คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ลอคเกตสีเงิน
บทที่ 3 ลอคเกตสีเงิน Sliver Locket
หลังจากการเดินเยี่ยมเยียนชาวบ้าน เรน่า และบาทหลวงวุลฟริก ก็กลับมาที่โบสถ์อีกครั้ง เมื่อทั้งสอง เปิดประตูเข้าไปภายใน ก็พบว่าทั้งโบสถ์มืดสนิท กลิ่นของควันเทียนยังคงอวล ไปทั่ว
“เทียนคงดับไปไม่นานนัก”บาทหลวงวุลฟริกเปรยขึ้นมาเบาๆ เขามองไปที่เด็กสาวแล้วเอ่ยต่อ
“เรน่า เจ้าช่วยไปหยิบเทียนที่ห้องเก็บของด้านหลังมาเปลี่ยนให้พ่อหน่อยได้ไหม”
ประโยคที่ฟังดูธรรมดาในสายตาคนอื่นๆ แต่กับคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก คำพูดที่บางคนคิดว่าไม่น่าจะแปลกอะไรก็ยังสามารถดูแปลกได้ รอยยิ้มของที่ชายชราที่เห็นอยู่เป็นประจำ ในครั้งนี้กลับดูต่างออกไปอย่างประหลาด
แต่จะอย่างไรก็ตามเธอก็ทำตามที่ชายชราเอ่ยขอ เรน่าผลักบานประตูโบสถ์ให้เปิดออกแล้วเดินออกจากประตูไป เธอก้าวยาวๆไปที่บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับโบสถ์ บ้านที่เธอและบาทหลวงวุลฟริกอาศัยอยู่ด้วยกัน...
แสงยังคงลอดเข้าสู่ภายในโบสถ์ทั้งจากหน้าต่างและประตูที่เด็กสาวเปิดทิ้งไว้ ชายชรายืนอยู่ท่ามกลางความมืด เขามองไปรอบๆ แล้วยกมือขวาขึ้นวาดมือช้าๆจากโบสถ์ด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง
พรึบ!! แสงสว่าง จากตะเกียงฝาพนังทอแสงอันนุ่มนวลขึ้นมาจากความมืดมิด มือขวาที่ค่อยลดลงมาได้สอดเข้าไปภายในเสื้อคลุม แล้วควานหาของอย่างหนึ่งภายในกระเป๋า ไม่นานเขาก็ล้วงมือออกมา พร้อมกับของอย่างหนึ่งภายในฝ่ามือ
นัยน์ตาของชายชรามองดูสิ่งของในมืออย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะนำของในมือใส่ลงไปในถุงผ้าเล็กๆแล้วโยนขึ้นไปเบาๆในอากาศพร้อมกับหลับตาลง
จากฝ่ามือของผู้ใช้มนตร์ ห่อผ้าเล็กๆที่ลอยอยู่นั้นก็อันตรธานหายไปเหลือไว้แต่เพียงอากาศธาตุที่ว่างเปล่า
บาทหลวงวุลฟริกมองเบื้องหน้าของเขา ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวาน สิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ในอดีตความรู้สึกนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ตามมาด้วยการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชายผู้หนึ่ง ที่เขาเคารพและนับถือ
จากความคิดที่ล่องลอย พลันโสตประสาทก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ชายชรายกมือทั้งสองข้างขึ้นปรบมือเบาๆ แต่กระนั้นเสียงปรบมือก็ยังก้องไปทั่วโบสถ์
เมื่อสิ้นเสียงปรบมือ ทั่วทั้งโบสถ์ก็ตกอยู่ในความมืดจากแสงเทียนที่สว่างขึ้นมาวาบหนึ่งแล้วดับลงไป ทิ้งเอาไว้แต่คราบน้ำตาเทียนในตะเกียง
ประตูถูกแง้มกว้างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างบางของเด็กสาวที่ก้าวเข้ามา ในมือของเธอหอบเอาห่อกระดาษที่เต็มไปด้วยเทียนแท่งใหญ่ไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าหวานมองไปที่บาทหลวงตรงหน้าที่ยืนอยู่แล้วพยักอย่างขอโทษขอโพยที่ให้ยืนรอนาน ซึ่งเขาก็ยกมือขึ้นปรามแล้วยิ้มให้เหมือนกับเป็นการบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาเท่าใดนัก
