ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #84 : ตอนที่ 84 มีหนอน

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 66


       กองคาราวานของหอการค้าต่วนเจิ่น ออกเดินทางไปด้วยความเร็วสูง โดยมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตยอดยุทธ์จำนวน 5 คน คอยคุ้มกันรอบกองคาราวาน

    เพื่อไม่ให้ถูกกองโจรที่มีอย่างชุกชุมหมายหัว แม้แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตจอมยุทธ์ก็ยังมีหลายสิบคน หากกองโจรใดคิดจะโจมตีเพื่อปล้นชิงต้องคิดแล้วคิดว่าคุ้มเสียหรือไม่

     

        ยังไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มสะพายกระบี่ที่นักประเมินอาวุโส เป็นคนพามาด้วยตัวเองเลย แม้จะไม่อาจสัมผัสถึงลมปราณได้ แต่จากความเคารพที่นักประเมินอาวุโสมอบให้อีกฝ่าย คาดว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ขอบเขตเจ้ายุทธ์ขึ้นไป

    การเดินทางไปกลับครั้งนี้จึงค่อนข้างผ่อนคลายกว่าครั้งที่ผ่านๆมา หากเกิดเหตุการณ์อะไรที่ผู้คุ้มกันของหอการค้า ไม่อาจรับมือได้ยังมีผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ผู้นี้อยู่

     

         ภายในกองคาราวานที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาสะพายกระบี่สวมหมวกไม้ไผ่ กำลังนั่งหลับตาอยู่บนหลังลานามซุยโก๋

    ปล่อยให้มันวิ่งออกกำลังกายอย่างร่าเริง โดยของสัมภาระส่วนใหญ่เขานำไปฝากไว้บนรถม้า ส่วนเจ้าเชือกวิเศษที่ไม่รู้ความสามารถแน่ชัดอันนั้น

     

        เขายื้อยุดฉุดกระชากกับมันภายในรถม้าอยู่นาน สุดท้ายตัวมันเองก็กระโดดเข้าถุงเฉียนคุน ด้วยตัวเองโดยหลินมู่ไม่อาจโต้แย้งใดๆได้ 

    จึงได้มานั่งกร่อยอยู่บนหลังลา แม้เจ้าเชือกจะเป็นของที่อาจารย์เขาเคยใช้ก็จริง แต่เหมือนมันไม่เคารพลูกศิษย์อย่างเขาเลย จะมีบางจังหวะที่ชายหนุ่ม

     

        เอื้อมมือไปกดปากถุงที่ว่างเปล่าอย่างไม่ทราบสาเหตุ คราแรกคนที่อยู่บริเวณใกล้ๆกับอีกฝ่าย ก็นึกสงสัยจึงคอยสังเกตุเป็นพักๆ แต่หลังจากสังเกตเป็นเวลาหลายถ้วยชา

    พวกเขาก็สรุปว่าเป็นนิสัยหรือความเคยชินของอีกฝ่าย จึงไม่มีใครให้ความสนใจอีก แต่แท้จริงแล้วหลินมู่กำลังใช้ฝ่ามือกดหัวเจ้าเชือกวิเศษ ที่ชูคอขึ้นมาจากปากถุงราวกับเป็นอสรพิษต่างหาก

     

         “เห้อ….เจ้าจะไม่สร้างปัญหาได้หรือไม่?” หลินมู่พึมพำพร้อมใช้นิ้วเกี่ยวเจ้าเชือกวิเศษ ในสภาพกึ่งล่องหนลงทาเพื่อไม่ให้มันไปสร้างปัญหา

    รอยวันพันปีเจ้าเชือกนี้ก็อยู่นิ่งๆมาตลอด แต่ไม่รู้เหตุผลอันใดทำให้มันตื่นขึ้นมา มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือมันพึ่งเป็น เขาก็ไม่รู้อีก เรียกได้แค่ว่าพวกวัตถุวิเศษมันวิเศษสมชื่อจริงๆ

     

         ในระหว่างหนึ่งคนและหนึ่งของวิเศษกำลังตบตีกันอยู่นั้น เจ้าซุยโก๋ผู้วิ่งมาตลอดทางกำลังแสดงสีหน้าดีใจเป็นล้นพ้น มองข้ามเรื่องที่มันวิ่งตามม้าทันโดยไม่หอบกินไปก่อน

    แต่เจ้าตัวไม่คิดจะสนใจหนึ่งคนและหนึ่งเชือก ที่แทบตีกันตายบนหลังมันเลยหรือ? คำตอบคือไม่ พวกเขาจะตีก็ตีกันไปขออย่ามายุ่งกับมันที่กำลังวิ่งอย่างสนุกสนานเป็นพอ 

