ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    sora to kumo ท้องฟ้าและเมฆา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ อดีต ปัจจุบัน อนาคต

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 53


    Sora to kumo

    บทนำ อดีต ปัจจุบัน อนาคต

                    ผมเหม่อมองไปยังเด็กสาวที่นอนอยู่ตรงหน้า แสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามาทะลุผ่านผ้าม่านบางๆที่ปลิวไสวตามแรงลมจากด้านนอก ภายในห้องถูกทาสีด้วยสีโทนขาวเกือบทั้งหมด อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆถูกวางไว้อย่างดีและเป็นระเบียบ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน คงจะเรียกได้ว่าดีที่สุดแล้วกระมังสำหรับโรงพยาบาลเมืองเล็กๆแบบนี้ ไม่นานนักผมก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังประตูบานเลื่อนเพื่อแหวกผ้าม่านออก สายลมที่อ่อนโยนพัดผ่านเข้ามาจากประตูที่ไร้ผ้าม่านกั้นขวาง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาเพื่อสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าให้เต็มปอดก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ มันช่วยผ่อนคลายได้มากเลยทีเดียว

    ผมค่อยๆลืมตาอีกครั้ง ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นชายทะเลที่สงบเงียบ มีคลื่นพัดมากระทบฝั่งบ้างเป็นครั้งคราวด้านขวาเป็นภูเขาสูงตระหง่านที่คอยกั้นแนวลมไว้ไม่ให้ที่นี่มีอากาศที่หนาวจนเกินไป ผมถอนสายตามองกลับมายังเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง เส้นผมสีดำขลับแผ่กระจายอยู่เกือบเต็มเตียงราวกับเจ้าหญิงนิทราที่รอเวลาให้เจ้าชายมาจุมพิตอย่างไรอย่างนั้น เธอผู้นั้นคือน้องสาวบุญธรรมของผมเอง เธอชื่อโคริทสึ โคโดคุ อายุ8ปี ผมเพิ่งจะมารู้เอาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ว่าเธอเป็นโรคหัวใจอ่อนแอมาแต่กำเนิด ซึ่งการรักษานั้นก็ยากเอาการเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมคนนี้จะรักษาเธอให้หาย ผมสัญญาไว้กับเธอแล้วเมื่อวาน ว่าผมจะเข้าคณะแพทย์และรักษาเธอให้ได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของผม

    “อืม...” เสียงครางเบาๆถูกส่งออกมาจากเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ผมผละจากทุกอย่างรีบตรงมาดูอาการของเธอทันที โคจังเริ่มเปิดเปลือกตาน้อยๆของเธอขึ้นมา เธฮหันมองมาทางผมแล้วส่งยิ้มให้ ผมจึงยิ้มตอบแล้วกล่าวถ้อยคำอันแสนอบอุ่นเพื่อทักทายเธอ

    “ตื่นแล้วเหรอ โคจัง” ผมกล่าวก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของเธอเพื่อรับขวัญ เธอยิ้มน้อยๆให้กับผมแล้วกล่าวตอบ

    “ตื่นแล้วค่ะ พี่ชาย” เธอส่งยิ้มให้ รอยยิ้มของเธอช่างอบอุ่นละมุนละไมเกินกว่าจะพรรณนาได้ สองข้างแก้มที่แดงเปล่งปลั่งประกอบกับริมฝีปากที่จิ้มลิ้มดูเอิบอิ่มยิ่งชวนให้รอยยิ้มนั้นชวนน่าหลงไหลมากขึ้นไปอีก

    “ขอโทษนะคะ” เธอกล่าวก่อนจะก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด แววตาดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นยิ่งชวนให้ผมสงสัยมากขึ้นไปใหญ่

    [ขอโทษ... ขอโทษเรื่องอะไรกัน] ผมครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่ก็มิอาจหาคำตอบออกมาได้สักที อีกอะไรที่น้องต้องขอโทษผมด้วยเล่า

    “ขอโทษเรื่องอะไรหรือ?” ปากไวเท่าความคิด รู้ตัวอีกทีผมก็ได้พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว สีหน้าของเธอยิ่งหมองลงไปอีก ราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอการลงโทษหลังจากที่แอบกินของว่างก่อนเวลา นั่นทำให้ผมยิ่งกังวลมากขึ้น ผมนั่งลงตรงขอบเตียงแล้วใช้มือทาบลงบนใบหน้าของเธออย่างนุ่มนวล สายตาทอดมองลงไปยังน้องสาวผู้นิ่งเงียบมาตลอด เธอสบสายตากับผมก่อนจะฝืนยิ้มออกมา

    “ทั้งๆที่พี่ก็ใกล้จะสอบอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาคอยดูแลหนูอยู่ที่นี่ ขอโทษจริงๆค่ะ” ทันทีที่พูดจบสีหน้าของเธอก็หมองลงในทันทีราวกับว่าสิ่งที่เธอได้กระทำลงไปนั้นเป็นความผิดร้ายแรงที่มิอาจให้อภัยได้ จนต้องถูกตำหนิหรือรังเกียจจากผม

