ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #85 : ตอนที่ 85 กำลังของคนคนหนึ่งมีจำกัด

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 66


        การเผชิญหน้ากันระหว่าง กองคาราวานของหอการค้าต่วนเจิ่น และ กองโจร อย่างกระทันหันกลางเส้นทางตัดผ่านป่าอันห่างไกลเช่นนี้

    หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญคงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ แต่มันติดที่ว่าหลินมู่รู้ตัวต้นเหตุที่ทำให้เรื่องมาจบเช่นนี้ ด้านหลังถัดออกไปหลายจั้ง

     

         ชายกำยำมีแผลเป็นบนใบหน้า สวมใส่ชุดเกราะมาตรฐานของหอการค้า กำลังเอื้อมมือไปกุมด้ามดาบแน่น แม้สีหน้าและจังหวะการหายใจ ดูเพียงภายนอกเขาอาจจะตื่นกลัว

    แต่แท้จริงแล้วการเต้นของหัวใจ รวมถึงจังหวะการหายใจเข้าออก กลับนิ่งสงบเกินกว่าที่คนหวาดกลัวจะทำได้ หลินมู่ใช้มุมมองพิเศษจับจ้องอีกฝ่ายสักพัก

     

        ก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันไปเพ่งเล็ง คนคนหนึ่งที่พึ่งก้าวออกมาจากป่า เพียงอีกฝ่ายก้าวขาออกมาจากเงามืด ปรากฏตัวด้านใต้แสงแดด

    สีหน้าของจางฝูก็เปลี่ยนสี “ท่านรู้จักหรือ?” หลินมู่ที่พึ่งกระโดดลงไปยืนบนพื้น ถามขึ้นอย่างสนใจพร้อมทั้งสอดกระบี่เข้าฝัก จางฝูมองอีกฝ่ายอยู่นาน

     

        ก่อนจะหันหน้ามาอธิบายให้ชายหนุ่มรับรู้ “เขาคือโต๋วเจิ่ง เป็นคนค่อนข้างฉาวโฉ่ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีข่าวลือว่า อีกฝ่ายนำกองโจรพิสดาร สวามิภักดิ์กับผู้นำคนใหม่ของ กองโจรพงไพรสายลมก่อนจะบุกปล้นหลายต่อหลายครั้ง สร้างเรื่องมากมายจนยากจะนับ..”

    จางฝูเอื้อมมือไปคว้าทวนยาวที่เหน็บไว้ข้างตัวม้า คมทวนโลหะส่องประกายภายใต้แสงแดด สะท้อนแวววาวจนแสบตา พร้อมทั้งผ้าสีแดงสดที่โบกสะบัดตามสายลม

     

         ราวกับจะเปลี่ยนให้ชายคนนี้กลายเป็นแม่ทัพผู้องอาจ “หากมีแค่นั้นคงไม่น่าเป็นห่วงกระมัง โต๋วเจิ่งที่เจ้าพูดตบะไม่ได้สูงส่งใดๆเลย อาจจะต่ำกว่าเจ้าด้วยซ้ำ”

    จางฝูที่ได้ยินก็ส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้นมา “หากมีแค่นั้นก็ดี เรื่องที่น่ากังวลไม่ใช่กองโจรพงไพรสายลม แต่คือวิชาที่มันฝึกฝนต่างหาก มันฝึกฝนวิชากายาพิสดาร ทำให้มันสามารถปลดข้อต่อควบคุมกล้ามเนื้อ ขยับตัวด้วยท่วงท่าพิสดารยากคาดเดา แม้แต่ยอดฝีมือใน 100 อันดับแรก ของภาคตะวันตกยังเบือนหน้าหนี”

     

         หลินมู่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างแปลกใจ ยังไม่ทันได้ไตร่ถามใดๆเพิ่มเติม อีกฝ่ายก็ตะโกนแทรกขัดบทสนทนากลางคัน “เน่!! พวกเจ้าสั่งเสียเสร็จหรือยัง!? หากยังข้าจะให้เวลาเพิ่มอีกนิด!!” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากเหล่าโจรนับร้อยชีวิต

    โต๋วเจิ่งเป็นชายวัยกลางคนหลังค่อม ผมยาวกระเซอะกระเซิงใบหน้าแสยะยิ้มตาหยีตลอดเวลา สวมใส่ชุดสีน้ำตาลพื้นๆดูไร้สีสัน พกอาวุธเป็นมีดสั้นสองเล่มไม่ต้องพูดก็รู้ว่า อีกฝ่ายใช้วิชาประเภทมีดสั้นแน่นอน 

