คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 แสงเทียนที่ถูกจุดขึ้น
บทที่ 1 แสงเทียนที่ถูกจุดขึ้น
แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาภายในห้องสีขาวหม่นผ่านทางช่องผ้าม่านที่ถูกปิดไว้แบบลวกๆ ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆต้อนรับแสงอาทิตย์ในยามเช้า
‘นี่คงเข้าสู่หน้าหนาวแล้วกระมัง’ อากาศภายในห้องเริ่มเย็นขึ้นมาเล็กน้อย ผมมองตรงไปยังนาฬิกาดิจาตอลที่อยู่ตรงหัวเตียง
[3/11/07 06:15] ‘วันนี้โคจังก็เริ่มภาคเรียนที่สองแล้วสินะ’ ผมคิดพลางเหม่อมองไปยังเพดานสีขาวที่อยู่ไม่สูงนัก ไออุ่นในอ้อมกอดแผ่ซ่อนมาถึงตัวผม ผมก้มลงไปมองร่างเล็กๆของเด็กสาววัย 14 ปีในอ้อมกอด เสียงหายใจแผ่วๆเป็นจังหวะบ่งบอกว่าเธอกำลังอยู่ในนิทราอันแสนสุข ผมยกมือขวาขึ้นลูบหัวเธอเล่นอย่างเอ็นดู พลางจ้องมองไปยังใบหน้าที่แสนจะน่ารักของเธอ
“อือ...” โคจังครางออกมาเบาๆก่อนจะก้มหน้างุดลงไปซุกกับอกของผม นั่นทำให้ผมอดหัวเราะน้อยๆไม่ได้ แต่ดูเหมือนเสียงหัวเราะของผมคงจะไปขัดอารมณ์สุนทรีแห่งการนิทราของเธอเสียกระมัง
เด็กสาวยกมือขึ้นขยี้ตาครั้งหนึ่งก่อนจะลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเธอไป เธอยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เช้าแล้วเหรอคะ” น้ำเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้น เธอถามจบแล้วก็เอาศีรษะวางทาบลงกับแผ่นอกของผม ผมโอบกอดเธออย่างทนุถนอมก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“เช้าแล้วครับเจ้าหญิงของผม” ผมแกล้งเอ่ยหยอกล้อเธอไปอย่างนั้น ทำเอาเด็กสาวมองหน้าผมด้วยความเคืองนิดๆก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง
“กี่โมงแล้วคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลที่แฝงแววขุ่นเคืองเล็กน้อยดังขึ้น กิริยาท่าทางของเธอแบบนี้ทำเอาผมอดยิ้มน้อยๆไม่ได้กับความน่ารักของน้องสาวตัวเอง
“หกโมงกว่าแล้ว” ผมตอบกลับไปแบบปกติ ทันทีที่ได้ยินเธอก็ยันกายลุกขึ้นนั่งจากนั้นจึงบิดขี้เกียจซักสองสามทีก่อนจะเดินตรงไปยังประตู
“งั้นหนูไปแปรงฟันก่อนนะคะ” เธอกล่าวจบพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังไล่หลัง ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดลงไปยังชั้นล่าง ผมเหม่อมองไปยังพื้นเพดานสีขาวนั่นอีกครั้ง ความฝันเมื่อครู่มันช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน เหมือนจนเราไม่อาจแยกแยะออกได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดคือความฝัน มันเหมือนจนกระทั่งเราหลงนึกว่าตัวเองนั้นได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความทรงจำของสองเรา ที่ยังคงอยู่ในใจผมตลอดมา และมันจะอยู่ในใจผมตลอดไป
“นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราพูดคำๆนั้นออกไป นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราเอ่ยปากสัญญากับเธอว่าเราจะรักษาเธอให้ได้ แล้วเมื่อไหร่กันนะที่คำสัญญานั้นจะเป็นจริง” ผมพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะเบือนหน้าไปยังหน้าต่างด้านข้าง ภาพเบื้องหน้าเป็นบ้านเรือนจำนวนมากเรียงกันไปจนสุดลูกหูลูกตาอาจมีตึกสูงระฟ้าปะปนมาบ้างเล็กน้อย มองไปเบื้องล่างจะเห็นถนนเส้นเล็กๆที่ตัดผ่านหน้าบ้านของเราไป บ้านที่ผมกับน้องอาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านเดี่ยวขนาดสองชั้น มีอาณาเขตรอบบ้านเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้อยู่อาศัยเพียงสองคน พ่อกับแม่ทำงานอยู่ต่างประเทศนานๆทีจึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง สมาชิกในบ้านหลังนี้จึงมีเพียงผมและน้องสาวสองคนเท่านั้น จะว่าไปมันก็เหงาอยู่บ้างแต่แบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องมีคนมายุ่งวุ่นวายเรื่องของพวกเรา
