ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามแห่งอาณาจักร เมียร์

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 นักรบแห่งเบลเฮม The worrier of Blahelm

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 50


    บทที่ 6 นักรบแห่งเบลเฮม  The worrier of Blahelm

     

              หนึ่ง...สอง...สาม ...อืม...

     

                เสียงนับเลขแว่วขึ้นมาเบาๆแทรกความเงียบในยามเช้าตรู่ ร่างบางในชุดทะมัดทะแมงกำลังก้มๆเงยๆนับกล่องใส่ของที่อยู่บนชั้นวางที่ตั้งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ในมือขวาของเธอถือสมุดเล่มเล็กๆและหนีบชะแลงขนาดเหมาะมือไว้ด้วยกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองมาที่สมุดที่เปิดกางออกเป็นระยะ กล่องหลายๆใบมีป้ายติดไว้แสดงถึงของภายใน แต่บางกล่องก็ไม่มี ซึ่งเธอเองก็หน้ามุ่ยทุกครั้งที่มองดูกล่องพวกนี้  เพราะในห้องเก็บของหลังร้าน ที่นี่เป็นที่ๆอยู่ในความรับผิดชอบของเธอ เวลาที่มีของที่สั่งเข้ามาขายมาส่ง เธอก็ต้องมาเช็คจำนวนว่าครบหรือเปล่า แล้วเธอก็ต้องมาปวดหัวกับกล่องไม้พวกนี้ ที่ไม่ชอบติดป้ายว่าข้างในเป็นอะไร แล้วก็ต้องมาเป็นธุระที่เธอต้องมาแงะเปิดอีก

                 กางเกงขาสั้นกรอมเข่า กับเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลอ่อน ที่ไหวลู่ไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกายที่กำลังก้าวลงจากบันไดช้าๆ จริงๆแล้วเธอก็ไม่ใช่คนที่ขี้เหร่อะไร ถ้าจะดูดีๆก็ออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมงแล้วก็การวางท่าทางที่ดูจะออกเป็นผู้ชายไปนิดก็ทำให้หนุ่มๆในหมู่บ้านขยาดกันไปหมด

               

                เอาล่ะ...ครบแล้วคำที่โพล่งออกมาเหมือนกับถอนหายใจร่วมด้วย หลังจากที่เจ้าตัวได้ปีนขึ้นบันไดโน้น ก้มลงไปตรงนี้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งได้ตรวจเช็คจำนวนของเรียบร้อยแล้ว เธอก็เอาชะแลงเกี่ยวไว้กับตะขอที่ฝาผนังข้างประตู มืออีกข้างหนึ่งก็ผลักประตูออกไปสู่ทางเดินในร้าน

               

                อ้าว เฟรย่า ลูกเช็คดูของที่ส่งมาเสร็จแล้วเหรอจ๊ะเสียงๆหนึ่งทักขึ้นมา และเมื่อเธอหันกลับไปทางต้นเสียงก็ไม่ใช่ใคร แม่ของเธอนี่เองที่กำลังเดินมาจากทางหน้าร้าน ซึ่งร้านที่ว่านั่นก็บ้านของเธอเองนั่นแหละ ซึ่งเธอก็ตอบกลับไปแทบจะทันที

                ดูเสร็จแล้วค่ะเฟรย่าตอบ ใบหน้ายิ้มแป้นอย่ามีเลศนัย แล้วผู้เป็นแม่ก็อ่านออกทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แล้วรีบเบรกลูกสาวตัวดีทันที

                แน่ะๆ จะไปเที่ยวกับ เรน่า อีกละสิเธอพูดอย่างรู้ทันแล้วเริ่มพูดหน้าที่ๆควรทำให้ฟังยาวเหยียด ส่วนแม่ตัวดีเรียกการพูด"หน้าที่"นี้ว่า บ่น

                นี่ ลูกต้องไปช่วยพ่อขายของที่ลานพ่อค้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจะออกไปเที่ยว! ถ้าพ่อไม่มีคนช่วยคิดดูสิว่าจะวุ่นวายแค่ไหน...นี่ลูกฟังอยู่หรือเปล่าเฟรย่า!!” คนบ่นเรียกชื่อผู้ฟังด้วยเสียงที่ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้สนใจทีเธอพูด แล้วก็มองแต่ที่ปฏิทินแล้วพึมพำอะไรสักอย่างเบาๆ