     

        จางฝูที่ได้ยินก็เตรียมจะตะโกนตอบกลับไป แต่ถูกหลินมู่ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ในขณะที่หัวหน้าของผู้คุ้มกันผู้นี้กำลังงุนงง ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาก็ตะโกนกลับไป 

    “ยังเลย!! พวกข้ายังเสวนาไม่จบ ขอเวลาอีกสักนิดได้หรือไม่!!?” เหล่าโจรต่างปิดปากเงียบ ใช้สายตาราวกับมองคนปัญญาอ่อนไปทางชายหนุ่มสะพายกระบี่ มีที่ไหนกันขอเวลาคุยเพิ่ม? ไม่ใช่ต้องร้องขอให้ไว้ชีวิตไม่ใช่หรือ?

     

        แม้แต่โต๋วเจิ่งผู้เป็นคนถามก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบกลับมา เขายืนอ้ำอึ้งสักพักแต่ไม่อาจสันหาคำพูดมาตอบกลับไปได้ “ข้าถือว่าเจ้าตกลงละกัน!! อีกนิดเดียวพวกข้าจะเสวนาจบแล้ว!! รอให้พวกข้าเสวนาสักพักจะเป็นไรไป!!”

    โต๋วเจิ่งใบหน้าบูดบึ้งโบกไม้โบกมือ ถลึงตามองอีกฝ่าย เป็นการบอกว่าเจ้าจะทำอะไรก็ทำไป หลินมู่หันมาพูดกับจางฝูด้วยการกระซิบ จางฝูแสดงสีหน้าตกตะลึง เขาพยายามเกลี่ยกล่อมอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เหมือนจะไม่ได้ผล

     

       ชายฉกรรจ์บนหลังม้า เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ และ หันหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยโจรหลายร้อยชีวิต สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้แล้วกระซิบบอกข้อมูลบางอย่าง 

    หลินมู่ที่ได้ยินก็พยักหน้า ก่อนจะก้าวเดินมาหยุดข้างเจ้าลาซุยโก๋ “ข้าจะฝากเจ้าไว้กับพวกเขาสักพัก ทำตัวดีๆด้วยล่ะ…” ชายหนุ่มพูดพลางลูบแผงคอของเจ้าลาเทา มันแสดงท่าทีกังวลเป็นพิเศษ 

     

       ราวกับจะบอกว่าเจ้าจะทำอย่างงี้จริงหรือ? แต่คำตอบที่ได้กลับมาคืนการตบแผงคอเบาๆสองครั้ง “ข้าไปล่ะ…” ชายหนุ่มเดินจากไป พร้อมเชือกวิเศษที่เลื้อยมารัดรอบตัว โดยที่ไม่มีใครอาจมองเห็น

    เหล่าพ่อค้าพากันมาลากเจ้าลาจากไป โดยเจ้าลาไม่อาจขัดขืนได้ จางฝูเรียกให้ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ามาหาเขา ก่อนจะกระซิบบางอย่าง ใบหน้าของเขาสับเปลี่ยนตามอารมณ์ที่ผันผวน

     

         ลูกตาขยับไปมาระหว่างชายหนุ่มสะพายกระบี่ และ จางฝู ในใจของมันมีแต่คำถามว่านี่เกิดอะไรขึ้น? หลังจบจัดแจงเสร็จ 

    ทุกคนก็เตรียมตัวเสร็จสับ พากันยืนประจันหน้ากับกองโจรที่อยู่ห่างออกไป “เสร็จแล้วหรือ? ไวกว่าที่ข้าคิดไว้้เล็กน้อยนะเนี่ย” โต๋วเจิ่งหัวเราะคิกคักในลำคอ ขยับมือไปวางไว้บนด้ามมีดของตน 

     

        ไม่มีการตอบกลับจากฝั่งตรงข้าม มีเพียงการกระทำอันแปลกประหลาด เหล่าผู้คุ้มกันบนหลังม้าต่างยกมือขึ้น ภายในมือกุมถุงบางอย่างที่ค่อนข้างคุ้นตา ยังไม่ทันให้โต๋วเจิ่งค้นความทรงจำเสร็จ

    ปัง!! อีกฝ่ายก็ขวางถุงลงพื้นอย่างพร้อมเพรียง บังเกิดเป็นฝุ่นควันมากมายบดบังวิสัยทัศน์ โต๋วเจิ่งแสดงสีหน้าแปลกใจยกมือพร้อมจะสั่งให้เหล่าลูกน้อง กระโจนเข้าไปแต่เขาก็หยุดไว้ซะก่อน

