ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #90 : ตอนที่ 90 บอกลา

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 66


        “แล้วตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน” หลินมู่ถามขึ้นอย่างสงสัย ผิงฮวาหันหน้ามาตอบอย่างเรียบเฉย

    “ข้าอาศัยอยู่ในห้องลับใต้หมู่บ้าน ที่นั่นมีอาหารแห้งมากพอจะให้เด็กอย่างข้ากินหลานเดือน ส่วนน้ำข้าก็ดื่มเอาจากลำธาร เพราะบ่อน้ำของหมู่บ้านถูกเจ้าโจรชั่วพวกนั้น โยนศพของชาวบ้านลงไปแถมยังจุดไฟเผาอีก”

     

          ชายหนุ่มที่ได้ยินก็ได้แต่อึ้งพร้อมชื่นชม จิตใจที่แข็งแกร่งของเด็กสาวอยู่เงียบๆ แต่เขารู้ดีว่าภายนอกแม้นางจะดูมั่นคงและจิตใจแข็งแกร่งเพียงใด

    แต่ภายในแทบจะพังทลายได้ทุกเมื่อ หากไม่กระตุ้นหรือจี้จุดโดนอะไรเข้า นางก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งก่อสร้างที่ฐานผุพัง เตรียมล้มครืนลงมาได้ตลอดเวลา

     

          “ท่านจะสอนวิชาและเพลงกระบี่ให้ข้าใช่หรือไม่?” ผิงฮวาถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย มองหลินมู่ที่อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างกระตือรือร้น 

    ชายหนุ่มสะพายกระบี่แสดงสีหน้าขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะขยับแขนขึ้นมาราวกับกำลังมองบางอย่าง คิ้วของเขากระตุกถี่ยิบ หลังจากเห็นตัวหนังสือจากปราณฟ้าดิน ที่เจ้าเชือกวิเศษเขียนขึ้นมา

     

         'พรสวรรค์รากมนุษย์ มีบาดแผลร้ายแรงภายในจิตใจ เป็นผลให้ จิตวิญญาณเปราะบาง มีคุณสมบัติธรรมดา ไม่ว่าจะฝึกสายเซียน หรือ เซียนกระบี่ก็มีค่าเท่ากัน การเติบโตอาจจะหยุดอยู่ขอบเขต ปฐพีที่ 1 หากมีโชควาสนาอันดีอาจจะเป็น ปฐพีที่ 2' อืม…เจ้าเชือกนี้ก็ไร้ปราณีจนยากจะหยั่งจริงๆ

    เขาลดแขนลงพร้อมมองไปทางดรุณีน้อยนามผิงฮวา ที่รอรับฟังคำตอบอย่างคาดหวังอยู่ “เอาไว้ทีหลัง หลังจากข้าสามารถจบเรื่องกับพวกโจรนั้นได้แล้ว”

     

         หลินมู่พูดขึ้นพร้อมค่อยๆก้าวหายไปในป่า “ท่านอาจารย์ท่านจะไปไหน!! รอข้าก่อน!” เพียงไม่กี่อึดใจเด็กสาวนางนี้ก็เปลี่ยนคำเรียกจาก ท่านธรรมดาๆ เป็นท่านอาจารย์อย่างไม่อาจทราบได้

    นางวิ่งตามอีกฝ่ายต้อยๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตนอัพยศเป็นอาจารย์ของนางแต่เมื่อไหร่ ก็ได้แต่ปล่อยไปเลยตามเลย 

     

         เดินมาได้สักพักก็เจอกับโพรงไม้ที่ค่อนข้างสะอาดโพรงหนึ่ง ฟังจากปากเด็กสาวแล้วน่าจะเป็นโพรงของพรานของหมู่บ้านเคยใช้ 

    หลินมู่จึงถือวิสาสะเข้ายึดครองชั่วคราว “ท่านอาจารย์ท่านจะไม่จุดไฟหรือ?” เด็กสาวที่ยังคงถือกิ่งไม้ไม่ยอมวางมือ ถามขึ้นอย่างสงสัย หลังจากเห็นหลินมู่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอีกเลย

     

         “ไม่ ควันและแสงไฟจากกองไฟจะเป็นตัวบอกตำแหน่งให้ศัตรู ข้าต้องการจะพักผ่อน…” เด็กสาวพยักหน้าราวกับเข้าใจ แต่ก็ชะงักไปจังหวะหนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง

    “แต่ว่าท่านอาจารย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดจึงปล่อยให้ตัวเองถูกไล่ล่า ท่านสามารถใช้กระบี่สังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วทำไมท่านจึงทำเช่นนี้?” หลินมู่ปิดปากเงียบไม่ตอบอยู่สักพัก

     