“พี่ค่ะ ลงมาแปรงฟันเตรียมทานอาหารเช้าได้แล้วค่ะ” เสียงใสๆดังมาจากชั้นล่างเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย ผมจึงยันกายลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วจัดแจงเดินลงไปยังห้องน้ำชั้นล่างเพื่อล้างหน้าแปรงฟันและจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จสิ้น ผมชื่อโคริทสึ ริวทาโร่ อายุ 20 ปี เป็นนักศึกษาแพทย์ปีสองของมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น การเรียนอยู่ในระดับสูงสุดของคณะ เรื่องกีฬาถือว่าพอใช้ไม่โดดเด่น ส่วนเรื่องมนุษย์สัมพันธ์น่ะเหรอ ถ้าไม่ใช่โคจังแล้วล่ะก็ ติดลบเลยล่ะ เพราะผมเป็นคนที่ไม่สุงสิงกับใคร แถมยังไม่ค่อยชอบคบหากับเพื่อน ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นเมื่อ 6 ปีที่แล้วผมก็ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ปิดกั้นตนเองโดยสมบูรณ์
ยกเว้นกับโคจัง ผมพยายามอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้าคณะนี้ และเมื่อเข้าได้แล้วผมพยายามค้นคว้าเพื่อหาวิธีการรักษาโรคของโคจังให้หายขาด ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังไม่พบก็ตาม แต่ทว่าผลการค้นคว้าที่เกี่ยวข้องของผมก็ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นแพทย์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ เนื่องด้วยผมเรียนอยู่แค่ชั้นปีที่ 2 แต่มีผลงานวิจัยอันเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ จนมีบางคนพูดกันไปว่าผมอาจได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ก่อนจะเรียนจบก็เป็นได้
“พี่คะ อย่าเหม่อสิเดี่ยวก็ไปสายหรอก” เสียงของโคจังออกแนวตำหนิผมเล็กน้อย เนื่องจากผมดันเหม่อขณะที่กำลังนั่งกินอาหารเช้ากับเธออยู่นั่นเอง
“โทษที พอดีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ผมกล่างขอโทษจากนั้นจึงยัดขนมปังปิ้งเข้าปากแล้วยกนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แต่ดูเหมือนการที่ผมทำแบบนี้ลงไปคงจะไปกระตุ้นต่อมบางอย่างของน้องสาวสุดแสนจะน่ารักของผม เพราะตอนนี้เธอโกรธเข้าให้แล้ว
“โถ่... พี่เนี่ย หนูบอกว่าอย่าเหม่อแต่ไม่ได้บอกให้รีบกินแบบนั้นนี่คะ ถ้าเกิดมันติดคอขึ้นมาจะว่ายังไง พี่เนี่ยเป็นแพทย์ซะเปล่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่รู้จักคิดก็ไม่รู้” เธอบ่นออกมาฉอดๆ ทำเอานักศึกษาแพทย์อย่างเราถึงกับอายไปเลยทีเดียว ทันทีที่พูดจบเธอก็ค่อยๆกัดขนมปังปิ้งส่วนของตัวเองที่เหลือให้หมดจากนั้นจึงค่อยๆดื่มนมจนหมดแก้วแล้วจัดแจงเก็บถ้วยชามไปวางทิ้งไว้ที่อ่างล้างจาน เพื่อเตรียมทำความสะอาดในช่วงเย็นเลยทีเดียว เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินออกไปสตาร์ทเครื่องยนต์วีออสสีดำขลับ ที่จอดอยู่หน้าบ้าน ไม่นานนักเธอก็เดินออกมาจากบ้านจัดแจงลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นมานั่งบนรถฝั่งตรงข้ามกับคนขับ เมื่อเห็นว่าน้องคาดเข็มขัดนิภัยเรียบร้อยแล้ว ผมจึงค่อยๆเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถออกสู่ถนน
แสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมส่งน้องลงที่หน้าประตูโรงเรียนแล้วขับต่อไปยังมหาลัย ถนนหนทางในเมืองฟุกุโอกะในขณะนี้ล้วนคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์หลากหลายชนิดที่จอดติดกันเป้นทางยาวขยับไปไหนไม่ได้ ในเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนต่างรีบเร่งนั้นถนนหนทางย่อมติดขัดเป็นธรรมดา ผู้คนส่วนใหญ่จึงมักเลี่ยงไปใช้การโดยสารรถประจำทาง รถไฟ หรือแม้กระทั่งจักรยานและสองเท้าของคนในการคมนาคมในช่วงเวลาเร่งด่วนเหล่านี้
