ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic(My hero academia / Boku no hero academia x oc)(MHA)(BNHA) นามขานของความกลัว ฮิมิยะ ทาเครุ

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่4 :เรียนรู้ซะผู้พ่ายแพ้

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 65


    ออร่าดำโผยพุ่งทั่วสนาม มันคมฉาบและเหลวไม่คงรูป อยู่งคนล่ะฝั่งตรงข้ามของสนามกรีฑาที่มีโดมเหล็กขึ้นมาปิดพื้นที่หลายตรางเมตร

    ประกายดำ ไหล่ผ่านช่องว่างแคบที่มีคนยื่นเรียงกันดั่งภาพหยุดนิ่งลงกระมั่ง

    "มาเริ่มกันเถอะ"

    ตัวผมฮิมิยะ ชิคุโระ หรือก็คือเดโวลเอจในชื่อฮีโร่ คือแสงทมิฬนั้นที่ต้านกับความมืดสีดำ ที่ใจกลางนั้นคือ ทาเครุ ญาติตัวขาวของผมที่มองว่าเป็นน้องชาย ตั่งหน้าตั้งตาเอาจริงพร้อมปล่อยสัญชาตญาณที่แสนลึกลับออกมา

    "พวกฉันไม่แพ้หรอกนะ! ถ้าฉันอยู่ตรงนี้! จะไม่มีใครอาการสาหัสเด็ดขาด!"

    คำขาดที่หนักแน่นกับเจตนาที่แรงกล้า คุณสมบัตินั้นงอกผมออกมาอย่างงดงาม คือสัญชาตญาณของปีศาจที่ตื่นขึ้นย้อมดวงตาสีเลือดให้มืดดำ

    วินาทีที่นั้นออร่าทมิฬหุ่มครอบครองร่างของทั้ง20ชีวิตตรงหน้าผม 

    ตามข้อมูลที่อิโชโดหรือฟลูเพลสให้มา ผู้หญิงผมดำยาวหน้าม้าปิดที่พุ่งตัวนำฝ่าตรงกลางออกมา

    "ฮ๊าาาาาา!!"

    ชิโนบิ ยาริคุง อัตลักษณ์สลับบุคลิก พลังหมัดทางกายภาพโหดที่สุดในห้องสินะ

    แต่ว่า...

    "..."

    คอขวาเอียงหลบหมัด แขนซ้ายยกดันข้อพับของสาวน้อยผมดันเบนวิถีห่างออก เค้าเตอร์กลับหมัดขวางัดคางขึ้นด้วยหมัดอาภรสีทมิฬ

    "คั๊ก!"

    ต่อมาทั้งซ้ายและขวา ฮิมิละคุง และ คันซากิคุง พุ่งเข้าพร้อมมือขวาที่พยายามจะขอสัมผัสร่างนี้แบบเอาจริงเอาจัง ในการทำงานอัตลักษณ์ของทั้ง2

    ทางบนฟ้าแผ่นดิสท์หนา1.5เซนติเมตร อยู่เหนือหัว สังเกตุจากรอยยิ้มและคำพูดว่า "เสร็จล่ะ!" ของชิราโซเมะคุง ก็เดาว่าเป็นเขาแน่

    ในหัวนี้มีข้อมูลและจุดอ่อนของทุกคนเต็มไปหมดจากหนึ่งในอัตลักษณ์ ที่ถูกแย่งชิงมาจากAFOในร่างกายนี้ 

    แฟลชทมิฬวาบจากพื้นอย่างเจิดจ้า แม้มืดดำ 0.00000001 วินาที เท้าขวาถีบท้อง หมัดซ้ายถูกท้อง และศอกขวาดันเข้าลิ้นปี่ พร้อมกันในการขยับครั้งเดียว 

    ฮิมิละคุง คันซากิคุง ชิราโซเมะคุง ล้มลงไปตามลำดับการโจมตีที่เรียงไว้ 

    "ลุยต่อให้สุดไปเลย!"