     

        เขาหรี่ตาลงคล้ายจะพยายามมองบางสิ่งในหมอกควัน ทำให้ตาที่หยีอยู่แล้วแทบปิดสนิทราวกับว่าเขากำลังหลับตาอยู่ ใช้เวลาเพียงไม่นานฝุ่นควันก็จางไป

    เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ และ ผู้คุ้มกันบนหลังม้าที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ทางด้านหลังมีกองคาราวานหันกลับหลังไปด้วยความรวดเร็ว โดยมีผู้คุ้มกันอยู่รั้งท้าย

     

        โต๋วเจิ่งแสดงสีหน้าอย่างแปลกใจปนตกตะลึง หากเป็นยามปกติมันจะได้ข่มขู่เล็กน้อย แต่นี่อะไร? ยังไม่ได้พูดคุยเป็นชิ้นเป็นอันอีกฝ่ายก็หันหลังหนีแล้วบัดซบ

    ถึงจะรู้สึกว่าโดนปั่นหัวแค่ไหน เขาก็ไม่กระทำตัวอย่างผลีผลาม อีกฝ่ายหันไปจ้องมองชายหนุ่มสะพายกระบี่ ที่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยสายตาสงสัย

     

        “เจ้ามั่นใจที่จะรั้งพวกข้า ได้เพียงตัวคนเดียวมากขนาดนั้นเลยหรือ?” โต๋วเจิ่งถามออกไปพร้อมส่งสัญญาณ ให้เหล่าลูกน้องของตนเตรียมพร้อม 

    ขณะเดียวกันการกระทำของหลินมู่ กลับแปลกแยกไม่เข้ากับสถานการณ์ ชายหนุ่มทำเพียงแกว่งกิ่งไม้ในมือพร้อมกับพูด ด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดาว่าคิดอะไรอยู่

     

        “ก็ไม่รู้สิ อาจจะได้…หรือไม่ได้ แต่ข้ามีความมั่นใจ 6 ส่วน ที่จะเป็นอย่างแรก” ไม่น่าเชื่อถือสักนิดแม้จะมีมาดของผู้แข็งแกร่ง แต่น้ำเสียงและการกระทำไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อย

    นี่แน่ใจนะว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้มีวรยุทธ์ไว้ต่อสู้กับเขาจริงๆ? ผู้คุ้มกันที่มีแผลเป็นเหลือบมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ด้วยสีหน้าตะลึงผสมปนเปไปด้วยความดูถูก เขาหันไปสบตากับโต๋วเจิ่งเพื่อขอสัญญาณ

     

        อีกฝ่ายทำเพียงส่งสัญญาณสั้นๆเป็นการตกลง ผู้คุ้มกันบนหลังม้าทำเพียงพยักหน้า โดยหารู้ไม่ว่าการเล่นหูเล่นตาของตนที่คิดว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่อาจรู้ได้ จะถูกพบเห็นอย่างจัง

    อีกฝ่ายเอื้อมมือไปกุมดาบสายตาสาดประกายจิตสังหารเข้มข้น พร้อมทั้งบังคับให้ม้าเดินหน้าไปอย่างช้าๆ ในขณะที่เขากำลังจะเปิดปากพูดบางอย่าง ไม่ทันจะให้เขาได้เอ่ยปากก็เกิดเรื่องน่าตกใจขึ้น

     

        ชายหนุ่มสะพายกระบี่ขยับตัวอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง ตวัดกิ่งไม้เฉือนลำคอของอีกฝ่ายจนเลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจ 

    ทำไม? ได้อย่างไร…. โต๋วเจิ่งรวมถึงเหล่าลูกน้องตกตะลึง บางคนแสดงสีหน้าหวาดกลัว กิ่งไม้มันสามารถคมได้ขนาดนั้นเลยหรือ!? นี้เกิดอะไรขึ้น? กว่าจะรู้สึกตัวร่างอันไร้ชีวิตก็ร่วงจากหลังม้า ไปนอนนิ่งบนพื้นในแววตายังเต็มไปด้วยคำถาม ว่าข้าทำผิดจุดไหนกัน?