เรน่าก้าวข้ามขั้นบันไดเตี้ยๆที่ประตูหน้าแล้วเดินไปยังตะเกียงดวงที่ใกล้ที่สุด เธอเปิดฝาตะเกียงออกเพื่อที่จะใส่เทียนขณะที่บาทหลวงวุลฟริกยืนมองดูด้วยรอยยิ้ม เมื่อแสงสว่างจากตะเกียงดวงแรกสว่างขื้น
“เอ่อ คุณพ่อคะ ถ้าหนูเปลี่ยนเทียนเสร็จแล้ว หนูขอออกไปข้างนอกกับเฟรี่ได้ไหมคะ” เด็กสาวก็หันมาพูดกับชายชรา ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนว่าอยากจะออกไปเล่นข้างนอกเต็มที่
ไม่มีเสียงตอบใดๆออกมาจากปากของชายเบื้องหน้า มีแต่รอยยิ้มบางที่ดูมีความหมายแอบแฝงอะไรบางอย่าง สักครู่บาทหลวงวุลฟริกก็เดินไปยังห้องทำงานของเขาที่อยู่ภายในโบสถ์แห่งนี้ ปล่อยให้เด็กสาวยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ริมตะเกียง
“คุณพ่อ อ้ะ ยังมายิ้มบอกว่า เสร็จก่อนแล้วเจ้าค่อยไป อีก พยักหน้าตอบแบบคนทั่วไปไม่ได้เหรอคะ! “เสียงบ่นยาวๆจากเด็กสาวพร้อมกับเลียนเสียงของคุณพ่อของเธอ การที่ได้อยู่กับชายชรามาตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างนั้นเธอจึงอ่านคำพูดจากสีหน้าท่าทางได้สบายๆ
เมื่อประตูบานใหญ่ของห้องทำงานปิดลง ชายชราทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเบื้องหลังโต๊ะทำงานสีน้ำตาลเข้มที่มีกองสมุด หนังสือ ขวดหมึกและปากกาวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สายตาของเขาเหลือบมองไปยังของอย่างหนึ่งในตู้กระจกริมฝาผนังที่อยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทำงานมากนัก ของอันหนึ่งที่อยู่บนชั้นวางส่องประกายสีเงินแวววาว ลอดออกมาจากห่อผ้าเล็กๆ พลันสายตาของเขาก็ตวัดกลับมายังสมุดงานตรงหน้า แล้วบาทหลวงชราก็หยิบปากกาและขวดหมึกออกมา เขาเปิดฝาขวดหมึกออก จุ่มปากกาลงไป แล้วเริ่มจดบันทึกอะไรบางอย่างลงไปในสมุด...
แสงสว่างจากตะเกียงฝาพนังที่ค่อยๆ ทอแสงสว่างขึ้นมาทีละดวงๆ จาก เวทมนตร์บทสั้นๆของเด็กสาว ซึ่งตอนนี้กำลังเขย่งเท้า เพื่อที่จะเปลี่ยนเทียนในตะเกียงริมผนัง สร้อยเส้นบางบนลำคอบางระหงแกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงเทียนจากช่องของลวดลายแกะสลักอันสวยงามบนตะเกียง ในยามที่แสงสีส้มจากเปลวเทียมส่องลอดออกมาดูแล้วสวยงามยิ่ง ฝีมือการแกะสลักลายบนตะเกียงนี้เป็นของช่างชื่อดังแห่งเมืองราเฟรเซีย เมืองแห่งช่างผีมือทางใต้ ว่ากันว่างานฝีมือในอาณาจักรเมียร์นี้ ที่ดีที่สุดต้องมาจากราเฟรเซียเท่านั้น ซึ่งสิ่งของหลายๆอย่างในโบสถ์นี้ก็มาจากฝีมือของช่างแกะสลักจากเมืองราเฟรเซีย
เรน่าถอนหายใจเฮือกสั้นๆ หลังจากที่เธอ กลับมายืน แบบปรกติตามเดิม เด็กสาวมองไปยังตะเกียงรอบๆที่ได้นำเทียนไปใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว พลางเดินมายังทางเดินกลางโบสถ์ และหลับตาลงช้าๆ
เธอกำมือสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วพึมพำอะไรบางอย่างพร้อมกับโบกมือขวาเป็นรูปวงกลมเบื้องหน้าตนเองแล้วเริ่มร่ายมนตร์...