    บันตะคุง ท่าที่เห็นแล้วคงเป็นเอสของห้องในปีนี้ เรียงร้อยคำกับมือที่กวักร้อยบททำนองสนามรบ ดึงปีศาจของชายที่เร็วที่สุดในห้องออกมา

    แฟลชสีทองวิ่งตรงตีขนานกัน ผู้ชายผมน้ำตาล ดวงตาสีฟ้า กับอีกตัวเขาในร่างปีศาจผิวเทาดวงตาสีแดง ฟุจิมารุคุง ตรงหน้าหมั่นหน้าด้วยความเร็ว

    "ฉันเร็วกว่าคุณอยู่แล้ว" เสียงในใจที่ผมได้ยินในช่วงไมโครวินาที 

    ซึ่งมันก็จริงที่เขาเร็วกว่า...

    แต่นั้นหมายถึงตอนที่ใช้งานแค่ดาร์คกรีมน่ะนะ

    เสี่ยวเวลาในส่วนเรียกว่าไม่สามารุให้นิยามถึงข้อจำกัดนั้นมนการเดินทาง แฟลชสีดำที่ผสมปนเปกับออร่าสว่างสีฟ้า วิ่งชนมองเห็นสปีทที่ช้ากว่าตัวเองอย่างมาก

    "ฉันยอมรับในความเร็วของเธอ......"

    ปัก! จบการชื่นชมหมัดขวาอัดที่กลางอกของปีศาจความเร็ว สันมือซ้ายสับต้นของของร่างต้น สังเกตุว่าฟ้าในจุดหลาย10เมตร มือหัวเลื่อยยนต์กระโจนตั้งท่าจะฟาดลงมา 

    ฮิงาลิคุงสินะ เวลาที่ยิ่งกว่าคำว่าหยุดเดินถูกเติมเต็มทิวทัศน์และเวลาว่างให้เห็นรอบทิศ 

    ทั้งหญิงร่างมังกรไฮบริคที่บินบนฟ้า สาวมือที่ไม่เคาะกลองจะได้ลงถึงเป้าหมายที่จะตีเพื่อทำงานความสามารถ หนุ่มผมน้ำตาลหน้าม้าโค้งคาเสะคิริคุง ที่วิ่งตีคู่มากับรถไฟไอน้ำสีแดง หญิงที่มือทั้งคู่จับเขาแพะผมบ็อบทาจิบานะคุง

    ทั้งหมดทุกคนต่างมีสายตาที่จะมาสู้กับผมคนนี้กันหมดทุกคน

    เมื่อ4 ปีก่อนสายเลือดในอกนี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์ และผลที่รับมาคือ พลังในการ"กำราบอัตลักษณ์" กำราบของตัวเองในการฝืนขีดจำกัดที่ถูกกำหนดกรอบโดยสิ่งเร้าอื่น คือขีดจำกัดที่แข็งแกร่งที่สุด... แต่มันอาจจะไม่ใช่ที่สุด

    และผมก็เชื่อแบบนั้นว่าสักวัน...

    ดวงตาแดงเลือดสดหันมอง ที่หน้าญาติอายุน้อยที่เห็นเป็นน้องชายพยายามเบ่งออร่าส่งสารทมิฬออกไปคลุมร่างผู้บาดเจ็บที่เข้ามาก่อนหน้านี่ผลางกับส่งมาโจมตี และป้องกันเพื่อนร่วมห้องของตัวเองไปในตัว

    "สักวันนายจะเจอสิ่งนั้นเอง คำตอบในสายเลือดของพวกเราน่ะ"

    ยิ้มอ่อนๆมอบในเวลาที่ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาได้........ ปลายเท้าสะกิดเคาะพื้นเบา ๆ ดั่งหยดน้ำที่หยดลงบนผิวน้ำที่คลื่นจะกลายจายตัวออก 

    ตู้ม!!!!! แรงพินาศสั่นทั่วทั้งโดมสนามที่ค่อยๆเปิดออกมา กลุ่มควันเลือนลางลง เหล่าผู้จะเป็นยอดฝีมือในอนาคต หมดสภาพกันหมดทุกคน...ไม่สิ พูดให้ถูกเลยมีคนที่ไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยอย่าง ทาเครุ

    "ไรน่ะ..."

