ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #95 : ตอนที่ 95 ล่วงหน้าไปก่อน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 66


       ทุกคนต่างตกตะลึงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาไม่เข้าใจ ร่างผอมแห้งของดรุณีน้อยยืนตรงมือกุมด้ามกระบี่ นามเฮ่ยซานด้วยสายตาอันมุ่งมั่น เจือปนไปด้วยความบ้าคลั่งจางๆ

    คลื่นพายุขนาดย่อมๆที่เต็มไปด้วยความแหลมคม ระเบิดพวยพุ่งออกมาโดยมีผิงฮวาเป็นจุดศูนย์กลาง ผู้นำของกลุ่มนักลอบสังหารหรี่ตาลง

     

        ใบหน้าภายใต้ฮู้ดสีดำนั้นถูกแต่งแต้มด้วยความโลภ ‘กระบี่เล่มนี้คงเป็นอาวุธโบราณ เฉกเช่นเดียวกับกระดิ่งทองแดงนั้นแน่นอน ข้าต้องได้มัน!!’

    นางตัดสินใจได้ในไม่กี่อึดใจ “จับนังเด็กนั่นมา!!” สิ้นเสียงคำสั่งของนาง เหล่าโจรและนักลอบสังหารก็พุ่งเข้าหาร่างเล็กนั้นอย่างรวดเร็วด้วยความดุร้าย

     

        หนึ่งในนักลอบสังหารนำขลุ่ยหน้าตาประหลาด ออกมาเป่าควบคุมพวกซากศพวิญญาณแค้น ให้เข้าไปโจมตีเด็กสาวอย่างไม่ปราณี ผิงฮวาที่อยู่ท่ามกลางศัตรูมากมาย

    ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกใดๆ แม้แต่ความคิดจะหนีก็ยังไม่มีสักเสี้ยวเดียว หากเธอหนีก็จะทำได้เพียงหนีไปตลอดชีวิต จะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญคนสำคัญไปอีกครั้ง

     

        แต่ครั้งนี้แม้ต้องตายเธอก็จะไม่ให้ใครแย่งชิงมันไปได้อีก!! “ฟู่…” เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าปรับท่าทางของตน ตั้งท่ากระบี่ ไม่รู้เหตุใดทุกคนที่เฝ้ามองอยู่

    ต่างเห็นเป็นภาพลวงตาของหลินมู่ทับซ้อนกับร่างเล็กของนาง ในเสี้ยวพริบตาพายุคมกระบี่ก็เพิ่มพูนความรุนแรงไปอีกขั้น จนคนที่มีตบะต่ำต้อยต้องถอยร่นออกไป

     

        หากไม่อยากกลายเป็นเนื้อสับ ทุกคนในที่นี้เปลี่ยนมุมมองในตัวเด็กสาวไปในทันที สภาพของเธอตอนนี้อันตรายเสียยิ่งกว่าราชายุทธ์หนุ่มผู้นั้นอีก

    เฉกเช่นเดียวกับปณิธานกระบี่ที่ถูกเหนี่ยวนำ แม้แต่ศิษย์พี่หลัวที่ยังคงจำศีลอยู่ในเฮ่ยซานยังต้องถูกปลุกขึ้นมา เขาแสดงสีหน้าไม่เข้าใจใช้จิตสัมผัส มองออกไปรอบตัวดวงตากระตุกถี่ยิบ

     

        ‘นี่ศิษย์น้องเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่???’ ขณะเดียวกันหลินมู่ที่อยู่ใกล้กับดรุณีน้อยมากที่สุด กำลังนอนนิ่งไม่ไหวติง 

    แม้มือจะกุมกระบี่แน่นแต่ร่างกาย ก็ไม่อาจตามจิตใจได้ทัน ถึงเขายังมีชั้นลมปราณคุ้มกายอยู่ชั้นหนึ่ง แต่การโจมตีของโต๋วเจิ่งก็ใช่จะธรรมดา

     

        เพียงเสี้ยวพริบตาก็เจาะทะลุลมปราณคุ้มกาย ให้แหลกเป็นเสี่ยงๆก่อนจะส่งกำปั้นเข้าปะทะหน้าอก ของชายหนุ่มอย่างรุนแรงดุจกระทิงคลั่ง ทำให้กระดูกซี่โครงแตกร้าวอวัยวะภายในบอบช้ำอย่างหนัก

    ตอนนี้หลินมู่รู้สึกว่าอวัยวะภายในของตนเจ็บปวด ราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ในทรวงอก พร้อมทั้งกระดูกซี่โครงที่หักและร้าว เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด

     