    [ขอโทษ... เรื่องแค่นี้เองน่ะหรือ นี่เธอคงคิดว่ามันจะทำให้เราไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบกระมัง] จริงอย่างที่เธอว่าปีนี้ผมก็อายุปาเข้าไป 14 ปีแล้ว แถมยังเป็นช่วงที่กำลังจะสอบเข้าเรียนในชั้นมัธยมปลายอีก แต่ถ้าแค่ห่วงเรื่องการอ่านหนังสือของผมล่ะก็ไม่จำเป็นหรอก เพราะหลังจากหมดช่วงเวลาเยี่ยมไข้ ผมก็จะกลับไปอ่านหนังสือจนมืดทุกครั้ง เวลาที่จะให้อ่านน่ะ มีถมเถไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่น่ะ เก่งอยู่แล้วล่ะ” ผมตอบก่อนจะอมยิ้มให้ สีหน้าของเธอดูดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็คงอดเป็นห่วงผมไม่ได้กระมังแต่สุดท้ายเธอก็ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ผม

    “ข้อสอบของคนจะเอ็นต่อเป็นนักเขียนคงไม่ยากหรอกมั้งเนอะ” เธอพูดก่อนจะหัวเราะน้อยๆออกมาทำให้ ดูน่ารักเป็นยิ่งนัก

    “ไม่ใช่ๆ” ผมกล่าวพร้อมทั้งส่ายหน้าช้าๆ เธอเรื่อมหยุดหัวเราะแล้วหันมามองผม

    “พี่จะเอ็นหมอแล้วมารักษาโคจังต่างหาก” เธอหุบยิ้มในทันที บรรยากาศรอบๆตัวเราทั้งคู่เงียบสงบราวกับพร้อมที่จะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ดวงตาคู่นั้นของเธอจ้องเขม็งมาทางผม คิ้วทั้งสองข้างเคลื่อนเข้าหากันจนแทบจะขมวดเป็นปมอยู่แล้ว

    “แต่ว่าโรคของหนูมัน...” เธอกล่าวได้ยังไม่ทันจบก็หยุดลง นิ้วชี้ของผมที่ทาบลงไปบนปากของเธอทำให้เธอหยุดพูดในทันที ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูด

    “ต่อให้มันยากแค่ไหนพี่ก็จะรักษา ต่อให้หมอทั้งโลกบอกว่าไม่หายพี่ก็จะหาวิธีมารักษา ต่อให้พระผู้เป็นเจ้าบอกให้ตัดใจพี่ก็จะสู้ต่อ” เมื่อพูดจบผมก็ยกนิ้วที่ทาบปากของเธอออก ริมฝีปากของโคจังสั่นระริกหยาดน้ำใสๆไหลอาบลงสองข้ามแก้มที่แดงเปล่งปลั่ง

    “ทำไมกันคะ...” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น

    “ทั้งๆที่พี่กำลังจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองวาดฝันไว้แท้ๆ แต่ทำไมถึงหันหลังให้มันล่ะคะ...” น้ำเสียงขอเธอสะอื้นมากยิ่งขึ้น ผมดึงตัวเธอเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม มือซ้ายยกขึ้นลูบหัวเธออย่างเอ็นดู

    “เพราะรักยังไงล่ะ...” เสียงสะอื้นของโคจังยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

    “เพราะว่าเธอคือน้องสาวเพียงคนเดียวของพี่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพรากพวกเราออกจากกัน” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นก่อนจะกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก

    [ใช่... ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ยาจก กษัตริย์หรือกระทั่งแพทย์ก็ตามที ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ แม้ว่าเขาคนนั้น จะเป็นพระเจ้าก็ตาม...] ผมจะไม่ยอมให้ใครมาพรากพวกเราทั้งนั้น ก็เพราะพวกเรา มีกันแค่สองคนเท่านั้นเองนี่นา...

    แสงสุดท้ายแห่งตะวันสาดส่องเข้ามายังห้องผู้ป่วยที่ขาวโพลนนี้ สายลมอ่อนถูกพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้เพื่อระบายอากาศ บรรยากาศภายในห้องนั้นเงียบกริบ จะได้ยินก็เพียงเสียงสะอื้นเบาๆจากเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของผม และไม่นานนักมันจะเปลี่ยนเป็นเสียงหายอันแผ่วเบาและเป็นจังหวะ นั่นหมายถึงว่า เธอได้กลับลงไปแล้ว... เพื่อรอคอยยามเช้าอันสดใสที่จะมาเยือนเธออีกครั้งในวันรุ่งขึ้นเมื่อเธอนั้นได้ตื่นจากนิทรา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×