         แต่สุดท้ายเขาก็ตอบกลับคำถามของเด็กสาว ราวกับเป็นอาจารย์ของนางจริงๆ “ข้ากำลังฝึกฝน….หากไม่อาจผ่านไปได้ ข้าก็ไม่อาจก้าวหน้า วันใดวันหนึ่งหากเจ้าได้ก้าวสู่โลกกว้าง เจ้าก็จะรับรู้เองว่าการฝึกฝนลำบากเช่นไร”

    เด็กสาวแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น “ท่านอาจารย์ ท่านใช่ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์สูงสุดหรือไม่? แล้วเหตุใดท่านจะต้องใช้โจรเหล่านี้เป็นที่ฝึกฝน”

     

          ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งดุจรูปปั้นไร้ชีวิตก็ตอบกลับมา โดยไม่รู้สึกรำคาญใจแม้แต่น้อย “ไม่รู้สิอาจจะใช่หรือไม่ เหตุผลที่ข้าใช้พวกเขาเหล่านั้นฝึกฝน เพราะด่านเคราะห์ในจิตใจของข้า หากไม่อาจผ่านข้าก็จะย่ำอยู่ที่เดิม เป็นปีสิบปีหรืออาจจะร้อยปี”

    เด็กสาวพยักหน้างึกงักแม้จะเข้าใจเพียงเล็กน้อย แต่นางก็รับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่เอ่ยขัดใดๆ หลังจากหลินมู่พูดจบเขานิ่งเงียบสักพัก รอตอบคำถามให้เด็กสาวขี้สงสัยนางนี้

     

        แต่พอสังเกตนางอีกครั้ง เด็กสาวก็ผลอยหลับไปแล้ว บนใบหน้าน้อยๆกำลังบ่งบอกว่า กำลังครุ่นคิดบางเรื่องอย่างหนัก นางกอดกิ่งไม้ที่กุมไม่เคยห่างมือนั้นไว้แน่น ปากพึมพำเสียงแผ่วเบา จับใจความว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าจะได้ฝึกวิชาแล้ว…

    ชายหนุ่มสะพายกระบี่ถอนหายใจยาว ถอดชุดคลุมชั้นนอกออกนำไปเป็นผ้าหุ้มให้เด็กสาว “แรกเริ่มเดิมทีเจ้าควรได้ใช่ชีวิต ดุจเด็กสาวทั่วไปไม่ต้องมาระเหร่อนเร่ ภายในป่าที่เต็มไปด้วยปราณหยินและไอชั่วร้ายเช่นนี้ พูดตามตรงข้าก็มีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ เอาหล่ะพวกเจ้าออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคอยตามนางมาตลอด…”

     

         สิ้นเสียงของชายหนุ่มร่างโปร่งใสสองร่าง ก็ออกมาจากเงามืดใบหน้าเขินอาย “ท่านปรมาจารย์ท่านรู้อยู่แล้ว?” วิญญาณฝ่ายชายถามขึ้นอย่างเขอะเขิน 

    “ข้ารับรู้อยู่แล้ว…ข้านั้นต่างจากผู้ฝึกฝนของทวีปแห่งนี้ การจะเห็นวิญญาณหรือรับรู้สิ่งชั่วร้ายถือเป็นเรื่องง่ายดาย เอาหล่ะพวกเจ้าควรอธิบายกับข้าว่าเมื่อ 3 เดือนก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

     

         วิญญาณทั้งสองตนมองหน้ากันและกัน ก่อนจะคุกเข่านั่งอยู่นอกโพรง เพราะไม่อาจเข้าใกล้ชายหนุ่ม ที่มีออร่าปราณฟ้าดินหนาแน่น ที่ผสานกับความแหลมคมที่อธิบายไม่ได้ หากวิญญาณหรือภูติผีเช่นพวกเขา

    ย่างกรายเข้าไปอาจจะถูกความแหลมคมนั้น หั่นสะบั้นจนไม่เหลือแม้แต่วิญญาณ วิญญาณทั้งสองที่คาดว่าน่าจะเป็นบิดากับมารดาของผิงฮวา ได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน

     

         หลังจากฟังจบหลินมู่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ให้กับความโชคร้ายของชาวบ้านและความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของมนุษย์ด้วยกันเอง 

    “ท่านปรมาจารย์พวกข้าสองสามีภรรยา ยังมีห่วงจึงไม่อาจไปยังโลกหน้าได้ แม้มีความแค้นแต่ก็ไม่มากพอจะกลายเป็นผีร้าย ข้าจะขอร้องให้ท่านรับบุตรสาวของพวกข้า ไปดูแลและสอนเคล็ดวิชาได้หรือไม่?”