        ดวงตาฝ้าฟางแทบไม่อาจมองเห็นใดๆ เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือเสียงตะโกนของผิงฮวา “เสี่ยวผิง…..หนีไป…..” แม้จะเปล่งเสียงออกมาได้ แต่มันกลับเบาหวิวราวกับสายลมที่ไม่สลักสำคัญใดๆ ภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวายนี้

    เสียงของเขาจึงไม่อาจส่งไปถึงเด็กสาว เป็นเวลาเดียวกันที่สติของชายหนุ่มเริ่มเลือนลาง จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวแห่งความตาย

     

        ตงหยูที่อยู่ในมือของชายหนุ่มเริ่มสั่นสะเทือน คล้ายกำลังพยายามดึงสติของผู้เป็นนายอย่างสุดความสามารถ “ขอโทษศิษย์พี่….ข้าพาท่านไปส่งถึงบ้านมิได้….ข้าขอโทษท่านอาจารย์ที่ศิษย์ไม่ได้เรื่องคนนี้ ต้องทำให้ควันธูปสายอาจารย์ของขาด….ผมขอโทษพ่อแม่..และยัยตัวเล็ก ที่กลับไปไม่ได้….”

    สิ้นเสียงดวงตาของเขาก็ไร้ประกาย สติตกลงสู่ห้วงอันดำมืดไร้ขอบเขต รู้สึกตัวอีกทีชายหนุ่มก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนแอ่งน้ำตื้นๆสักแห่ง 

     

        “ที่ไหนกัน….” ไม่มีทั้งตงหยูเชือกวิเศษแม้แต่เสื้อผ้าของเขา ก็หายไปเหลือไว้เพียงตัวเปล่า หลินมู่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งมองไปยังรอบตัว ที่ดำมืดไร้ซึ่งสิ่งใดว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง

    “ต้องหาทางออก…” ชายหนุ่มเปล่งน้ำเสียงอันแหบแห้งออกมา ดวงตาสีหมึกคู่นั้นสาดประกายความมุ่งมั่น เขาลากร่างที่คล้ายจะไร้น้ำหนักของตน

     

        เดินตรงไปด้านหน้าโดยไม่ไขว่เขว แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากน้ำที่เริ่มสูงขึ้น จนเลยข้อเท้าของเขาเท่านั้น ในขณะที่เขากำลังจะหยุดลง เสียงของบางคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

    “หลินมู่มานี่สิมาหาพ่อ” ชายหนุ่มหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้าของน้ำเสียงนั้นคือพ่อของเขา แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น

     

        คือมีเขาอีกคนแต่ต่างช่วงวัย กำลังเดินเตาะแตะอย่างร่าเริง “นี้มันอะไรกัน…” เขาอ้าปากพะงาบพะงาบพูดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นภาพก็เปลี่ยนไป

    กลายเป็นภาพเมื่อตอนเขาอายุราว 10 ปี ภายในห้องพยาบาล แม่ของเขากำลังอุ้มร่างเล็กที่กำลังหลับสนิทอยู่ “มู่น้อย วันนี้ลูกเป็นพี่ชายแล้วนะ…”

     

       แล้วภาพก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากเด็กจนโตและแม้แต่ตอนข้ามมายัง พิภพสุสานเทพเจ้าก็ถูกแสดงออกมา เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ภาพทุกอย่างก็ฉายซ้ำ

    ร่างของชายหนุ่มยืนอ้ำอึ้งไม่อาจตอบสนองใดๆ กับปรากฏการณ์ตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย “นั้นคือนายหลินมู่ ชายหนุ่มผู้ยึดติดไม่อาจเปลี่ยนแปลง..”

     

        น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงความมืดอันไร้สิ้นสุด “นั้นใคร!!” หลินมู่ตะโกนกลับไปพร้อมกวาดสายตา ไปมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก “นายถามว่าฉันคือใคร? ตลกชะมัด…”

    เสียงนั้นดังกึกก้องอยู่รอบตัวชายหนุ่ม ไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุว่ามันมาจากทิศใด คล้ายมันดังขึ้นพร้อมๆกันทั่วมิติแห่งนี้

     

        ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากเงามืด เข้ามาเผชิญหน้ากับหลินมู่ หลินมู่ที่เห็นอีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าตะลึง ชายหนุ่มขยับปากพะงาบพะงาบ ไม่สามารถเปล่งเสียงเอ่ยสิ่งใดออกมา

    เพราะอีกฝ่ายคือตนเอง อีกฝ่ายกยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย “การเคาะด่าน…” ในจังหวะนั้นเองหลินมู่ก็นึงอะไรขึ้นได้ นี้อาจจะเป็นการเคาะด่านถามใจ

