ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #88 : ตอนที่ 88 ใต้แสงจันทร์

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 66


       ในระหว่างทั้งคู่สบตากันอยู่นั้น บังเกิดเป็นบรรยากาศอันหนักอึ้ง ยากแม้แต่จะหายใจทั้งสองปลดปล่อยกลิ่นอาย พร้อมต่อสู้เป็นตายได้ตลอดเวลา

    พรึ่บ!! ทันใดนั้นเองร่างของชายหนุ่ม ก็ขยับในองศาแปลกประหลาดราวกับถูกบางสิ่ง ดึงให้ถอยร่นไปอย่างกระทันหัน ใบหน้าของโต๋วเจิ่งแข็งค้าง

     

        ก่อนจะคำรามอย่างหัวเสีย “บัดซบ!! คิดจะหนีก็หนี คิดจะวิ่งก็วิ่ง เจ้าไม่มีศักดิ์ศรีของราชายุทธ์เลยหรือ?” โต๋วเจิ่งคำรามสนั่นจนต้นไม้ไหวเอน

    ราวกับราชสีห์หนุ่มถูกปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขาทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้ม้วนตัวกลางอากาศ แล้วจึงพุ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปด้วยความเร็วสูง

     

        อีกด้าน กองคาราวานที่หลบนี้และเปลี่ยนเส้นทาง กำลังหยุดพักพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด “หัวหน้าเราจะทิ้งเขาไว้แบบนั้นจริงๆหรือ?” หนึ่งในผู้คุ้มกันพูดขึ้น

    จนทำให้คิ้วของจางฝูขมวดแน่น เขาเข้นเสียงรอดไรฟันออกมา “จะให้ข้าทำเช่นไร? ย้อนกลับไปช่วยงั้นหรือ? ต่อให้กลับไปเราก็เสียเปรียบอยู่ดี เขาเป็นคนเสนอแผนนี้ขึ้นมาเอง แถมยังย้ำว่าไม่ควรย้อนกลับไปช่วย เดี๋ยวจบเรื่องเขาจะตามไปมาเอง เราแค่เดินทางไปยังเป้าหมายแค่นั้น….”

     

        ทุกครั้งนิ่งเงียบไม่อาจพูดอะไรได้ เจ้าลาซุยโก๋ที่ถูกพามากับกองคาราวาน กำลังอยู่ในสภาพกระวนกระวายอย่างหนัก มันคอยหันหน้าไปมองทางที่จากมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    หวังเห็นร่างเงาอันคุ้นเคยจากสุดสายตา แต่ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า “เราพักจนพอแล้ว แผนยังไม่เปลี่ยนแปลง เดินทางไปยังมณฑลซ่งหลุย เราต้องเชื่อว่าสหายผู้นั้นจะต้องทำได้!!!"

     

        จางฝูพูดปลุกกำลังใจพร้อมชูกำปั้นขึ้นสูง เหล่าพ่อค้าและผู้คุ้มกันตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

    จางฝูหันไปมองถนนด้านหลังก่อนจะควบม้าตามกองคาราวานไป “ข้าเชื่อว่าคนที่เสนอแผนอย่างเจ้าจะรอดมาได้ ฉะนั้นจงกลับมา” เพียงไม่นานก็เหลือไว้เพียงฝุ่นควัน 

     

        ภายในป่า กำลังเกิดการไล่ล่าระหว่าง ชายหนุ่มชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ กับกองโจรพิสดารออกปูพรมไล่ล่าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย “ข้าเจอแล้ว เข…..”

    อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันสิ้นประโยค ใบไม้ใบหนึ่งก็พุ่งเข้ากลางศีรษะ แทงผ่านเนื้อหนังทะลุกระโหลก บดขยี้สมองจนเป็นเพียงก้อนเลือดเละๆ ตายลงอย่างไม่รู้สึกตัว

     

        แม้จะพึ่งลงมือสังหารไป ร่างเงานั้นก็ยังคงไม่ลดความเร็วลง กระโดดซิกแซกไปตามกิ่งไม้รวดเร็วดุจวานร ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท โคจรจิตกระบี่พร้อมปลดปล่อยได้ตลอดเวลา

    ตงหยูถูกเก็บเข้าฟัก เปลี่ยนจากต่อสู้มาวิ่งหนีซะดื้อๆ ส่วนสาเหตุที่ทำเช่นนี้หลินมู่เองก็ไม่รู้เช่นกัน เพียงรู้สึกว่าหากตนทำเช่นนี้ เคราะห์ด่านที่ตนติดอยู่บนมหามรรคา อาจจะคลายปมออกและสามารถเคาะด่านไปได้

     