    ตาค้างตึงกับสีหน้าหวาดหวั่นรุนแรงสีเลือดของเรือนผมสีขาว ทาเครุสะอึกช่วงอึดใจ

    "...!!"

    ปลายแหลมของแทงสีดำใกล้คอในช่วงพริบตา จนหน้าของผู้ที่บอกว่าจะปกป้องทุกคนนั้นซีดหนักกว่าสีหน้าดั่งเดิมของตน

    "อาดิว"

    ประโยคสั่งลาที่ประกาศมาซึ่งชัยชนะลอยออกไปกับอาวุธที่สลายไปจากมือข้างนี้

    เหมือนมีคนตาในท่ายืนตรงหน้านี้ที่ถูกย้อมดวงตาอย่างสิ้นหวังกับพลังที่ต่างชั้นเกินกว่าฟ้าและเหว ทาเครุกับความหมั่นใจที่ถูกบดละเอียด คอตกทรุดเข่าลงไปกับพื้นอย่างหดหู่

    "...แพ้แล้ว...ราบคาบเลย..."


    "ทั้งหมดเคารพ"

    อาจารย์ประจำชั้นสั่งพวกเราที่พึ่งแพ้ โค้งให้กับคนที่มาช่วยชี้แนะด้วยความสิ้นหวังสุดกู่

    "ชอบพระคุณที่ช่วยชี้แนะ!" ทั้งห้องโค้งตัวพูดมาเป็นพิธี ในตอนนี้ผมฮิมิยะ ทาเครุ รู้ตัวกว่าใครว่า "คนที่ผิดหวังมากที่สุดคือผมเอง" แากบอกว่าจะปกป้องแต่สุดท้ายก็ทำมันไม่ได้

    ความเก็บกดเจ็บใจที่ไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าระบายทุกข์ ออกมาด้วยท่าทางนิ่งสงบเหมือนจิตโล่งที่ปล่อยให้รอบด้านนำพาไป

    ฝักบัวราดน้ำลงมาที่ร่าง ใบหน้าที่ดวงตานั้นอมทุกข์ น้ำตาที่ไหล่มากับสายฝักบัวหมายถึงแผลใจอันใหญ่หลวง

    "ก็สมกับเป็นฮีโร่อันดับ1นะ! คุณเดโวลเอจน่ะ!"

    "นั้นสินะ! แต่ไฟฉันมันยิ่งลุกขึ้นกว่าเดิมซะแล้วสิ!"

    ฮิงาลิกับเร็นเสียง2คนนั้นดูไม่ได้ทุกข์เท่าไหร่... ก็นะ ผมมันมูฟออนยากนิ เจอเรื่องช็อคแบบนั้นจะให้มาทำใจได้มันก็...

    "บัดซบเอ้ย! ฉันอยากจะสู้ให้นานกว่านี้อีกจริงๆ!"

    เสียงโวยวายของผู้ชายผมฟ้าว่าให้กลางกลุ่มของผู้ชาย ที่บางคนก็กำลังล้างเหงื่อเสร็จออกมาเช็ดตัวด้วยผ้าข่นหนูกัน

    "ชิโรซาเมะ ถึงนายสู้ต่อไปคงไม่เกินเสี่ยววินาทีหรอก"

    ฟุจิมารุที่กำลังเช็ดผมว่าตอกใจย้ำซ้ำอก แน่นอนว่าเขาก็ไม่ทนตะหวาดกลับมา

    "ก็ไม่ลองจะรู้ได้ไงล่ะ!"

    "อัตลักษณ์ที่แทรกแซงไม่ได้ ยังไงผลก็ออกมาเห็นชัดตั้งแต่ยังไม่สู้กันแล้ว"

    ชายผมฟ้าแต่อ่อนกว่าทรงอันเดอร์คัต เจ้าทาคาฮาชิ ตัดความหวั่งโดยสิ้นเชิงซึ่งก็มีคาเสะคิริ ที่กำลังสวมกางเกงอยู่ให้ความเห็นในแนวทางเดียว

