ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #96 : ตอนที่ 96 ไม่เสียใจ

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 66


       ภายในห้วงมิติอันแปลกประหลาด หนึ่งชายหนุ่มกำลังถูกบางสิ่งคล้าย ริบบิ้นสีฟ้าใสตรึงไว้กลางอากาศ

    ส่วนอีกคนกำลังพูดโน้มน้าวด้วยสีหน้าเหลืออด เขาแทบคำรามเสียงแข็งหลังจากโน้มน้าวมานาน “หลินมู่!! นายก็รู้ดีว่าสิ่งที่เราต้องการคือเวลา!! ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเราจะถึงเป้าหมาย 10 ปี? 100 ปี? 1,000 หรือ 10,000 ปี!?”

     

       อีกฝ่ายคำรามลั่นดวงตาแดงก่ำดุจอสูรกาย จ้องเขม็งไปยังหลินมู่ที่ถูกตรึงไว้อยู่ เขาก้มหน้าคล้ายไม่อยากรับฟังความจริงที่ตนพยายามไม่สนใจ

    “หยุดเมินฉันได้แล้วหลินมู่!! ฉันคือจิตใจของแก!! คือเคราะห์บนมหามรรคของแก!! ไม่ว่าอย่างไรแกก็ไม่อาจปฎิเสธฉันได้!!” อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว

     

       เขาพยายามโน้มน้าวมานาน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคืนความเงียบงัน หลินมู่ที่ก้มหน้าอยู่ก็เม้มปากแน่น ดวงตาสีหมึกที่ไร้ประกายเสมือนดวงดาวนั้น กำลังหมองหม่นลงหลายส่วน

    “แล้ว….ถ้าข้ายอมรับความจริง….มันจะมีอะไรต่างจากตอนที่ข้าหลอกตนเอง ว่ากลับไปได้อยู่ทุกวัน มันต่างกันตรงไหน?”

     

        เมื่ออีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่หลินมู่พูดก็แสดงถึงความโกรธออกมา “ต่าง? มันก็ต้องแน่อยู่แล้วว่าจะต้องต่างกัน หากแกยอมรับได้ เราก็จะปล่อยวางหยุดดื้อดึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้….เราก็จะหลุด…พ้นและ…และ…จะได้…กลับ”

    แม้น้ำเสียงช่วงแรกจะดุดัน แต่หลังจากนั้นเสียงก็แผ่วลงจนฟังไม่ได้ศัพท์ หลินมู่หัวเราะอยู่ในลำคอดวงตาเริ่มสาดประกาย ราวกับได้รับคำตอบบางอย่าง “เห็นไหม สุดท้ายเจ้ากับข้า ก็ยังหวังไว้จนถึงท้ายที่สุด”

     

        อีกฝ่ายปิดปากเงียบไม่พูดจาใดๆ เพียงมองและสบตากับหลินมู่ที่เงยหน้าขึ้นมา ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นานภายใต้วงล้อมของภาพฉายความทรงจำ

    ดวงตานิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณคู่นั้น สั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกลับมานิ่งสงบเหมือนเดิม เขาควบคุมจิตกระบี่ปล่อยหลินมู่ให้เป็นอิสระ แล้วไม่พูดอะไรอีก

     

        “นายแน่ใจในความคิดนั้นแล้ว…” อีกฝ่ายถามหลินมู่่อย่างรู้เท่าทัน หลินมู่ไม่พูดสิ่งใดแหงนหน้ามองขึ้นด้านบน ปากพลางพึมพำ

    “เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ” หลินมู่อีกคนปิดปากเงียบ เหลือบไปมองรอบตัวมองภาพฉายความทรงจำ ดวงตาที่นิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณนั้น เริ่มสั่นเทามากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

     

        “แม้เจ้า…แม้เจ้าจะยึดติด ไม่อยากเปลี่ยนแปลงพยายามถ่วงเวลาให้ความจริง ที่จะต้องมาถึงแน่นอนนั้นลากยาวออกไป เพราะไม่อยากพบกับความจริงอันเจ็บปวด แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังหวัง…หวังว่าอยากจะกลับไป”

    หลินมู่ก้มหน้าลงมาสบตากับตัวเองอีกคน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “กลับกัน ข้าที่พยายามฝึกฝน ขัดเกลาจิตใจเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น แม้ปากจะบอกว่าจะกลับไป แต่จิตใจกลับไม่เคยคาดหวัง แต่ในส่วนลึกข้าก็ยังอยากกลับไป”

     

        ทั้งคู่สบตากันส่งผ่านความหมาย โดยไม่ออกเสียงพูดจาใดๆ “ก็เช่นที่พิสุทธิ์เฒ่าเคยกล่าว เราไร้ความหวัง แต่เหตุใดจึงหวังจะหวนกลับ”

    หลินมู่พูดออกมาคล้ายตอกย้ำตนเอง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง “เราไม่ได้ยึดติด เพราะหวาดกลัวว่าจะเปลี่ยนไป แต่เพราะหวาดกลัวความจริงที่อยู่ปลายทาง แต่….”