        ไม่รู้อะไรบ้าจี้ให้เขาเชื่อและทำตามสัญชาตญาณ ทั้งๆที่ควรเดินให้ช้าลงและคิดทุกอย่างให้น้อยลง แต่กลับโยนตัวเองเข้าสถานการณ์ ที่มองอย่างไรก็เหมือนโยนตัวเองลงกองไฟ

    “หวังว่าสัญชาตญาณจะถูกต้องนะ ไม่งั้นคงเสียเวลาแย่…” ชายหนุ่มพึมพำพร้อมร่อนลงมายืนบนกิ่งไม้ ฟิ้ว ตู้ม!! พลุสัญญาณสีแดงแสบตา ถูกจุดชนวนยิงขึ้นไปยังฟากฟ้า สร้างเป็นประกายแสงสะดุดตา

     

        หลินมู่แหงนหน้ามองก่อนจะรู้ความหมาย “เรียกกำลังเสริม…ก็ดียิ่งมาเยอะก็ยิ่งอันตราย มาดูกันว่าข้าบนมหามรรคา หรือ โชคชะตา อะไรจะแข็งกว่ากัน…”

    พึมพำจบชายหนุ่มก็พุ่งหายเข้าไปในป่า ไม่นานนักกลุ่มคนในชุดดำคล้ายนักลอบสังหาร ก็มาถึงพวกเขาสำรวจร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ ก่อนจะพยักหน้า “เขามาทางนี้….พวกเจ้าไปทางนั้น และ พวกเจ้าไปนั้น ส่วนข้าจะตรงไป หากเจอเป้าหมายอย่าได้เข้าปะทะเด็ดขาด ให้จุดพลุส่งสัญญาณทันที” เสียงสตรียั่วยวนดุจนางอสรพิษ สั่งการเหล่านักลอบสังหาร

     

        ทั้งกลุ่มพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะกระโดดกันไปทางใครทางมัน เหลือไว้เพียงสตรีที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม “โต๋วเจิ่งหวังว่ามันจะคุ้ม กับการที่เจ้าจุดพลุสัญญาณเรียกพวกเรานะ ไม่เช่นนั้นกองโจรพงไพรสายลมจะลงโทษเจ้าแน่นอน…”

    นางพูดขึ้นพร้อมหันไปมองอีกทาง ร่างของชายวัยกลางคนหลังค่อม เดินออกมาจากเงาไม้แสยะยิ้มตาหยี “แม่นางซูไม่ต้องข่มขู่ขนาดนั้นได้หรือไม่? แน่นอนแน่นอนเคล็ดวิชาส่วนหนึ่งของเขา จะมอบเป็นบรรณาการให้แก่ท่านผู้นำ ได้ข่าวว่าเขากำลังจะเลื่อนขอบเขต กลายเป็นยอดยุทธ์แล้วนิ เพียงแค่อยู่ขอบเขตจอมยุทธ์ ยังสามารถสังหารยอดยุทธ์ไปถึงสาม เป็นตัวตนที่ควรค่าแก่การเคารพยิ่งนัก”

     

         แม่นางซูแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะพุ่งหายไปในป่ารกทึบ ชายหลังค่อมลูบคางพลางขบคิดกับตนเอง เขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นสามารถสังหารพวกเขาได้ง่ายๆ เพียงกระดิกนิ้วมือ

    แต่เหตุไฉนอีกฝ่ายจึงไม่ลงมือ นี้คือสิ่งที่เขาสงสัย แถมโต๋วเจิ่งไม่อยากสูญเสียเหล่าลูกน้องโดยใช่เหตุ จึงใช้พลุสัญญาณเรียกกำลังเสริม จากกลุ่มย่อยของกองโจรพงไพรสายลม และ ใช้อีกฝ่ายเป็นหนูทดลองหวัง หยั่งเชิงพลังที่แท้จริงของชายหนุ่มสะพายกระบี่

     

        “มาดูกันว่าเจ้าพยายามจะทำอะไรกันแน่…” โต๋วเจิ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขาค่อยๆถอยหลังหายไปภายใต้เงามืดของต้นไม้ เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า

    บริเวณร่างของมือเกาทัณฑ์ เงาในชุดคลุมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คว้าร่างของอีกฝ่ายค่อยๆเดินหายไปในความมืด หลงเหลือไว้เพียงร่องรอย ชั่วพริบตา ก็ผ่านไปแล้วห้าวัน หลินมู่ถูกนักลอบสังหารจากกองโจรพงไพรสายลม พบเจออยู่หลายต่อหลายครั้ง และ ได้เกิดการปะทะน้อยใหญ่จนยากจะนับ

     

       ร่างในชุดคลุมที่มีรอยขาดอยู่ทั่วตัว กำลังนั่งใช้ผ้าแห้งเช็ดกระบี่ที่มีใบขาวดุจหิมะ ภายในถ้ำยามค่ำคืนของป่าที่เต็มไปด้วยนักลอบสังหารและกองโจร วิ่งกันยั้วเยี้ยตามหาตัวเขาอย่างไม่เลิกลา