                นี่ เฟรย่า!!!” เสียงตวาดดังขึ้นในทางเดินของร้านขายของเล็กๆ โดยผู้ตวาดก็คือแม่ของเธอ ส่วนคนที่โดนตวาดก็เอามืออุดหูอย่างรู้ทันจากประสบการณ์ที่โชกโชน

                ค่าๆ จะไปช่วยพ่อขายของค่ะ ไม่ไปเที่ยวแล้วเฟรย่าตัดบทเมื่อแม่ของเธอที่หน้าเริ่มออกสี   แล้วจะเริ่มทำการบ่นอีก เป็นสัญญาณที่ใครๆก็อ่านออกว่าถ้าอยู่นานกว่านี้ก็อาจหูหนวกได้

    เธอจึงรีบเดินออกมาเพื่อขอบายการปาฐกถาชุดใหญ่ของแม่ของเธอ ออกมาที่หน้าร้าน

               

                ถนนสายเล็กในหมู่บ้านก็ยังคงคึกคักเหมือนเดิม ผู้คน เกวียน เด็ก ออกมาเดินกันขวักไขว่  ขบวนพ่อค้าจากอัลเบอตุสก็เพิ่งเดินทางออกจากหมู่บ้านไปเมื่อวาน ของที่ลานพ่อค้าเลยยังขายดีอยู่และวันนี้เธอก็ต้องไปช่วยพ่อของเธอขายของอีก เพราะเมื่อวันพุธเธอก็โดดงานไปทีนึงแล้ว 

                เด็กสาวก้าวยาวๆไปตามทางเดินสู่ลานพ่อค้าด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก เธอไม่ค่อยชอบช่วงนี้ของปีเลย ช่วงการค้าขายนี่ ถึงแม้ว่ามันจะสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวของเธอเป็นกอบเป็นกำก็เถอะ ทำไมน่ะเหรอ ? ก็เพราะว่าต้องมานั่งทำตัวสมหญิงต่อหน้าคุณพ่อนี่นา ไม่เอาด้วยหรอก 

               

                เฮ้อ...เสียงถอนหายใจยาวจากจอมโดดงาน ที่ตอนนี้เดินมาถึงหน้าลานพ่อค้าเรียบร้อย สายตามองกวาดหาร้านของพ่อของเธอ

                เฮ้อ...อยู่นั่นไงเสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขาที่ก้าวเดินไปยังที่หมายอย่างเนิบนาบ

               

                สวัสดีค่ะคุณพ่อ เสียงทักทายดังขึ้นมาจากด้านหลังของพ่อค้าวัยกลางคนๆหนึ่งที่กำลังนั่งขายของอยู่อย่างขะมักเขม้น ร่างกำยำในชุดเสื้อแขนกุดสีน้ำตาลอ่อนที่เผยให้เห็นมัดกล้ามบนท่อนแขน กับกางเกงขายาวสีน้ำตาล หันหลังกลับไปมองแวบหนึ่งแล้วกลับมาสนใจลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าต่อ

                พ่อมีอะไรให้หนูช่วย...ยังไม่ทันจะจบคำถาม ก็ถูกมือที่ยกขึ้นมาปรามหยุดไว้โดยไม่หันกลับมามอง แล้วชี้ไปยังตะกร้าใส่ผักที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เธอก็หันมองตามที่มือชี้ไป

                แล้ว?

                ไปนั่งขาย

                เธอมองมาที่พ่อของเธออีกครั้งหนึ่งพร้อมกับภาวนาในใจว่าขอให้พ่อเธอล้อเล่น แต่มือของพ่อเธอก็ยังชี้อยู่ที่เดิมเป็นการเน้นย้ำ

                ไม่เอานะ ขายของเหรอ ให้ไปแบกกระสอบยังจะดีกว่า

                แต่มือที่ชี้สั่งก็ยังไม่ลดลงมา เมื่อเห็นว่าขัดโองการของผู้เป็นพ่อไม่ได้ เธอจึงต้องจำใจนั่งลงขายของ ที่ข้างๆตะกร้าใส่ผัก และเริ่มเรียกลูกค้า