    "พลังที่แกร่งที่สุดคือพลังที่ตนเองมีสิทธิ์มากที่สุด การใช้อัตลักษณ์ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกซ้อม ที่เดโวลเอจให้พวกเราสู้ก็เพราะอาจจะให้รู้ถึงขีดจำกัดก็ได้"

    "ใช่! อย่าพึ่งคิดมากกันสิ! เขาเป็นฮีโร่นะ! ไม่ได้เป็นวิลเลินระดับตัวเป้งสักหน่อย"

    ร่างหัวรถไฟจัดสายเข็มขัดให้เข้ากับตัวพอดี ทางนั้นโดโคโกมะ เจ้าหมอนั้นที่แต่งตัวเสร็จก่อนคยแรกพูด "ฉันขอตัวก่อน" แล้วเดินออกมาซะเลยจากห้องแต่งตัว 

    แน่นอนว่าอีกคนที่เจ็บใจก็คือหมอนั่นด้วยอีกคน...

    "บันตะ..."

    เร็นมองเพื่อนชายที่จากจากห้อง ขณะนั้นร่างขาวเผือกก็ได้เดินออกมาขากห้องโซนพักตัวใจขณะไปน้ำอุ่นๆปิดล้อมรอบไว้

    "เรื่องนี้ฉันกล้าพูดตรงๆว่า พวกเราแพ้ราบคาบทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ "

    ที่จะพูดมีแค่นั้นแล้วหันมาแต่งตีวกลางสายตาคนหลายคนในห้องที่งงว่า "มันพูดอะไรของมันวะ" เพราะบริบทมันไม่ควรจะพูดในตอนนี้ หรือจะถูกก็คือความเกริ่นมาก่อน


    การเรียนการสอนตามปกติของวิชา ก็จะมีคาบภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นที่ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก และก็ไม่มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ 

    คาบคณิตศาสตร์ที่ผมไม่ค่อยจะลงลึกได้ดีเท่าที่ควรก็รับกรรมไปเต็มๆ คือหลับคาห้องซะเลย กลับกันคือวิทยาศาสตร์นั้นตั้งใจตอบมาให้หมดทุกคำถามที่อาจารย์สอนมา "ทิศทางตรงข้ามครับ!" 

    หลังจากยัดวิชาสามัญมาเต็มที่ ก็มาถึงช่วงพักกลางวัน...

    ที่โรงอาหารผมแยกมานั่งกินคนเดียว เพราะยังดิ่งกับเรื่องเมื่อเช้าอยู่ 

    "ขอนั่งด้วยคนสิ ทาเครุคุง"

    "..."

    ช้อนที่กำลังตักข้าวขาวเข้าปากหยุดลง หน้สเงยขึ้นมา และหน้าก็แสดงอารมณ์เสียที่ได้เห็นเธอคนนั้น

    "นี่เธออีกแล้ว? คันซากิ"

    "คือฉันเข้ากับพวกเธอไม่ค่อยได้เท่าไหร่น่ะ"

    สาวผมเขียวหน้ายิ้มวางจานถาดอาหารบนโต๊ะในฝั่งที่หันหน้ามาชนกับผม

    "ถ้าเข้าไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้แหละน่า..."

    บ่นงึมง่ำปั้นหน้าฝืนทน ไม่มองตาหวานสีน้ำผึ้งที่มองตรงมาทางนี้ เพราะนิสัยยัยนี้ผมก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง

    "คุณเดโวลเอจนี่สุดยอดไปเลยเนอะ พวกเรา20คนบางคนเนี่ยแทบไม่ขยับอะไรก็แพ้ไปแล้วเลยน่ะ"

    "จะมาพูดเพราะเรื่องนั้นเนี่ยนะ...นี่เธอคิดอะไรอยู่กันแน่"

    ผมถามไปตรงๆ เธอก็ไม่ได้แยแสอะไรใช้ตะเกียบคีบเนื้อทอดส่งมาให้ผมที่ไม่ไว้ใจในตัวเธอมากนัก

    "ก็แค่น้ำใจเล็กน้อยเอง"

    "กับคนที่ตะเพิดเธอคนนี่เนี่ยนะ"

    "ใครสนเรื่องนั้นกันล่ะ ตอนนี้ก็เพื่อนร่วมห้องกันแล้วฝากตัวด้วยนะ!"