     

        “เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไม่เห็น ว่าพวกเจ้าเล่นหูเล่นตากัน? ขอหล่ะข้าไม่ได้ตาบอด” แต่ละคนพูดไม่ออกแต่ที่เจ้าหลับตาสนิท แม้แต่เปลือกตาก็ไม่เคยกระตุก นี้ไม่ใช่คนตาบอดหรือ?

    โต๋วเจิ่งขมวดคิ้วแน่นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาอารมณ์ไม่ออก “ยอดฝีมือท่านนี้ ต่อให้ท่านเป็นคชสาร และ พวกข้าเป็นมดตามผืนดิน หากมดมีจำนวนมากพอ ก็กัดคชสารตายได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าท่านไม่ใช่คชสาร และ พวกข้าไม่ได้เป็นมด กำลังของคนคนหนึ่งย่อมมีจำกัด แม้ท่านจะรู้ว่าเขาเป็นไส้ศึก แต่การตัดกำลังตัวเองเช่นนี้ไม่ดีกระมัง…”

     

        หลินมู่โยนกิ่งไม้ทิ้งพร้อมก้าวเดินมาข้างหน้า เขาเปิดปากพูดราวกับว่า เขายังไม่รู้ตัวว่าตนกำลังเดินเข้าหาความตาย “แล้วเช่นไร? ข้าควรเก็บเขาไว้แทงข้างหลังข้าหรือ? น่าขัน หากข้าอยากหนีพวกเจ้าก็ตามข้าไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้สู้จริงๆแม้ประสบการณ์ข้าจะน้อย แต่ขอบเขตของเราต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ข้าไม่มีกำลังมากพอ ข้าก็ยังสามารถหลบหนีได้ แล้วเหตุผลอันใดที่ข้าจะต้องเก็บคนที่มีรอยยิ้มซ่อนมีดนั้นไว้อีก?”

    สิ้นเสียงคำคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาภายในหัวของทุกคน เย่อหยิ่ง ช่างเป็นคนที่เย่อหยิ่งอะไรเช่นนี้ แม้นจะเป็นเหมือนการตอบมาตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม แต่อารมณ์ที่อีกฝ่ายสื่อออกมาช่างเย่อหยิ่งยิ่งนัก

     

        “ในเมื่อท่านมั่นใจนักข้าก็จะสนอง…” โต๋วเจิ่งโบกมือสั่งให้โจมตีทันที เหล่าโจรกระหายเลือดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมือเกาทัณฑ์ง้างสายปล่อยลูกเกาทัณฑ์ออกไป

    ลูกเกาทัณฑ์พุ่งเข้าหาจุดตายราวกับ ตัดผ่านผืนฟ้าสามารถมาปรากฏตรงหน้าได้ทันที ชายหนุ่มสะพายกระบี่ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เอื้อมมือไปกุมด้ามกระบี่ที่เขาสะพายอยู่

     

        ดวงตาสีหมึกเปล่งประกายราวกับมีม้วนหมูดาราผันแปรไม่รู้จบ สาดประกายอันแหลมคมที่ไม่มีสิ่งใดเทียบออกมา พร้อมกับกระบี่ที่มีใบขาวดุจหิมะถูกชักออกมา

    เสียงแปลบปลาบของอัสรีดังขึ้น พร้อมประกายแสงแสบตาจนทำให้การมองเห็นพร่าเลือน แม้นั้นจะเพียงไม่กี่อึดใจก็มากพอจะตัดสินเป็นตาย ลูกเกาทัณฑ์ถูกตัดเป็นสองส่วน ก่อนร่างในชุดคลุมเทานั้นจะพุ่งรุดหน้ามาราวกับ 

     

       สายอัสนีสายหนึ่งตรงเข้าไปยังใจกลางคนนับสิบ แล้วจึงออกกระบี่ด้วยความเด็ดขาด ร่างนับสิบที่ถูกทำให้มองไม่เห็นชั่วขณะ ถูกคมกระบี่ที่แหลมคมกว่าสิ่งใด

    ตัดผ่านเนื้อหนังสะบั้นกระดูก แยกร่างเป็นสองส่วนตายลงในทันที ราวกับเป็นใบไม้ที่ถูกเด็ดลงมา โต๋วเจิ่งพุ่งเข้าโจมตีด้วยท่วงท่าอันแปลกประหลาด แทงมีดสั้นเข้าไปยังบริเวณลิ้นปี่ ในมุมที่ยากจะตอบสนอง ดวงตาแดงก่ำสาดประกายอำมหิต บนใบหน้าเขียนไว้ชัดเจนว่า ตาย!!

     

     

     

         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×