“Ladimentoza Rena Canarvein Lomiflames Ardestkest”
[ด้วยเวทมนตร์แห่งข้า เรน่า คานาเวียน ขออัญเชิญพลังแห่งไฟ เปลวไฟเอ๋ยจงลุกโชน]
เปลวไฟในตะเกียงดวงที่ยังไม่ได้จุดไฟ ก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ส่งแสงสว่างให้สาดส่องไปทั่วโบสถ์เล็กๆแห่งนี้ เผยให้เห็นถึงผนังของโบสถ์ด้านในซึ่งก่อด้วยหินอ่อนสีขาวนวลที่มีลวดลาดสวยงาม แตกต่างจากผนังหินภายนอกซึ่งทำจากแผ่นหินแข็งบนภูเขาทาทับด้วยสีขาว เพราะหินแข็งนี้ช่วยให้สามารถป้องกันผู้ที่อยู่ภายในจากสภาพอากาศอันเลวร้ายในฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี แต่ในปลายฤดูร้อนเช่นนี้หน้าต่างสูงบานเล็กๆดูจะได้ใช้ประโยชน์มากกว่าในการรับแสงแดดอ่อนๆยามบ่าย
แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างบานสูงเหนือตะเกียงเล็กน้อย ส่องผ่านมาจับยังใบหน้านวลของเด็กสาว ที่กำลังเดินอยู่บนพรมสีแดงเข้ม ซึ่งทอดยาวไปสู่แท่นพิธี ขนาบข้างด้วยเก้าอี้ยาวสีน้ำตาลมันปลาบ
จุดหมายของเธอไม่ได้ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของพรมยาว เด็กสาวเดินก้าวสั้นๆอย่างแผ่วเบาไปที่ประตูข้างๆแท่นพิธี แล้วยกมือขวาขึ้นมาเคาะประตูสองสามครั้ง
มีเสียงของการเคลื่อนไหวดังขึ้นหลังประตู พร้อมกับบานประตูที่เปิดออกโดยบาทหลวงชรา ซึ่งก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไรกับเสียงของเด็กสาว ซึ่งตอนนี้ดูจะมีเสียงดัง และร่าเริงเกินไปก็ตามที
“คุณพ่อคะ” เรน่าเอ่ยพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม “หนูเปลี่ยนเทียนในตะเกียงเสร็จแล้วค่ะ”
ชายชรามองดูเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่งราวกับพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง แล้วเหมือนจะได้คำตอบในทันใด เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้เรน่าซึ่งเธอดูเหมือนว่าจะเข้าใจในความหมายของกริยานี้เป็นอย่างดี
เพราะเธอยิ้มกว้างและกล่าวขอบคุณชายชราด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนที่จะกลับตัวอย่างช้าๆแล้วก้าวเท้าเดินออกไปจากโบสถ์ในลักษณะที่เหมือนกับวิ่งมากกว่าเดิน
บาทหลวงวุลฟริกมองตามหลังเด็กสาวออกไปสู่ถนน ซึ่งเธอก็กำลังหัวเราะร่วมกับเพื่อนๆ ชายชรามองดูเด็กสาวและเพื่อนๆของเธอด้วยความเอ็นดู เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเด็กสาวยิ้มอย่างร่าเริง
“เรน่าเอ๋ย แค่เพียงเจ้ามีความสุข ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด”บาทหลวงวุลฟริกเอ่ยเบาๆราวกับพึมพำกับตัวเอง “แค่เพียงเจ้ามีความสุข”
คิ้วของชายชรามุ่นลงมาเล็กน้อย เรื่องราวบางอย่าที่เขาไม่พยายามจะหวนคิดถึง แล่นผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ซึ่งเขาก็สลัดมันทิ้งไปแทบจะในทันที แล้วก็กล่าวอะไรบางอย่างด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในห้อง
ปึง...
ประตูหน้าโบสถ์ที่เด็กสาวเปิดทิ้งไว้ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆพร้อมกับประตูห้องทำงานของบาทหลวงชราทีปิดลงอีกครั้ง
ความคิดเห็น