่า เลือดสีแดงไหลซึมออกมารวมกันที่ด้ามมีดแล้วหยดลงไปที่พื้น....




    “ทะ...ทำไม...” เอลราสยิ้มรวบเกรเซียสเข้ามากอดโดยไม่สนใจบาดแผลที่มือของตนเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า




    “ใครบอกว่าเจ้าเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ...เจ้าเก่งมากเลยนะ...ทนอยู่แบบนั้นมาได้ตั้งนาน...”




    “ข้า...ข้า....ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว...ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...”เขาร้องเบาๆอย่างล่องลอย หยาดแห่งความเศร้าไหลอาบหน้าจนดวงตาเริ่มแดงช้ำ




    “ถ้าเจ้าไม่เหลือใคร...ข้าจะเป็นครอบครัวให้เจ้าเอง!”เอลราสประกาศหนักแน่น เขากอดเด็กชายตัวน้อยไว้แน่นยืนยันคำสัญญา




    “เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องเสียใจอีกแล้ว ไม่ค้องกลั้นน้ำตาไว้อีกแล้ว...ข้าจะอยู่กับเจ้าเอง ต่อไปนี้ข้าจะเป็นพ่อให้เจ้าเอง...”เด็กชายนิ่งงันสักพักก่อนอ้อมแขนเล็กๆจะโอบกอดชายตรงหน้าไว้ราวกับมันเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจสุดท้ายแล้วระเบิดความรู้สึกออกมาทางน้ำตาและเสียงร้องไห้ยาวนาน




    “ฮึก...ท่านพ่อ...ท่านพ่อ...โฮๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!”




    ................



    ................................




    ..............................................




    “เป็นไงบ้าง...”เสียงทุ่งนุ่มหูดังขึ้นข้างหลัง พร้อมๆกับวงแขนที่โอบรอบเอวบางของร่างเล็กเข้สู่อ้อมกอด




    “เพิ่งรู้ว่าเจ้าเปลี่ยนอาชีพจากหมอมาเป็นพวกตีนแมวนะเนี้ย...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”คนโดนกอดส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วตอบด้วยคำถามด้วยกระแสเสียงที่แฝงความยั่วเย้า โดนไม่แม้แต่สนใจจะดิ้นเลยด้วยซ้ำ




    “อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ”คนกอดสะบัดเสียงหงุดหงิด ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเป็นการยืนยันว่าถ้าไม่ตอบไม่หยุดแค่กอดแน่ ทว่าร่างตรงหน้ากลับหัวเราะไม่หยุดสุดท้ายก็ต้องจับคนในอ้อมแขนไปนั่งที่เก้าอี้ให้หันมาประจันหน้าตน แล้วยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นเตรียมรักษาแต่เจ้าของมือกลับชักมือกลับไปเฉยๆ




    “ไม่ต้องรักษาหรอกน่า...นี่รอยแผลที่ทำให้เด็กคนนั้นยอมรับข้าเชียวนะ ปล่อยไว้สองสามวันเดี๋ยวก็หาย”เอลราสอธิบายยิ้มๆ “ข้าว่าเจ้ารีบไปดูลูกชายเจ้าก่อนดีกว่ามั้ง เด็กนั่นโดนหนักกว่าข้าเยอะ”




    “ข้ารักษาแล้ว ตอนนี้ก็กลับไปดูเจ้าหนูคนนั้นต่อแล้วล่ะ”เลอซัสตอบเบาๆ แล้วยกตัวขึ้นมานั่งที่โซฟาข้างๆ




    “เกรเซียส...”




    “หา?”




    “เด็กคนนั้นชื่อเกรเซียส ไม่ใช่จ้าหนู”เอลราสแก้ยิ้มๆ เขายกกาน้ำมารินใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นจิบ สักพักสีหน้าผ่อนคลาก็เคร่งขึ้น คิ้วเรียวขมวดแบคนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้





    “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าไปช่วยสืบให้หน่อยได้ไหมเลอซัส”ร่างบางกว่าเอ่ยอย่างกังวล ทำให้คนที่นั่งข้างหรี่ตาอย่างแปลกใจก่อนถาม




    “เรื่องอะไรล่ะ”




    “เรื่องเกรเซียส เมื่อกี้ตอนข้าเข้าไปในห้องรู้สึกถึงพลังมืดที่เข้ามารวมตัวกันในปริมาณมหาศาลจนน่ากลัว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวยังไม่รู้เพราะตอนที่แลนซ์สลบไปก็คงเป็นเพราะพลังนั่นน่ะแหละ”เอลราสเอ่ยเคร่งเครียด




    “....ขอเวลาข้าสามวัน”




    “อืม”


    ......................................................