                ผักสดๆค่า สดจากสวนค่า

                ผักสดๆค่า เสียงเรียกลูกค้าอย่างสดใส ใบหน้าที่เริ่มจะกระตือรือร้นกับการขายกับน้ำเสียงที่แหลมแต่ก็ฟังชวนรื่นหู ชวนสายตาหนุ่มๆที่เดินจับจ่ายซื้อของให้เหลียวมามองไม่น้อย บนคนถึงกับยืนจ้องหน้าเอาดื้อๆ ทำให้แม่ค้าสาวหน้าเริ่มขึ้นสีเรื่อแล้วเบือนหน้าหนี พลางบ่นในใจ

                เอ้าๆ ผักก็ไม่ซื้อนี่นายมองอะไรหา หน้าฉันเหมือนญาตินายหรือไง

                ในใจจริงๆแล้วเธออยากจะกระโดดเข้าไปเตะเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนที่จ้องเธออยู่นี้สักที ให้รู้จักเจียมตัวซะบ้าง ก็ไม่ได้ เพราะสายตาของพ่อเธอยังคงจ้องเขม็งอยู่ที่ด้านหลังของเธอตลอดเวลา ถึงแม้เมื่อเธอหันไปมอง ก็เห็นพ่อเธอเรียกลูกค้าตามปรกติ แต่เมื่อเธอหันกลับมาขายของต่อก็เหมือนว่าพ่อของเธอจะจับตาดูเธออีกแล้ว

               

                เอ่อขอโทษนะครับ  

     

                ไม่ใช่ใครอื่นเจ้าคนที่มองดูเธออยู่เมื่อกี้นี้เอง คราวนี้ไม่ดูเฉยๆรุกเข้าถึงตัว ก็เขาเห็นว่าแม่ค้าคนนี้น่ารักนี่นา จะไม่ทำความรู้จักซะหน่อยก็เสียโอกาสหมด  แต่เมื่อเข้ามาทักแล้วแม่ค้าคนสวยก็ยังไม่มีท่าทีตอบโต้ เขาก็เลยเอ่ยปากเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมเล็กน้อย

     

                ขอโทษนะครับคุณแม่ค้า

                 

                ตอนนี้คุณแม่ค้าเฟรย่าไม่ได้สนใจหน้าร้านเลย เธอมัวแต่ระแวงสายตาแปลกๆของพ่อของเธออยู่ ระหว่างนั้นก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ

                อะแฮ่ม

                แค่นั้นล่ะคุณแม่ค้าตัวดีถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปทางต้นเสียง และแล้วก็ไม่ใช่ใครเป็นพ่อของเธอนี่เองที่ได้กระแอมออกมา บางครั้งสำหรับเธอแค่เสียงกระแอมของพ่อของเธอก็เล่นเอาเสียวสันหลังวาบได้เหมือนกัน เมื่อเฟรย่าหันมามองพ่อเธอก็ชี้นิ้วไปที่หน้าร้านขายผักที่เธอดูแลอยู่

                โธ่เอ๊ยก็รู้นะว่าพ่อคอยจับตาดูเราอยู่แต่เราก็ไม่แอบโดงานหรอกน่า วันนี้จะโดดไปไหนเล่า   เรน่าก็ไม่ว่าง ไปเรียนเวทย์กับคุณพ่อวุลฟริกนู่น แม่ค้าจอมโดดงานคิดบ่นในใจ

                เมื่อเธอหนักลับไปทางหน้าร้านของพบชายหนุ่มที่ยืนยิ้มบางอยู่หน้าร้าน กับเพื่อนอีกคนที่ดูไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่  แต่สายตาน่ะแอบเหลือบมองมาอยู่เรื่อย

                เอาน่าๆลูกค้าน่าต้องทำตามหน้าที่แม่ค้าเฟรย่าพึมพำ

                อะไรนะครับเสียงเอ่ยถามจากคุณลูกค้าหนุ่มที่มีเจตนาแอบแฝงนอกจากซื้อผัก ซึ่งเฟรย่าคิดว่าเขาไม่น่าจะได้ยินก็กลับได้ยินแว่วๆซะอีก

                ไม่มีอะไรหรอกค่า...เฟรย่าตอบปฏิเสธอย่างเรียบๆ แต่ในใจกับคิดไพล่ไปคนละทาง

                หูดีเกินไปมั้งนาย

               

