ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #99 : ตอนที่ 99 ขอบคุณ

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 66


       ใจกลางสมรภูมิเสาลมปราณสีเขียวมรกตสูงเสียดฟ้า ตั้งตระหง่านท่ามกลางพายุสายฟ้าและปราณฟ้าดิน

    มันปลดปล่อยออร่าสะกดข่มสรรพชีวิต เปรี้ยง!! เสียงอัสนีกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันนั้นเองเสาลมปราณสูงเสียดฟ้า ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

     

       พร้อมกับร่างของโต๋วเจิ่งที่มีบาดแผลฉกรรจ์ ลอยละลิ่วราวกับว่าวสายป่านขาด ภายในเสี้ยวพริบตาร่างหนึ่งก็พุ่งตามมาติดๆ อีกฝ่ายง้างกระบี่ขึ้นสูง

    ปลดปล่อยปณิธานกระบี่อันแข็งกร้าว อัดแน่นไปด้วยจิตกระบี่อันพร่างพราว “ย๊ากกกก!!!” โต๋วเจิ่งคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า กำหมัดของตนแน่น

     

       โคจรลมปราณไปตามเส้นลมปราณ ไหลไปตามทางจนไปบรรจบที่หัวใจ ก่อนพวกมันจะหลั่งไหลไปรวมกันที่หมัดข้างขวา “เอาไปกิน!!!” เสียงคำรามดุจพญาเสือดังขึ้น

    พร้อมหมัดลมปราณสีเขียวมรกต ต่อยเข้าหาร่างในชุดคลุมเท้าผู้นั้น กำปั้นหมัดนั้นอัดแน่นไปด้วยพละกำลังอันมหาศาล และลมปราณจำนวนมาก

     

        ฉีกกระชากห้วงอากาศพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมาย ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เพียงพริบตาหมัดลมปราณก็มาถึงตรงหน้าของชายหนุ่ม

    เขาสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนจะออกกระบี่ ฉึบ!! คมกระบี่สีขาวดุจหิมะยามเหมันต์ฤดู ผ่าลมปราณที่ห่อหุ้มกำปั้นออกไปอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่นั้นแม้แต่แขนขวา ยังถูกตัดออกไปอย่างเรียบเนียน

     

        แขนของโต๋วเจิ่งตกลงบนฟื้น เลือดสีแดงสดไหลรินทั่วบริเวณ ชายบ้าวรยุทธ์ผู้พึ่งสูญเสียแขนขวาไป หันหน้าไปมองไหล่ขวาอันว่างเปล่าของตน

    เขาไม่แม้แต่จะร้องโอดครวญ ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ควบคุมกล้ามเนื้อให้ห้ามเลือดหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย มือซ้ายกุมมีดสั้นแน่น

     

       ดวงตาสีแดงคู่นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และ เปลวไฟแห่งการต่อสู้ “นี้คงจะกระบวนท่าสุดท้ายของผู้น้อย ข้าโต๋วเจิ่ง อยากเห็นผู้อาวุโส แสดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด จะได้หรือไม่”

    บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา แม้แต่หายใจพวกเขายังทำให้เบาที่สุด ดวงตาของนักลอบสังหารสาวเบิกกว้าง “บัดซบ!! เจ้าโง่เหตุใดจึงบอกศัตรูว่าตนจะทุ่มหมดหน้าตัก!?”

     

        เธอไม่เข้าใจความคิดของโต๋วเจิ่งในตอนนี้จริงๆ “หากเป็นเช่นนี้ข้าคง…” เธอหันไปมองทางผิงฮวา ก่อนจะหัวเราะในลำคอเลียบริมฝีปากสีกุหลาบอย่างชั่วร้าย

    ก่อนร่างของเธอจะค่อยๆเรือนหายไปภายในเงามืด หลินมู่ยืนจ้องตากับอีกฝ่ายสักพักก่อนจะเปิดปาก “กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าคงแสดงไม่ได้เพราะเจ้าคงมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ….แต่หากรองลงมาก็พอเป็นไปได้”

     

        ช่วงแรกที่โต๋วเจิ่งได้ยินก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่พอได้ยินช่วงหลังดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นประกายอีกครั้ง “รบกวนผู้อาวุโสแล้ว” โต๋วเจิ่งยิ้มแยกเขี้ยว

    ราวกับเขาไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ภายในสายตามีแต่เพียงเรื่องวรยุทธ์เพียงเท่านั้น หลินมู่ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆอีก ยืนตรงชี้ปลายกระบี่ลงพื้น

      

        รอบตัวเข้าสู่ความเงียบสงบ แม้แต่ออร่าอันคมกริบก็หายไปหมดสิ้น ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา โต๋วเจิ่งไม่คิดจะประมาท

    เขาควบคุมลมปราณอัดแน่นลงไปในมีดสั้น คลื่นออร่าสีเขียวมรกตห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ทุกส่วน คลื่นลมปั่นป่วนออร่าอันทรงพลังระเบิดพวยพุ่งออกมา

     

        ลมปราณสีเขียวมรกตนั้นคล้ายจะควบแน่น จนกลายเป็นวัตถุของแข็ง โต๋วเจิ่งย่อตัวลงเกรงกล้ามเนื้อทุกส่วน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังหลินมู่ ที่บรรยากาศแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