    “หากเจ้ายังไม่ออกมา อย่าหาว่าข้าโหดร้าย…” เสียงของเขาดังขึ้นในถ้ำอันมืดมิด แต่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมามีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ

     

        ในจังหวะที่เขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะทำบางสิ่ง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างเล็กของดรุณีอายุราวสิบสามสิบสี่ปี เดินออกมาจากหลังก้อนหิน

    เนื้อตัวมอมตัวเสื้อผ้าสีซีดผิวเหลืองขาดสารอาหาร ดวงตาสีดำกลมโตราวกับดวงจันทร์บนฟากฟ้า ผมสีดำยาวแห้งยุ่งเหยิง แม้ภายนอกจะดูเป็นเพียงดรุณีน้อยธรรมดาๆ แต่ดรุณีน้อยที่ไหนมาอยู่กลางป่ากลางเขาเช่นนี้

     

        แถมแววตาของนางก็ไม่มีเศษเสี้ยวของความหวาดกลัว มีแต่ความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น นางมองสำรวจหลินมู่ขึ้นลงราวกับพยายามพิสูจน์บางอย่าง

    “เจ้าเป็นใคร?…” นางถามชายหนุ่มด้วยสำเนียงของชาวตะวันตก มองอีกฝ่ายอย่างสงสัยภายในแววตาที่อยู่ส่วนลึก เต็มไปด้วยความเครียดแค้นไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ

     

        หลินมู่ย่นคิ้วก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขานั่งลงหันไปใช้ผ้าแห้งเช็ดกระบี่ของตนต่อไป “ข้าหรือ? ข้าเป็นเพียงมือกระบี่ที่ถูกตามล่า….แล้วเจ้าละ ดรุณีน้อยที่โผล่มากลางป่ากลางเขาไม่ใช่น่าสงสัยกว่าข้างั้นหรือ?” 

    นางปิดปากเงียบไม่พูดจาใดๆ หากสังเกตดีๆภายในความมืด ในมือของนางกำลังกุมกิ่งไม้เอาไว้กิ่งหนึ่ง ดวงตากลมโตของนางมองอีกฝ่ายขึ้นลงสักพัก ก่อนจะลดความระแวงลง

     

        แม้แต่ความเครียดแค้นที่อยู่ภายในแววตายังสลายไป เหลือไว้เพียงความสงสัย นางมองสำรวจคนที่อยู่ภายในเงามืด พยายามมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำสิ่งใดอยู่ แต่นางก็ยังไม่กล้าขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย เพียงยืนสำรวจอยู่ห่างๆ

    ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน เดินเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว ดรุณีน้อยตื่นตระหนกตั้งท่าอย่างทุลักทุเล ยกกิ่งไม้ในมือขึ้นมาคล้ายเป็นดาบหรือกระบี่

     

        ดวงตาสาดประกายข่มขู่ แต่ร่างนั้นไม่ได้หยุดนิ่งเลย เขาเดินตรงมาด้วยความรวดเร็ว คมกระบี่สีขาวดุจหิมะสะท้อนกับแสงจันทร์จางๆ ที่ส่องเล็ดลอดเข้ามาภายในถ้ำ

    ดรุณีน้อยที่เห็นคมกระบี่อันคมกริบและเยียบเย็น ก็หลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว เมื่อนางรู้สึกตัวก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรกับนาง ร่างในชุดคลุมเทายืนอยู่ด้านนอกถ้ำ

     

        ภายใต้แสงจันทร์ชุดคลุมโบกสะบัด คมกระบี่สาดประกายสังหาร ร่างเงาในป่าทึบโผล่ออกมาเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเตรียมพร้อมจะจุดพลุส่งสัญญาณ

    ฉับ!! เพียงเสี้ยวพริบตาร่างของอีกฝ่าย ก็ถูกคมกระบี่ผ่าครึ่งราวกับเต้าหู้นิ่ม นักลอบสังหารคนอื่นๆ ไม่อาจตอบสนองกับความรวดเร็วนี้ได้ “ฆ่ามัน!!”

     

        พอได้สติหนึ่งในนั้น ก็คำรามขึ้นสั่งให้สหายของตนเข้าประหัตประหารกับอีกฝ่าย แม้จะพูดเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีกำลังจะต่อต้านแม้แต่น้อย

    คมกระบี่ที่รวดเร็วและเด็ดขาด ฟาดฟันเด็ดชีวิตของเหล่านักลอบสังหาร ภายในถ้ำดรุณีน้อยยืนมองภาพนี้ พร้อมกำกิ่งไม้ในมือแน่น ดวงตาคู่นั้นสะท้อนกับคมกระบี่ภายใต้แสงจันทร์ 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×