                แก...เอ๊ย!...คุณจะรับอะไรดีคะ เฟรย่าถามลูกค้าหนุ่มที่ตอนนี้มีอาการชะงักเล็กน้อยด้วยสรรพนาม ซึ่งเจ้าตัวคนพูดก็ต้องรีบพูดแก้เพราะตอนนี้เสียงกระแอมของพ่อของเธอดังขึ้นอีกแล้ว พ่อนะพ่อ จะให้หนูทำตัวสมหญิงอะไรกันนักนะ

                ...เอ่อ... คุณลูกค้าชายที่ตอนนี้เจตนาแอบแฝงเริ่มคลางคลอน เพราะเพิ่งจะถูกเรียกสองสรรพนาม เริ่มมีอาการกระอักกระอ่วน คำที่เรียกอันหลังนี่ไม่เท่าไหร่ แต่อันแรกนี่ฟังดูแล้วผงะ ...แก...เลยเหรอ...

                เมื่อเริ่มตั้งสติแล้วเขาก็สั่งของกับแม่ค้าที่ตอนนี้เธอเริ่มน่ารักน้อยลงแล้วในสายตาของเขา

                กะหล่ำปลี...สองหัวครับ

                กะหล่ำปลีสองหัวนะคะ แม่ค้าตัวดีทวนรายการของอย่างรัวเร็ว แล้วหยิบของที่สั่งชั่งน้ำหนัก...ใส่ถุง และคิดราคาได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เล่นอาชายหนุ่มถึงกับตาค้าง และเมื่อใส่ถึงแล้วเธอก็ยื่นของให้พร้อมกับบอกราคาแทบจะทันที

                ทั้งหมด...สามเซนต์ค่ะ

                ครับๆ สามเซนต์ ลูกค้าหนุ่มรีบหยิบเงินส่งให้แม่ค้าสาวอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจน

                เดี๋ยวค่ะ เสียงทักดังขึ้นจากด้านหลังของลูกค้าผู้โชคไม่ดีที่มาเจอแม่ค้าสาวจอมแก่น ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง พลางคิดในใจ ...เอาแล้วไง...จะโดนอะไรอีกล่ะเนี่ย

     

                คุณให้เงินเกินมาสองเซนต์ค่ะเฟรย่ารีบลุกตามมาเพราะเขาให้เงินมาเกิน ในใจของลูกค้าชายคนนี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วตอนนี้เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า เพื่อนของเขาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เมื่อเขามองหาก็พบเพื่อนของที่เขาหาตัวอยู่กวักมือเรียกอยู่ที่หลังร้านข้างๆ

                นี่นายหายไปไหนมา ปล่อยข้าอยู่คนเดียวกับแม่ค้าหน้าตาดีปากตรงกันข้ามนั่นน่ะเขาเริ่มบ่นทันทีเมื่อเห็นว่าแม่ค้าที่พูดถึงเดินกลับไปนั่งขายของอยู่ที่หน้าร้านตามเดิมแล้ว

                โอ๊ยก็ก่อนหน้านายจะซื้อของเสร็จนั่นล่ะ ตอนที่นายถูกเรียก แก น่ะ ข้าก็เผ่นออกมาแล้ว แม่ค้าคนนี้น่ะนะ...สุดยอด เขาตอบพร้อมบรรยายเหตุการณ์เสร็จสรรพพร้อมทำท่าประกอบสำหรับคำพูดในช่วงท้าย ด้วยการยกนิ้วโป้งให้

                 

                สองชั่วโมงผ่านไป~~~

             

              ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายอ่อนๆ คนที่มาจับจ่ายซื้อของในลานพ่อค้านี้ก็เริ่มบางตาลงไปบ้างแล้ว ผักในตะกร้าพร่องลงไปจนเหลืออีกไม่มากด้วยฝีมือการขายที่ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง โดยมีเสียงกระแอมของพ่อของเธอคอยกำกับบ้างเป็นระยะๆ ส่วนแม่ค้าตัวดีก็เริ่มเบื่อและเรื่องโดดงานก็แว่บเข้ามาในหัวอีกแล้ว

                น่าเบื่อจัง...ไม่มีลูกค้าเลย...น่าจะมีอะไรสนุกๆบ้างนะ เฟรย่าพึมพำ

                ตอนนี้ลูกค้าก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่เพราะอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นจากแสงแดดในยามบ่าย แต่ในขณะที่เฟรย่ากำลังคิดวางแผนโดดงานอยู่นั้นเอง ก็เกิดสิ่งที่ เธอกำลังรอคอยอยู่พอดี