แต่การผมนั้นเลือกที่จะขับรถส่วนตัวออกมาเป็นเพราะหากปล่อยให้น้องสาวที่มีร่างกายอ่อนแอขึ้นรถไฟแล้วเดินต่อมายังโรงเรียนนั้นเห็นจะไม่เหมาะอย่างยิ่ง ผมจึงยอมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่รถติดไม่ยอมขยับเป็นเวลาร่วมชั่วโมงอยู่ทุกวันโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย ช่วงระยะเวลาที่รถกำลังติดอยู่นั้นผมก็ใช้เวลาหมดไปกับการอ่านวิทยานิพนธ์เรื่องโรคเกี่ยวกับหัวใจ แล้วใช้คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กเข้าอินเตอร์เนตเพื่อค้นหาข้อมูลที่จะใช้รักษาโคจัง แต่ดูเหมือนว่าผมจะคว้าน้ำเหลลวไปเสียทุกครั้ง ข้อมูลที่ผมได้ออกมามักมีส่วนขัดแย้งกันอยู่เสมอ แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว ข้อมูลขยะที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคของน้องสาว ผมจะจัดการเรียบเรียงมันและเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ขึ้นเพื่อชี้แนะแนวทางการรักษาให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจในรูปแบบต่างๆ ถือเสียว่าเป้นการทำเพื่อสาธารณะและไม่ให้เวลาที่ผมใช้ในการค้นหาข้อมุลมันสูญเปล่าไปเสียเฉยๆแต่ในที่สุดการค้นหาข้อมูลของผมก็หยุดชะงักลงเนื่องจากโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกระทันหัน เมื่อหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าสายที่ดทรเข้าเป็นเบอร์ของศาสตราจารย์โอริมูระ
โอริมูระ สึบากิ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผมอีกทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมงานวิจัย นอกจากนี้ยังเป็นศาสตราจารย์ประจำแผนกศัลยกรรมหัวใจอีกด้วย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดรับสาย
“อรุณสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์โอริมูระ” ผมกล่าวทักทายด้วยเสียงที่นอบน้อมก่อนจะจัดแจงเก้บเอกสารที่กองอยู่บนเบาะออกแล้วหันมาจับที่พวงมาลับ เนื่องจากรถเริ่มเขยื่อนไปข้างหน้าแล้ว
“โคริทสึคุง ถ้ามาถึงมหาลัยแล้วรีบมาที่ห้องวิจัยเลยนะ ฉันมีอะไรจะให้เธอดูด้วยล่ะ” เสียงจากปลายสายฟังดูตื่นเต้นชอบกล ดูเหมือนทางนั้นเองก็คงจะค้นพบอะไรสักอย่างเหมือนกัน หรือว่าเป็นตัวยาที่เรากำลังทำการทดลองกันอยู่
“มีอะไรรึเปล่าครับศาสตราจารย์” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงออกแนวกังวลปนตื่นเต้น ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำที่ทำเอาผมดีใจจนแทบช็อก
“ตัวยา CH-11 หรือ CEP กับ PLE-12 หรือ PEP ที่เราสองคนกำลังทดลองกันอยู่ ดูเหมือนผลแลปจะออกมาแล้ว” ศาสตราจารย์โอริมูระพูดด้วยน้ำเสียงตื่นแต้นจนออกนอกหน้า
“แล้วผลแลปก็บ่งชี้ว่ามันออกฤทธิ์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งการหยุดเต้นของหัวใจโดยเฉียบพลัน” เสียงปลายสายยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนผมนั้นได้แต่อึ้ง เพราะนั้นหมายถึงแสงเทียนที่จะคอยส่องทางเวลารักษาโคจังนั้นได้ถูกจุดขึ้นแล้ว
“มะ... หมายความว่า...” ผมกล่าวออกมาด้วยเสียงตะกุตะกัก ลำคอแห้งผาก ลมหายใจเริ่มติดขัดสมองปั่นป่วนไปหมด
“ใช่...” ปลายสายกล่าวสั้นๆก่อนจะหยุดหายใจสักครู่แล้วเริ่มกล่าวต่อ
“ถ้าหากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หากเราฉีด CEP ลงไปตัวยาจะมีฤทธิ์กระตุ้นการเกิน VT(ภาวะหัวใจเต้นแร้วผิดจังหวะ) แบบอ่อนๆเพื่อช่วยกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง และหากมีการฉีด PEP อย่างสม่ำเสมอ ตัว PEP นั้นจะออกฤทธิ์เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์หัวใจ เป้นการรักษาระยะยาว ที่นี้เราก็มีโอกาศช่วยน้องสาวเธอแล้วล่ะ” เสียงตอบกลับจากปลายสายทำเอาผู้เป็นพี่อย่างผมยินดีไม่น้อยที่ได้รับฟังข้อความเหล่านั้น ผมแทบอยากจะลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปมหาลัยเสียตอนนี้เลยหากแต่ผมไม่อาจทำแบบนั้นได้ เพราะถ้าผมลงจากรถและวิ่งตรงไปยังมหาลัยด้วยด้วยสภาพนี้ ผมจะเอารถที่ไหนขับไปรับน้องสาวที่น่ารักในตอนเย็นกันเล่า
ความคิดเห็น