     

        และคนที่อยู่ตรงหน้าตนคือด่านเคราะห์ ด่านเคราะห์แห่งความยึดติด…หลินมู่อีกคนแสดงสีหน้าไม่ยี่หระ เหลือบตามองไปรอบตัว

    ก่อนจะพูดขึ้น “เป็นความทรงจำที่ดี” เขาเลื่อนสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปทางหลินมู่ “เจ้าไม่ได้มีหวัง แต่เหตุใดจึงอยากกลับไป…” คำพูดของพระพิสุทธิ์เฒ่าดังขึ้น สั่นสะเทือนจิตใจของชายหนุ่ม

     

        ไม่ปล่อยให้หลินมู่ตั้งตัว อีกฝ่ายก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “นายก็รู้ดี ต่อให้พัฒนาเร็วแค่ไหน ยังต้องใช้เวลา เราไม่ใช่พวกบุตรลูกรักของสวรรค์ ไม่มีโชคค้ำฟ้า ไม่มีระบบตัวช่วยไร้สาระ เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องฝึกฝนไปขั้นไหนจึงจะกลับไปได้ ต่อให้รู้มันยังต้องใช้เวลา นายก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”

    หลินมู่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหู ดวงตาสั่นระริกเขาไม่อยากได้ยิน แต่เหมือนการปิดหูไปก็ไม่ช่วยอะไร เสียงของอีกฝ่ายคล้ายดังอยู่ในห้วงจิตสำนึกโดยตรง ไม่อาจหลบหนีจากความจริงนี้ได้

     

        “นายกลัว กลัวว่าหากกลับไปสิ่งที่รออยู่คือหลุมศพ กลัวว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จึงยึดติดไม่อยากเปลี่ยนแปลง เพื่อไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริง เกิดเป็นด่่านเคราะห์…” ไม่ทันให้อีกฝ่ายพูดจบ

    หลินมู่ก็พุ่งออกไปคว้าคอของอีกฝ่าย พร้อมคำรามในลำคออย่างเกรี้ยวกราด “หุบปาก!!!” อีกฝ่ายที่ถูกคว้าคอก็แสดงสีหน้าเฉยเมย 

     

        ดวงตาสีหมึกคู่นั้นดุจบ่อน้ำโบราณ ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อม เหลือบมองหลินมู่อย่างไม่ยี่หระไม่แยแสแม้แต่น้อย 

    “ถึงนายจะปฎิเสธไป ก็ไม่ช่วยหรอกเวลาคือสิ่งที่นายขาด ขณะเดียวกันเวลาก็ไม่เคยรอ สุดท้ายนายก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลง เพื่อกลับไปเจอเรื่องสลดใจ ล่ามโซ่ตรวนให้กับตนเอง หวังให้ถึงความจริงนั้นอย่างช้าที่สุด…”

     

       หลินมู่ออกแรงบีบมากขึ้นสายตาสาดประกายความบ้าคลั่ง “ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!!!” อีกฝ่ายแสดงสีหน้าเอือมระอา ขยับมือควบคุมจิตกระบี่ พุ่งมารัดตัวชายหนุ่มดึงถอยหลังไป

    “ต่อให้ฉันหุบปาก ในอนาคตนายก็ต้องเจอกับเรื่องนี้กับตนเอง ฉันแค่พูดเตือนสติ” อีกฝ่ายพูดขึ้นอย่างเฉยเมย ราวกับเป็นเครื่องจักรไร้อารมณ์ ที่เกิดมาเพื่อซ้ำเติมตนเอง

     

       “หลินมู่ เราเหนื่อยมามากพอแล้ว เราพยายามมามากแล้ว มันถึงเวลาที่จะหยุด…ไม่เสียหายที่เราจะล่วงหน้าไปก่อน พวกเราไม่ต้องแบกรับอะไรอีก…"

    แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดต่อไป แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าคำพูดต่อไปคืออะไร เขามีใบหน้าว่างเปล่าดวงตาสาดประกายการตัดสินใจ “เราแค่ไปก่อนเพื่อรอพวกเขา แม้จะผิดคำสัญญาแต่มันเกี่ยวอะไรกับเรา นี่คือต่างภพต่างแดน เรามาที่นี่โดยไม่สมัครใจด้วยซ้ำ ฟังฉันหลินมู่ ปล่อยวางและหยุด เราไม่จำเป็นต้องฝืนทำอะไรอีกต่อไป แค่ล่วงหน้าไปก่อนก็เท่านั้น…หยุดทรมานตัวเองสักที”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×