     

       หลินมู่อีกคนแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจจ้องมองดวงตาคู่นั้น ที่คล้ายกับบ่อน้ำโบราณเกิดแรงสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง

    อีกฝ่ายถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะยกยิ้มอ่อนๆคล้ายเป็นการยอมรับ “เมื่อถามใจตนเองแล้วไม่เสียใจ นั้นคือคำตอบ” หลินมู่ยกยิ้มเป็นคำตอบ

     

        “เจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ หลังจากผ่านตรงนี้ไปก็ไม่มีพื้นที่ให้ร้องค่ำครวญอีก ไม่เหลือสิ่งใดให้กล่าวโทษอีก” ร่างนั้นถามขึ้นพร้อมกับที่ ร่างกายค่อยๆเริ่มเกิดรอยแตกร้าว คล้ายกับเครื่องเคลือบที่กำลังจะแตกสลาย

    หลินมู่แสดงสีหน้ามุ่งมั่น ดวงตาสีหมึกคู่นั้นดุจจะเปล่งประกายด้วยมวลดาวอีกครั้ง “เมื่อถามใจตนเองแล้วไม่เสียใจ นั้นคือคำตอบ”

     

        หลินมู่อีกคนพยักหน้ายกมือขึ้น รวมจิตกระบี่จากทั่วทิศทางไว้บนฝ่ามือ จนกลายเป็นกระบี่สีฟ้าโปร่งใสเล่มหนึ่ง

    หลินมู่ไม่แสดงสีหน้าใดๆเดินไปรับ กระบี่เล่มนั้นมาตามสัญชาตญาณ “ในเมื่อไม่เสียใจ เจ้าก็ต้องเดินต่อไป จนไปถึงปลายทาง แม้จะต้องสิ้นหวังในท้ายที่สุด ก็ต้องไปให้ถึง”

     

        หลินมู่ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก ทำเพียงพยักหน้าสะบัดกระบี่ตัดศีรษะของอีกฝ่ายออก เป็นการตัดเคราะห์บนมหามรรคาทิ้งไป ชายหนุ่มหันหลังมองไปยังความมืดมิดรอบตัว

    ก่อนจะค่อยๆพูดพึมพำกับตนเอง “แม้ท้ายที่สุด จะต้องสิ้นหวัง และ เสียใจ ข้าก็จะใช้กระบี่นี้ตัดพวกมันทิ้งไป” เมื่อสิ้นเสียง

     

        บริเวณด้านหลังก็เกิดแรงระเบิดมหาศาล เกิดบางสิ่งคล้ายกับดวงอาทิตย์สองดวง กำลังเปล่งประกายด้วยแสงพร่างพราว ขับไล่ความมืดมิดให้หายไป

    ขณะเดียวกันร่างของหลินมู่ ก็ค่อยๆเลือนหายไปจากมิติ ที่กำลังถูกเติมเต็มด้วยแสงสว่างแห่งนี้ ด้านนอก ผิงฮวายืนตรงอย่างยากลำบาก ใช้มือทั้งสองข้างกุมกระบี่ดำเฮ่ยซานด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

     

        ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ “สาวน้อย!! ขวามือของเจ้า!!” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นในหัวของดรุณีน้อย เธอขยับตัวหันไปฟันกระบี่ใส่ร่างนั้นอย่างไม่ลังเล

    เลือดสีแดงสดสาดกระจาย แต่ภายในแววตาของเด็กสาวกลับไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย ด้านหลังของนางคืออาจารย์ของนางที่บาดเจ็บสาหัส ไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาด

     

       เด็กสาวรับฟังคำแนะนำจากเสียงปริศนา ใช้กระบี่ดำเข้าต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว “บัดซบพวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่!? นางก็แค่เด็กที่ไร้ตบะฝึกฝนผู้หนึ่ง!? เหตุใดจึงจัดการไม่ได้เสียที!!?”

    หัวหน้านักลอบสังหารสาวคำรามลั่น ดวงตาแดงก่ำมองไปยังเหล่าลูกสมุนรอบตัว เหล่านักลอบสังหารที่เห็นก็ได้แต่หดคอคล้ายกับเต่าหดหัวเข้ากระดอง

     

        แม้แต่ซากศพวิญญาณแค้น ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้ เพียงเข้าไปบริเวณรอบตัวไม่กี่สิบจั้ง ก็ถูกกระบี่สีดำฟาดฟันจนตายอนาถ แม้แต่นักฆ่าบางคนที่ตบะลมปราณลึกล้ำ 

    ยังทำได้เพียงแตะชายเสื้อของนาง ก่อนจะถูกกระบี่เล่มนี้ตัดขาดเป็นสองส่วน “ไอ้พวกไร้ประโยชน์!!” นางคำรามขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมจ้องเขม็งไปยังผิงฮวา ที่เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่

     

       ภายในดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม และ ความสงสัย ‘แทบไม่มีใครแตะตัวนางได้เลย แล้วเหตุใดจึงมีบาดแผลมากขนาดนั้นหล่ะ…’ แม้จะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา

    หากอยากได้คำตอบแค่ต้องจับตัว นังเด็กคนนี้และอาจารย์ของนางมาก็พอ “พอแล้ว!! โต๋วเจิ่งลงมือ!! จับนังเด็กนั่นมา!” โต๋วเจิ่งที่ถูกเรียกชื่อก็ได้แต่จำใจต้องลงมือ

     

        เป็นไปได้มันก็อยากอยู่ดูวงนอก จนเรื่องนี้จบลงแต่เหมือนจะทำไม่ได้อีกแล้ว “นังหนู หากจะโทษก็ให้ไปโทษโชคชะตา ที่โหดเหี้ยมไร้ปราณีละกัน!!”

    สิ้นเสียงร่างนั้นก็ระเบิดออกด้วยพละกำลังมหาศาล คืนสู่สภาพพร้อมต่อสู้เต็มรูปแบบ แผ่คลื่นลมปราณสีเขียวหม่นไปทั่วบริเวณ ก่อนจะกระโดดพุ่งเข้าหาร่างเล็กนั้นอย่างดุร้าย

     

        เสียงคลื่นลมถูกแหวกดังขึ้นอย่างชัดเจน แม้แต่หลัวกงฟานที่อยู่ภายในกระบี่ยังแสดงสีหน้าตกตะลึง “แย่แล้ว!!” สายเกินไปที่จะแจ้งเตือนแล้ว

    ในขณะที่ศิษย์พี่หลัวกำลังจะแสดงร่างออกมา คลื่นออร่าอันคมกริบก็ระเบิดออกมาจากทางด้านหลัง ร่างในชุดคลุมขาดรุ่งริ่งที่นอนแน่นิ่งบนพื้น ขอบเขตฝึกฝนลดลงพรวดพราด

     

       คล้ายกับผู้ฝึกฝนที่สิ้นใจตายและลมปราณกระจายออกมา โต๋วเจิ่งที่รับรู้ได้ถึงบางอย่างก็หยุดลงกระทันหัน รีบถอยร่นอย่างร้อนรน บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

    ร่างในชุดคลุมเทาพยุงร่างโงนเงน ลุกขึ้นยืนคล้ายหุ่นเชิด แม้จะไร้ซึ่งแรงผันผวนแต่สัญญาณของทุกคน ในบริเวณนั้นกลับร้องเตือนถึงอันตรายมิหยุด

     

        ตู้ม!!! บางอย่างระเบิดขึ้นมาในร่างนั้น สร้างเป็นพายุไปทั่วทั้งทวีป กระบี่โบราณที่ถูกฝังอยู่ใต้โบราณสถาน ต่างพากันสั่นพ้องด้วยความปิติยินดี

    พระชราที่อยู่ยังใจกลางทวีป หันหน้ามาทางตะวันตกกระทันหัน ก่อนจะยกยิ้มพนมมือขึ้นมา “อามิตตาพุทธ..”

     

       ณ ต้นหลิวสูงตระหง่านคล้ายภูเขาเสียดฟ้า สตรีในชุดเขียวคล้ายทำมาจากใบไม้บนต้นหลิว ดวงตาสีเขียวมรกตมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างแปลกใจ

    บริเวณยอดสุดของภูเขาสุดขอบตะวันออก ใต้ต้นไม้ที่มีใบสีเหลืองคล้ายแสงตะวัน ร่างในชุดคลุมขาวยืนตรงปลดปล่อยความแหลมคมราวกับตนเองคือกระบี่ ยืนเอามือไขว้หลังหันหน้าไปทางตะวันตก 

     

       ปล่อยให้สายลมพัดผมยาวสีขาวเสมือนทองคำขาว ให้พริ้วไหวไปตามสายลม ดวงตาเสมือนอัญมณีสีฟ้า หรี่ลงมาเล็กน้อยริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ ภายในป่า หลินมู่ที่ยืนขึ้นมาอย่างกระทันหัน พร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่เข้าใจ

    สะกดข่มทุกคนอย่างสิ้นเชิง เปลือกตาค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นดวงตาสีหมึกคู่เดิม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือความแหลมคม 

     

       ที่ถูกเก็บไว้พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา คล้ายกับกระบี่ในฟักที่เก็บซ่อนความแหลมคมเอาไว้ กระบี่ตงหยูลอยขึ้นมาจากพื้น บินไปมารอบตัวชายหนุ่มสร้างเป็นภาพที่ทุกคนที่ได้เห็นจะไม่มีวันลืม

    ขณะเดียวกัน กลิ่นอายแหลมคมรอบตัวอีกฝ่าย มีแต่ยิ่งจะทวีคูณมากขึ้นมาขึ้น ร่างนั้นค่อยๆยกมือขึ้นมาพร้อมงอนิ้วนางและนิ้วก้อยลง ยืนนิ่งในท่วงท่าสง่างามดุจเทพเซียน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×