                คนทะเลาะกันๆ

                เร็วๆคนทะเลาะกัน ชกกันใหญ่แล้ว เสียงตะโกนกับเสียงอื้ออึงที่ดังขึ้นท้ายลานพ่อค้าทำให้เฟรย่ารีบหันไปดูทางต้นเสียงทันที่ เช่นเดียวกับพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆที่อยากรู้อยากเห็น

                นี่ล่ะอะไรสนุกๆ

                จอมโดดงานยังไงก็เป็นจอมโดดงาน  ความคิดที่จะนั่งขายของก็ถูกโยนทิ้งในทันที เพราะตอนนี้มีสิ่งที่หน้าสนใจกว่าอยู่ข้างหน้า

                ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะลุกเดินไปดูคนทะเลาะกันดีกว่า เพราะน่าสนใจกว่าการนั่งขายของเป็นไหนๆ เธอก็เหลือบเห็นพ่อของเธอลุกขึ้นมาเหมือนกัน พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่ได้ยิน

               

                คนตีกันๆ ชกกัน ทะเลาะกัน ฉันไม่ชอบเลยจริงๆ

     

                พอเฟรย่ากำลังจะก้าวขาเดินออกไปจากร้าน เธอก็ได้ยินเสียงของพ่อของเธอเบาๆ

                เฟรย่า...ลูกอยู่เฝ้าร้านที่นี่

                อะไรนะคะพ่อ?

                สิ้นคำสั่ง ร่างของพ่อค้าชายที่ยืนอยู่ธรรมดาๆ ก็หายไปในพริบตา ทิ้งไว้แต่ลมวูบหนึ่งเท่านั้น เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมากลัดเลาะไปตามทางเดินที่นำไปสู่ด้านหลังของลานพ่อค้า เร็วจนเหมือนเป็นแค่เงารางๆที่เคลื่อนที่ผ่านไป

                เอาอีกแล้ว พ่อฉัน เห็นคนทะเลาะกันเป็นไม่ได้เล้ย เฟรย่าบ่นขรม เธออดดูคนตีกัน แล้วก็ต้องมานั่งเฝ้าร้านอีก คิดไปบ่นไป แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม

                นี่ล่ะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำสำหรับพ่อของเธอ ที่เกลียดการทะเลาะวิวาทสุดๆ แม่ของเธอบอกว่าตั้งแต่ที่พ่อกลับมาจากสงครามเมื่อสิบห้าปีก่อน พ่อก็เลยเป็นแบบนี้ เกลียดการสู้รบกัน แต่ก็อย่างที่เขาว่า เคยเป็นอะไรมาก่อนก็ยากที่จะลบเลือนความเป็นตัวตนของสิ่งนั้น อดีตนักรบเปลี่ยนมาขายผักก็ยังไม่ลืมวิชา

     

              อีกด้านหนึ่ง

     

                เหตุการณ์เริ่มบานปลาย จากการโต้เถียงกันด้วยคำพูดกำลังแปรเปลี่ยนเป็นการใช้กำลังเข้าใส่กัน ของชายสองคน

                คนหนึ่งเป็นชายวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่เขาสวมเสื้อแขนสั้นสีขาวที่มีรอยเปื้อนประปรายกับกางเกงขาสั้นที่ยับยู่ยี่ จากใบหน้าที่ออกแดง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนดื่มจัด และตอนนี้กำลังเมา เขายืนจ้องหน้ากับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ

                เอาเลยเฟต ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นใครเสียงเชียร์ดังขึ้นมาจากชายคนหนึ่งจากกลุ่มคนที่มามุงดู ยิ่งทำให้ความเมาจากเหล้าที่มีอยู่เดิมผสมกับเสียงเชียร์จนทำให้เขาคึกคะนองได้ที่ แล้วโถมเข้าใส่ชายอีกคนที่ยืนยืนมองเขาด้วยสายตาที่ส่อแววรุนแรงไม่ต่างกัน