    ไอ้ท่าทางเป็นมิตรเกินเหตุแบบนั้น ยิ่งไม่น่าไว้ใจมากกว่าเดิม ความอึดอัดอัดอั้นในอกและสมอง ส่อแววกับคิ้วที่กระตุกขึ้น

    "บอกไว้ก่อนว่า ถ้าทำอะไรแผลงๆแบบเมื่อตอนอยู่ที่บ้าน... ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ขอบอกไว้ว่าศพไม่สวยแน่--!"

    ระหว่างที่ขู่ไปที่ด้านหลังก็รู้สึกเหมือนว่าไฟกับลังท่วมอยู่ด้านหลังเลยหันควักไปโดยสีหน้าเช่นนั้น เห็นเรือนผมสีขาว ที่สวมหน้ากากเชกเช่นสีผมเดินนำถาดอาหารไป จำไม่ผิดเหมือนว่าจะชื่อ... "นานา..." สักอย่างเนี่ยแหละ ว่าแต่ทำไหมถึงจำชื่อเต็มไม่ได้ก็ไม่รู้

    "นานานะจังสินะ ไม่รู้ทำไหมเหมือนกันแต่ตอนที่สู้เมื่อเช้า เธอกลับทำตัวทำท่าเหมือนปลงแล้วเลย"

    ศอกชวาตั้งมือดันหน้า สายตาของยัยผมเขียวมองเหมือนว่าหงุดหงิดอะไรสักอย่างอยู่ สิ่งที่ผมเชื่อตอนนี้คือ "ยัยหน้ากากนั้น บรรยากาศเสียๆ ที่ปล่อยออกมาโดยไร้สาเหตุแบบนั้น มันหน้าหงุดหงิดชมัด" 


    คาบบ่ายในวันนี้ก็คือคาบของวิชาชีพที่มีเฉพาะสาขาวิชาเรียนนี้เท่านั้น

    มันคือคาบ "ฮีโร่" แต่ว่าเรียนในห้องเรียนกำกับการดูแลโดยอาจารย์ประจำชั้น

    "ในคาบนี้เรื่องที่จะสอนคือเรื่องกฏหมายของผู้มีพลังพิเศษ และประวัติศาสตร์ฮีโร่ไปในตัวด้วย...."

    การบรรยายของอาจารย์กับหัวข้อที่นำเสนอมา ทุกคนตั้งใจบ้างไม่ได้ตั้งใจบ้าง ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องของผู้ลงทะเบียนพบเห็นการตื่นของพลังพิเศษเมื่อ2ศตวรรษก่อน แล้วต่อมาเรื่อยๆจนมาสะดุดกับเรื่องที่ว่า "มหาราชันย์ผู้ปกครองในยุคมืดของผู้มีพลังพิเศษ AFO "

    "...........!!?"

    ตอนนั้นอยู่ๆพอได้ยินชื่อนั้นในใจก็เต้นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกในคาบบทเรียนนี่มาก่อน จากที่ไม่สนใจ ผมก็กลับมาตั้งใจฟังอย่างเต็มตัว

    "เขาเป็นวิลเลินผู้ที่สามารถแย่งชิงอัตลักษณ์ได้ แล้วมีชีวิตอยู่ยืนยาวจวบจน เมื่อ35ปีก่อนเขาก็ถูกพบกลายเป็นศพในฐานทัพลับในสภาพถูกแทงอย่างรุนแรงบนรถเข็น ส่วนผู้ลงมือคือสายเลือดของเขาเอง..."

    น้ำลายกลืนลงคอ "อึก!" ฟังผู้ที่สามารถกำราบผู้ที่เป็นดั่งฝั่นร้ายของยุคสมัยเมื่อครั้งอดีต ทุกคนเองก็เหมือนกัน... ตั้งใจที่จะฟังว่าใครที่ฆ่าสัตว์ประหลาดตนนั้นได้

    สายตาของอาจารย์ผู้นิ่งครึมมองตรงมาที่ผมเหมือนจะส่งคำบางอย่างออกมาให้ แล้วเขาก็ได้ขานชื่อนั้นมา

    "ฮิมิยะ ยามิ"

    "...!!!!!" ทุกคนในห้องช็อคขึ้นแม้กระทั่งผม ทุกคนหันมองมาที่ผมคนนี้ที่มีชื่อต้นเหมือนกับคนคนนั้น... ใช่ คนคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องเป็น "ลุง" ของผมเอง หรือก็คือ... พ่อของฮิมะกับจิคุ

    "อาจารย์ค่ะ! ถ้านั้นฮิมิยะก็เป็นเหลนของAFOใช่ไหม!?"