    มันเงียบสงบราวกับผิวน้ำที่ไร้ลม เสมือนความสงบก่อนพายุลูกใหญ่ “รับมือ!!!” เสียงคำรามดังสนั่นจังหวะเดียวกับ ที่เกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณที่โต๋วเจิ่งเคยยืนอยู่ 

     

        ยุบตัวลงพร้อมกับแตกร้าวเป็นแนวยาว ร่างที่ราวกับปฏิมากรรมมรกตนั้น เพียงพริบตาก็พุ่งมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม มือซ้ายกุมมีดสั้นแน่น ดวงตาแข็งกร้าวเพ่งเล็งอย่างสุดขีด

    มีดสั้นที่ห่อหุ้มไปด้วยลมปราณ ราวกับถูกแกะสลักออกมาจากมรกตสีเขียวสด คมมีดลากผ่านกรีดอากาศเป็นแนวยาว พุ่งเข้าหาลำคอของชายหนุ่ม “ตาย!!!!”

     

        เสียงคำรามดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปถึงท้องฟ้า ดวงตาสีแดงก่ำคล้ายลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง “ฟู่….” แต่ไม่รู้เหตุใดเพียงเสียงหอนหายใจแผ่วเบา กลับดังกึกก้องกังวานเสียยิ่งกว่า

    ฉิ้ง!!! เสี่ยวพริบตาร่างในชุดคลุมก็ขยับตัวออกกระบี่ ประกายแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าสว่างไสว บดบังวิสัยทัศน์ของทุกคน รู้สึกตัวอีกที ร่างนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของโต๋วเจิ่ง

     

         ร่างสูงใหญ่สองเมตรกว่า ที่ราวกับรูปปั้นขุนพลที่แกะสลักขึ้นมาจากมรกต หันกลับมามองชายหนุ่มภายในนัยตามีอารมณ์บางอย่าง คล้ายกับการได้บรรลุบางสิ่ง

    “ขอบคุณอาวุโส…” สิ้นเสียงอาภรณ์ลมปราณก็แตกกระจาย เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ ร่างใหญ่ล้มตึงนอนลงบนพื้น ดวงตาสีแดงหม่นแสงจนกลับมาเป็นปกติ

     

        เขาได้เห็นแล้วคมกระบี่อันเด็ดขาดและเฉียบคม ภายในจังหวะนั้นราวกับช่วงเวลาถูกยืดยาวไร้สิ้นสุด ร่างในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่ง ขยับตัวออกกระบี่บังเกิดเป็นประกายแสงพร่างพราว

    มาพร้อมเสียงแผ่วเบาราวกับสายลม ที่ดังขึ้นภายในจิตใจของโต๋วเจิ่ง “กระบี่พื้นฐานนิกายเจี้ยนเสินเฟิง…” สิ้นเสียงคมกระบี่สีขาวดุจหิมะนั้น ก็ปลดปล่อยความคมกริบเหนือจินตนาการ

     

        แม้แต่อากาศยังถูกตัดออก คมกระบี่ฟาดฟันผ่านลำคอ ตัดผ่านลมปราณไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่

    ปัจจุบัน โต๋วเจิ่งนอนนิ่งมองท้องฟ้าด้วยดวงตาหลากอารมณ์ เขายิ้มแยกเขี้ยวขยับปากคล้ายพูดบางสิ่ง “ข้าโต๋วเจิ่ง ไม่เสียใจที่เป็นคนบ้าวรยุทธ์ ไล่ตามและไขว่คว้าความแข็งแกร่ง…”

     

        เมื่อริมฝีปากปิดลงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ของอีกฝ่ายก็หายไปด้วยเช่นกัน สายลมเบาบางพัดผ่านร่างใหญ่โตนั้น คล้ายเป็นการสวดส่งวิญญาณ 

    “โต๋วเจิ่ง….โต๋งเจิ่งตายแล้ว!!!!” หนึ่งในนักลอบสังหารโพล่งขึ้นอย่างหวาดกลัว ดวงตาภายใต้ฮู้ดสีดำนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

     

        เหล่าโจรและนักลอบสังหารต่างตกลงสู่ความโกลาหล บางคนแทบไม่อยากสู้อีกแล้ว จะให้ไปสู้กับยอดฝีมือที่ใช้เพียงไม่กี่กระบี่ สังหารโต๋วเจิ่งต่อให้มีดาบมาพาดคอ พวกเขาก็จะไม่เข้าไปสู่เด็ดขาด

    ผิงฮวาน้อยที่เห็นอาจารย์ของตนสังหารคนชั่วลงได้ ก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจ “ท่านอาจารย์แข็งแกร่งที่สุด!!” นางยิ้มแย้มกระโดดอย่างดีใจ ราวกับตนเองที่เป็นผู้ชนะศึกครั้งนี้

     

       พรึ่บ!? แต่ในจังหวะที่นางไม่ระวังตัวนั้นเอง ร่างภายใต้เงามืดก็พุ่งออกมา เอื้อมมือเข้าหาร่างเล็กที่กระโดดโลดเต้นอย่างลืมตัว

    “สาวน้อยมากับข้า!!” เสียงสตรีที่อัดแน่นไปด้วยความกังวลตะโกนขึ้น ทำให้ผิงฮวาสะดุดกึกจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว นางรู้สึกตัวช้าไป ฝ่ามือของนักลอบสังหารสาว เอื้อมเข้าหาลำคอเล็กๆของเด็กสาวด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×