                มาเลยสิเฟต!!!” เสียงตะโกนลั่นจากชายอีกคน เขาสวมเสื้อแขนยาวสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กหนังสีดำ ซึ่งเข้าชุดกันกับกางเกงขายาวสีดำ เสื้อแขนยาวที่ตอนนี้ถูกเลิกแขนขึ้นมา พร้อมด้วยมือที่ยกขึ้นกำแน่น รูปร่างของเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ต่างกันแค่เขามีส่วนสูงที่น้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ว่ากันด้วยใจแล้วเขามีใจสู้เต็มที่ เขาก็รู้สำรำคาญนายเฟตนี่เต็มที ด้วยความโกรธ หมัดขวาเงื้อง่าออกไปโดยมีเป้าหมายเล็งไปที่ใบหน้า

                ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะปะทะกันนั้น เงาสีดำที่ไม่มีใครรู้ที่มาก็เขาขวางระหว่างคนทั้งสอง ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ก่อให้เกิดฝุ่นทรายคละคลุ้งล้อมรอบทั้งคู่ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาชกกันไหม มีใครบาดเจ็บหรือเปล่า หลากหลายคำถามที่คนที่มามุงดูตั้งไว้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในม่านฝุ่นควันที่ลอยคลุ้งล้อมรอบคนทั้งสอง

                สำหรับทั้งคู่แล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ชายปริศนาผ่านเข้ามารวดเร็วดั่งสายลม เขาเข้ารับกำปั้นของทั้งคู่ไว้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับรั้งทั้งคู่ไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ ด้วยแขนเพียงข้างเดียว เขาใช้มือขวาจับแขนชายร่างใหญ่ที่ชื่อเฟต ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จับแขนของชายอีกคนไว้ แค่แขนเพียงข้างเดียวก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งของชายผู้เป็นเจ้าของมือนี้

                ระหว่างที่ผู้มุงดูทั้งหลายกำลังตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ภายในกลุ่มฝุ่นคลุ้งนั้น สิ่งบังตาของผู้คนทั้งหลายก็ได้จางลงไป ปรากฏให้เห็นร่างของชายสามคนยืนอยู่ ชายรูปร่างใหญ่ กับอีกคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามนั้นพวกเขารู้อยู่แล้ว ส่วนคนที่สวมเสื้อแขนกุดสีน้ำตาลอ่อนที่ยืนอยู่ตรงกลางนั่น...

                คุณเครส

                เครส นาโทมิส!!!”

                เสียงอื้ออึงดังขึ้นทั่วบริเวณเว้นเสียแต่คนต้นเหตุของเรื่องสองคน ที่ยังยืนเงียบอยู่ บรรยากาศรอบๆตัวทั้งคู่เปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด

                เฟต เขาเริ่มเอ่ยปากพูด นัยน์ตาที่ปรกติดูไร้อารมณ์ในคราวนี้กลับดูแข็งกร้าว มองมาที่ชายร่างใหญ่พร้อมกับพูดชื่อช้าๆ แต่น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบๆนั้นกลับดูมีอำนาจอย่างน่าประหลาด

                คะ...ครับ เขาตอบรับด้วยเสียงที่แผ่วเบาและตกประหม่า

                ทอม เมื่อเห็นว่าการตอบรับของชายที่ยังเมาอยู่ดีขึ้น เขาก็หันไปหาชายอีกคนที่ร่างเล็กกว่าแล้วเอ่ยชื่อด้วยเสียงที่เรียบๆเช่นเคย ซึ่งเขาก็ตอบด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากคนแรก แต่ฟังดูชัดเจนกว่า

                ครับ

               

                พวกนายรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบการวิวาท เขาเอ่ยด้วยเสียงที่มีอำนาจเช่นเดิม แต่การพูดครั้งนี้กลับเหมือนส่งอะไรบางอย่างให้ผู้ฟังซึ่งบางคนที่ยืนอยู่รอบๆก็ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากแต่เพียงตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียง เฟต และทอมเท่านั้นที่นิ่งเงียบ เหล่ากองเชียร์ทั้งหลายก็พลอยปิดปากเงียบไปด้วย

                พวกนายก็ทะเลาะกันในเรื่องเดิมอีกแล้วล่ะสิ หืมม์ เขาเริ่มซักแต่เหมือนว่าเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แล็วก็พูดต่อ

                ก็คงเรื่องเดิม เขาพูดต่อด้วยเสียงเรียบๆเหมือนตอนแรกแล้วก็เอ่ยต่อพลางหันไปหาชายร่างใหญ่ที่ชื่อเฟต

                เฟต นายเมาแล้วก่อเรื่องในร้านของทอม ใช่ไหม?