    เช้าวันรุ่ง




    “เกรเซียส~ ตื่นรึยังเอ่ย”เอลราสเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เด็กชายผมทองที่กำลังละเลียดกินกินข้าวต้มอยู่สะดุ้งเล็กน้อย พอหันมาเห็นว่าใครมาก็เผยรอยยิ้มนิดๆอย่างดีใจแล้วร้องเรียก




    “ท่านพ่อ...”เอลราสยิ้มกว้าง ก้าวฉับๆไปนั่งข้างเตียง ยกถุงสีขาวใบหนึ่งขึ้นมาโชว์ แกว่งไปมาอยู่ข้างหน้าเกรเซียส กลิ่นหอมๆ หวานๆโชยออกมาจากถุงเรียกความสนใจจากเด็กชายไม่ยาก แต่แลนซ์ซึ่งกำลังปอกผลไม้กลับหันมาถามเขาเสียเอง




    “นั่นมันอะไรหรอขอรับ ท่านเอลราส”คนโดนถามไม่ตอบกลับยิ้มให้อย่างเอ็นดูในความช่างสงสัยของเด็กตรงหน้า ชายหนุ่มหันไปหาเกรเซียสแล้วเอ่ยว่า




    “คิกๆ ลองทายสิเกรเซียส ถ้าถายถูกพ่อจะยกถุงนี้ให้เจ้า” เกรเซียสชะงักอย่างไม่มั่นใจ เขามองถุงสลับกับเอลราสที่กำลังยิ้มแป้น สักพักเด็กชายก็ยอมเอ่ยปาก




    “ขะ...ขนม..เค้ก...”เอลราสหัวเราะ ก่อนยีหัวของเด็กชายจนมันยุ่งไม่เป็นทรง เขาเอากล่องขนมเค้กออกมาจากถุงแล้วยื่นให้




    “ถูกจ้า เก่งมากๆ” ยังไม่ทันที่เกรเซียสจะยกมือรับ เอลราสก็ชักทั้งมือทั้งกล่องถอยห่างออกไป เด็กายขมวดคิ้วอย่างงุงงง ชายหนุ่มไม่สนใจเขาแกะกล่องออกแล้วตักเค้กขึ้นมาจ่อปากของเกรเซียส




    “ข้าจะป้อน!!”เอลราสประกาศยิ้มๆ เด็กทั้งสองเบิกตากว้างอย่างตกใจ เกรเซียสหันไปสบตากับแลนซ์เป็นสัญญาณขอให้ช่วยเจรจาแต่ฝ่ายหลังกลับส่ายหน้าเป็นทำนองว่า ยอมๆไปเถอะน่า ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่




    “ถ้าไม่ให้ข้าป้อนก็ไม่ต้องกินนะ!”ผู้ใหญ่คนเดียวว่าพลางทำหน้าจริงจัง สื่อว่าถ้าไม่ยอมล่ะก็อดขนมตลอดไปแน่ๆ สุกท้ายเกรเซียสก็จำใจอ้าปากรับเค้กเข้าไปในปาก




    “อร่อยไหม...”




    “หวาน...”เอลราสพยักหน้าพอใจในคำตอบขณะป้อนเค้กให้เกรเซียสเขาก็ลอบสังเกตเด็กชายผมดำที่จ้องเกรเซียสไม่วางตา พลันรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียบเนียน เรียกเด็กชายเสียงดัง




    “แลนซ์!!”




    “ขอรั....อุ๊บ!!”เจ้าของเส้นผมสีรัตติกาลสะด้งสุดตัวแล้วอ้าปากขานรับแต่ยังไม่ทันจะจบคำส้อมที่เต็มไปด้วยเค้กก็ถูกส่งเข้าปากอย่างไม่ทันตั้งตัว ปกติแลนซ์ก็ไม่ใช่คนที่พิศวาสของหวานอยู่แล้ว แต่ต้องมากลืนเค้กรสบลูเบอรี่ที่หวานสุดๆ(ตามความชอบของเอลราส)เข้าไป อาการคลื่นเหียนพะอืดพะอมก็เข้าจู่โจมจนเด็กชายต้องอุดปากแล้ววิ่งหายออกไปจากห้องโดยมีสียงหัวเราะชั่วร้ายของผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตดังไล่หลัง




    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”




    ฝ่ายเกรเซียสที่นั่งมองเหตุการณ์นั้นอยู่แบบใกล้ชิดติดขอบจอก็เบิกตาโตอย่างตกใจ แต่ไม่รู้ทำไม่มุมปากถึงได้ยกยิ้มขึ้น...กว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเสียงหัวเราะใสจะดังขึ้นคลอไปกับเสียงหัวเราะสะใจนั่น....




    เอลราสเหลือบองเกรเซียสด้วยสายตาแปลกระคนดีใจ ในที่สุดก็ยอมหัวเราะสักที สงสัยเขาคงต้องใช้วิธีนี้บ่อยๆซะแล้วล่ะมั้ง ขออโหสิกรรมล่วงหน้าด้วยก็แล้วกันนะเจ้าหนูแลนซ์....หึๆๆๆๆ






    ............................
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×