     

         หลินมู่นั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับ “ข้ารับปากว่าจะรับนางมาดูแล แต่จะสอนวิชาให้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง พรสวรรค์และจิตใจของนางค่อนข้างธรรมดา โดยเฉพาะจิตใจและวิญญาณที่มีบาดแผลลึก ข้าไม่อาจแก้ไขใดๆได้ หากจิตวิญญาณของนางกลับมาเป็นปกติ ข้าอาจจะพิจารณา”

    วิญญาณทั้งสองตนถอนหายใจยาว กล่าวขอบคุณชายหนุ่มยกใหญ่ “ท่านปรมาจารย์พวกข้ารบกวนท่านมามากแล้ว อาจจะถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว” วิญญาณฝ่ายหญิงที่เงียบงันมาโดยตลอด เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

     

         คล้ายกับยกเรื่องหนักใจออกจากอกได้แล้ว “งั้นหรือ…พวกเจ้าจะไม่บอกลานางหน่อยหรือ? ไม่ต้องห่วงข้าจะออกไปก่อน”

    พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเตรียมเดินจากไป วิญญาณทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนขยับไปด้านข้าง เพื่อไม่ให้ไปขวางทางชายหนุ่ม พอร่างนั้นหายไปทั้งสองก็โค้งคำนับให้อีกฝ่าย ก่อนจะเข้าไปภายในโพรงไม้

     

         คุกเข่านั่งข้างร่างเล็กที่นอนกอดกิ่งไม้ไว้แน่น มาถึงตรงนี้ดวงตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยหยาดน้ำตาที่ควบแน่นจากพลังวิญญาณ

    “ผิงผิงน้อย พ่อกับแม่ขอโทษที่ไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องระหกระเหินเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไรแล้วท่านปรมาจารย์ได้รับปากแล้ว แม้การฝึกวิชาจะมีโอกาสน้อย แต่ลูกจะได้ใช้ชีวิตดีกว่านี้แน่นอน”

     

         ผู้เป็นแม่ใช้มือของตนลูบใบหน้าน้อยๆอย่างปวดใจ เห็นสภาพลูกสาวที่ต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่หลายเดือน ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่แค้นใจยิ่งนัก

    แค้นที่ตนไม่อาจทำอะไร แค้นมนุษย์ด้วยกันเอง ยิ่งเห็นสภาพในปัจจุบันของบุตรสาว ยิ่งทำให้ใจเธอแทบแตก “ลาก่อน…ลาก่อน ผิงน้อย ขอให้ลูกมีความสุข…” ผู้เป็นแม่กุมปากของตน พยายามไม่ร้องไห้ออกมา ด้านข้างมีสามีของตนคอยปลอบประโลม

     

         ทั้งสองเดินออกมาจากโพรงไม้ หันหน้าไปหาชายหนุ่มสะพายกระบี่ ที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้รับแสงจันทร์ราวกับเทพยดาในพงศาวดาร “ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก พวกข้าไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี”

    ทั้งคู่โค้งคำนับอีกครั้งนอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นจะขอบคุณอีกฝ่ายได้อีก หลินมู่ที่ได้ยินก็ปิดปากเงียบ ก่อนจะเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “ไม่ต้องขอบคุณหรือตอบแทนข้าหรอก ส่วนหนึ่งที่พวกเจ้าต้องเป็นเช่นนี้เพราะข้า ข้ามีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย”

     

         สองสามีภรรยาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ แต่ก็ไม่อาจหยุดให้พวกเขาโค้งคำนับอีกฝ่ายได้ หลังจากนั้นร่างของพวกเขาทั้งสองก็เริ่ม สลายกลายเป็นละอองแสงจำนวนนับไม่ถ้วน

    เมื่อหมดห่วงวิญญาณของทั้งสองก็พร้อมจะไปยังโลกหน้า ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ทั้งสอง หันมามองเด็กสาวในโพรงไม้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยิ้มอวยพรให้บุตรสาวของพวกตน

     

          ละอองแสงใต้แสงจันทร์ล่องลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า กระจัดกระจายหายไปในฟ้าดินอันกว้างใหญ่ ร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ กำลังถอนหายใจ

    “คราแรกข้าหวาดกลัวจะแข็งแกร่ง เพราะ ไม่อยากไปทำร้ายคนรู้จักโดยไม่ตั้งใจ ต่อมา ข้ายึดติดจะเปลี่ยนแปลง เพราะ กลัวว่าตนจะเปลี่ยนไปจนไม่ใช่ตัวเองอีก” ชายหนุ่มยืนรับแสงจันทร์อย่างโดดเดี่ยวบนกิ่งไม้ 

     

       เขาลืมตามองไปยังท้องฟ้า ดวงตาสีหมึกที่เปล่งประกายดั่งท้องฟ้า ที่ปกคลุมไปด้วยดวงดาว เขาหลับตาลงก่อนจะกลับไปนั่งฝึกฝนจิตใจ ภายในโพรงไม้อย่างเงียบงันโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×