                เมื่อถูกซักด้วยคำถามตรงๆความเมาก็เริ่มสร่าง เขาพูดอะไรไม่ออก แล้วก็หาเหตุผลมาโต้แย้งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้

                ครับ...แต่ เขารับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างไม่เต็มใจเท่าใหร่นัก ขณะที่เขากำลังจะโต้แย้งอะไรบางอย่างก็ถูกปรามด้วยเสียงของเครส นาโทมิสที่แทรกขึ้นมา

                แล้วทอมก็เลยโมโห ไล่นายออกไปจากร้าน ใช่ไหมทอม?    เขาพูดพลางมองไปยังชายอีกคนซึ่ง ทอม ก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงรับเท่านั้น

                ฉันก็เคยได้ยินเรื่องของพวกนายมาพอสมควร เครสพูด เขามองไปยังชายทั้งสองทั้งสองคนที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา ก่อนที่จะพูดต่อ

                และฉันก็คิดว่ามันควรจะยุติได้แล้ว...

    เมื่อเขาพูดจบสายตาอันแข็งกร้าวก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป ดูสงบและอ่อนโยนลง ก่อนที่จะมองไปที่ชายร่างใหญ่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองมากขึ้นกว่าตอนแรก

    เฟต...ฉันรู้ว่านายชอบดื่ม จริงๆแล้วนายก็รู้ ว่าตัวเองถ้าดื่มมากๆแล้วจะคุมสติไม่ได้ นายก็ควรจะระวังให้มากกว่านี้ คราวหน้าก็อย่าดื่ม ของมึนเมาน่ะมันไม่ดีต่อสุขภาพ  

                ครับ ผมจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้วครับ เขาตอบพลางพยักหน้ารับคำตัวเองแต่โดยดี

                ดีแล้ว เครสรับ รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้า และพยักหน้าให้กับเฟต แล้วหันไปพูดกับชายอีกคน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากที่พูดกับชายคนแรก

                ทอม นายก็รู้ว่าถ้าเฟตดื่มมากๆแล้วเขาจะคุมตัวเองไม่อยู่นายก็ไม่ควรจะปล่อยให้เขาดื่มมาก แล้วนายก็ไม่ควรจะใช้ความรุนแรงเข้าสยบความรุนแรง เมื่อเขาแรงมาอย่าแรงตอบ มันจะเสียหายทั้งคู่    

                ชายอีกคนที่ยืนรับฟังอย่าเงียบๆพยักหน้ารับแล้วเอ่ยออกมาเรียบๆ

                ครับ คุณเครส ผมจะทำอะไรให้รอบคอบ

               

                เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้ลดทอนความบาดหมางกันลงไป เครสก็ปล่อยมือที่กำแขนของทั้งสองไว้  เมื่อแขนถูกปล่อยเป็นอิสระ มือข้างที่เพิ่งได้รับเสรีภาพของทั้งคู่ก็ยกขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ด้วยความโกรธแค้น หรือความมึนเมา  มือของทั้งคู่ยื่นออกมาข้างหน้าและจับมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยความปรองดอง

                เครส นาโทมิส ได้มองดูชายทั้งสองที่ไม่มีเรื่องบาดหมางกันแล้วพลางนึกถึง เรื่องที่เขาทิ้งร้านไว้ให้กับลูกสาวเฝ้าไว้เพียงคนเดียว ซึ่งจอมโดดงานอย่างลูกสาวของเขานั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ เขาจึงไปกล่าวลากับ เฟตและทอมก่อนที่จะเดินออกมาจากลานดินด้านหลังลานพ่อค้าอย่างเงียบๆ

     

    และเมื่อกลับมาถึงที่ร้าน ของเขาก็พบว่าลูกสาวของเขายังนั่งอยู่ที่เดิม ทำให้เขาโล่งอกไปได้เรื่องหนึ่ง  แต่อีกเรื่องก็เข้ามาแทนที่ทันที เมื่อเฟรย่ามองเห็นพ่อของเธอเดินมาเธอจึงลุกพวรดขึ้น พร้อมด้วยคำถามที่ยิงใส่ผู้เป็นพ่อเป็นชุด

    พ่อคะๆ เป็นยังไงบ้าง คนที่ทะเลาะกันตัวใหญ่ไหม แล้วได้ชกกันหรือเปล่า คนดูเยอะไหมคะพ่อ เมื่อคำถามเป็นชุดถูกยิงเข้าใส่แบบไม่ยั้ง จากลูกสาวตัวดี ที่อยากรู้อยากเห็นไปหมด ดังขึ้นมาตามที่เขาคาดไว้ การตอบคำถามแทบทุกคำถามจึงมีแค่เพียง

     

    ...พยักหน้า...