    สาวผมหน้าม้าฮิเมะสีเงิน...ชิเซ็นเมะสึว่ามาอย่างตื่นตระหนกแทนทุกคนที่ไม่กล้าออกเสียงพูด

    อาจารย์ผมส้มไม่ตอบอะไรมากนอกจากพยางค์เดียวว่า "ใช่" แล้วความแตกตื่นก็ประดังทั้งห้องเข้ามาที่ตัวผมที่ไม่รู้เรื่องนี้แม่แต่อย่างใด

    เสียงทุกคนที่รุมเข้าถามผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น โฟกัสในหัวคิดถึงเหตุผลต่างๆนานาว่าทำไหมพ่อผมถึงปิดบังมันไว้ 

    อย่าว่าเลย...ประวัติศาสตร์แบบนี้ไม่มีสอนในห้องเรียนธรรมดาอยู่แล้วนอกจากจะเป็นห้องเรียนฮีโร่แบบนี้... ไม่สิ! ไม่ไม่น่าถูกหยิบยกมาเล่าสอนแต่แรกอยู่แล้วด้วย!

    หรือว่า...!?

    หัวนึกได้ขึ้นมา ถึงใบหน้าของคนที่คาดว่าจงใจให้ผมได้รับรู้มัน...

    "...จิคุ..."




    ____________________________________________________


    ไม่ต้องกักเอาไปเลยสะเทือนไตกันนิดหน่อย ช็อคสำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน2ภาคก่อน แล้วให้รู้ว่าความโกงของพระเอกภาค2อย่าง "จิคุ/ชิคุ" แมร่งเทพเกิน~! 20รุมแค่เคาะพื้นทีเดียวก็ร่วงกันแล้ว ไหนจะการเข้าถึงการ "กำราบ" ที่มีผลให้อัตลักษณ์ไม่ถูกแทรกแซงอีก ไม่พอพี่แกยังเป็นAFOคนปัจจุบันด้วยอีก คูณความโกงไปอีกหลายต่อหลายช่วง อยู่คนละโลกกับพวกเด็กๆเลย 

    และที่แน่ๆเลยความหน้าหมั่นไส้และเท่ รวมอยู่ที่จิคุหมดแล้ว 

    คือความเร็วของจิคุที่ใช้เพียงอัตลักษณ์ที่ตัวเองติดตัวมาแต่เกิดคือ ความเร็วแสง แต่ปัจจุบันมีอัตลักษณ์ของภรรยาผู้ล่วงลับ "ผู้หญิงที่ควบคุมขีดจำกัดจนทำให้พ่อสปีทเตอร์กลายเป็นเต่าในสายตาของเธอได้น่ะ" กลายเป็นเร็วจนหลุดออกจากมิติที่เวลาไปไม่ถึงได้แล้ว 

    ซึ่งมันคือพลังที่ยังไม่เอาจริงด้วยซ้ำ "มรึ่งมันปีศาจรึไงวะชิคุ" แต่อย่างว่าพวกตัวเทพๆผมจะไม่ได้เอามาออกบ่อยหรอก อย่างคนที่เทพสุดในภาคก่อนก็กลายมาเป็นอาจารย์ประจำชั้นภาคที่แล้วด้วย 

    ก็มีแค่นี้แหละ หวังว่าจะแจกความเท่าเทียมให้นะ "เละกันทุกคนเลย" โดยเฉพาะทาเครุที่ใจสลายสิ้นหวังในทันตา  ยังไงก็คอมเมนต์พูดคุยมาได้นะ ขอตัวก่อนละ!







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×