               

    แม้แต่แม่ค้าสาวจอมแก่น ที่ตอนนี้อยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด เมื่อเจอการตอบคำถามแบบนี้ก็เล่นเอาชะงักได้เหมือนกัน เธอทำหน้ามุ่ยพลางมองไปยังผู้เป็นพ่อที่กลับมานั่งที่เดิมแล้ว พ่อนะพ่อ เวลาอบรมนี่พูดซะยาว พอจะถามอะไรก็กลับเป็นคนพูดน้อยอีกละ อดรู้เรื่องเลย เฟรย่าบ่นขรมในความคิดพลางปากก็บ่นพึมพำ

    เฮ้อ...เป็นลูกสาวของ เครส นาโทมิส ที่อดีตเป็นนักรบป้อมเบลเฮม แล้วตอนนี้ก็มาเป็นหัวหน้าหมู่ บ้านเนี่ย ลำบากจังน้า

     

    อะแฮ่มๆ

    ขอโทษค่าคุณพ่อ..อเฟรย่าร้อง พ่องของเรานี่หูดีสุดๆ

    เขายิ้มเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของลูกสาวพลางคิดถึงเรื่องในอดีต นานแล้วสินะที่ไม่ได้พาเจ้าหล่อนไปเที่ยวในป่า...

    เฟรย่า วันเสาร์นี้ ลูกจะเข้าป่ากับพ่อไหม ผู้เป็นพ่อเปรยคำถาม ซึ่งเขาก็เดาคำตอบไว้แล้ว

    ไปสิคะ หนูจะพาเรน่าไปด้วย คนถูกถามตอบทันควัน เหมือนกับรอคำถามนี้จากปากขอพ่อของเธอมานานแล้ว

                ลูกบอกเรน่าแล้ว...

                บอกแล้วค่ะ แม่ตัวดีที่พกความหวังไว้เต็มก็ยงัตอบคำถามทันทีเหมือนเดิม

                แล้วเรน่า ได้ขออนุญาตคุณพ่อวุลฟริกแล้วหรือยัง

                น่าจะขออนุญาตแล้วนะคะ

                ลูกวางแผนเรื่องนี้มากกี่วันแล้ว ผู้เป็นพ่อยังคงซักต่อ พร้อมกับคำถมที่ขุดหลุมไว้เรียบร้อย แม้เป็นหลุมที่ใครๆก็มองออกแต่สำหรับ เฟรย่าแล้ว เธอตกหลุมนี้เต็มๆ

                สาม...อุ๊บ เธอรีบเอามือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม ใบหน้าของเจ้าหล่อนเริ่มขึ้นสีเรื่อด้วยความเขิน

                เฟรย่า นาโทมิสเอ๋ย ลูกยังตามความคิดพ่อไม่ทันหรอก ลูกยังต้องฝึกอีกมาก... อดีตนักรบเปรยเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มบางที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะเอยปากพูดในสิ่งที่ทำให้เฟรย่าแทบ จะกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ

                ...ถ้าลูกกับเรน่าจะไปด้วย...ก็เอาสิ

    “””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

    จบแล้วครับสำหรับบทที่ปั่นเป็นเดือน จะด้วยเพราะคนเขียนจะตายจากงาน สร้างอารมณ์เขียนไม่ได้ นึกภาษาไม่ออก ฯลฯ แต่แล้วบทที่ 5 ก็คลอดออกมาจนได้ ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะครับ บางคนอาจคิดว่ามันไม่ค่อยสำคัญ แต่สำหรับผม แค่คอมเม้นเดียวก็จุดไฟการแต่งให้ลุกพรึบแล้วล่ะครับ

    ว่าอย่างน้อยนิยายที่ไอบ้าคนนี้แต่งก็ยังมีคนอ่านอยู่

    ขอบพระคุณที่อ่านและติชมครับ

    =NMP=DEOXIV

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×