     

        เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาเดียว ยามค่ำคืนก็เข้ามาเยือน กองคาราวานการค้าหยุดพักอยู่ข้างแม่น้ำสายหนึ่ง ปล่อยให้ม้าและคนของพวกเขาพักผ่อน

    แต่ละคนนั่งจับกลุ่มหุงหาอาหาร พูดคุยสัพเพเหระตามภาษาของพ่อค้า ส่วนเหล่าผู้คุ้มกันกำลังรวมกลุ่ม พากันฝึกฝนตามกิจวัตรประจำวัน หลินมู่ผู้ติดมากับกองคาราวานเอง กำลังนั่งนิ่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ใบเขียวชอุ่มของมันเริ่มกลับมาอีกครั้ง 

     

         เขากำลังเช็ดทำความสะอาดกระบี่ของตนอย่างเงียบงัน ด้านข้างคือเจ้าลาซุยโก๋นอนลิ้นห้อยอย่างเหนื่อยล้า พลังงานกว่าหลายเดือน

    ที่เก็บสะสมไว้ในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาแทบหมด มันมีความสุขจริงๆ นี่ไม่ใช่ท้องเรือแคบๆไร้แสงเดือนแสงตะวัน อสูรลาเทาอย่างมันชอบใจจริงๆ

     

         แต่พอนึกได้ว่าไม่มีเสียงพูดจ้อจี้น่ารำคาญ ของมือเกาทัณฑ์ตาบอดนามจ้าวมู่หยู คอยพูดกรอกหูมัน และ เป็นผู้เรียกมันว่าอสูรลาเทาแล้ว ทำเอามันเหงานิดๆเหมือนกัน 

    ในระหว่างที่หลินมู่กำลังเช็ดและบำรุงรักษาอาวุธคู่กายของตน เจ้าเชือกวิเศษราวกับอสรพิษกลับชาติมาเกิด เลื้อยขึ้นไปชูคอบนกิ่งไม้ราวกับจะประกาศศักดาว่า จงมองข้า! ข้าคือเชือกวิเศษ!! 

     

       แต่เหมือนมันจะลืมไปว่ามันอยู่ในสภาพพรางตัว ในระหว่างที่ทุกคนกำลังพักผ่อนอย่างเงียบสงบ ในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ร่างเงาตะคุ่มพุ่งหายไปในป่าอันมืดมิดอย่างไร้้ซุ่มเสียง

    หลินมู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ก้มหน้าลงเช่นเดิม ทางด้านร่างในเงามืดที่พุ่งเข้ามาในป่าได้ราว 100 กว่าจั้ง เขาก็มองไปมารอบตัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยของคนสะกดรอยตามมา

     

         เขาก็หยิบกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่ง ฝังลงใต้รากไม้ใช้มีดสั้นทำสัญลักษณ์บางอย่าง ก่อนจะกลับไปยังกองคาราวานโดยไม่มีใครรู้เห็น แต่หารู้ไม่ว่ามีคนใช้สายตาที่มองไม่เห็น มองเห็นการเข้าออกของเขาอยู่

    แม้หลินมู่จะอยู่ห่างไกลมาก แต่การกระทำที่แปลกประหลาด ของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าไปในป่าก่อนจะกลับมา แม้เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรแต่คิดว่าคงไม่ใช่ปลดทุกข์แน่นอน

     

        รุ่งสางมาถึง เหล่าพ่อค้าและคนคุ้มกันเริ่มตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา อุ่นอาหารจากเมื่อคืนเพื่อกินเป็นมื้อเช้า ก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

    ฝุ่นตลบอบอวลลอยขึ้นอากาศเป็นทางยาว ตามเส้นทางที่กองคาราวานผ่านไป ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่จู่ๆก็ลุกขึ้นยืน กระโดดไปมาในกองคาราวาน ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน

     

         ด้านหน้าสุดของกลุ่มคือม้าศึกตัวโตสีน้ำตาลแดง ผู้ที่นั่งอยู่คือหัวหน้าผู้คุ้มกันของหอการค้าต่วนเจิ่น นามจางฝู เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตยอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

    เขาแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ จางฝูเอื้อมมือไปลูบแผงคอม้าของตนเพื่อไม่ให้มันรู้สึกตื่นตระหนก “ท่านทำอย่างงี้ไม่ดีต่อสุขภาพจิตใจม้าข้าเลยนะ?”

     

        เขาพูดออกมาโดยสายตาอันคมกริบคู่นั้น ยังจับจ้องไปยังด้านหน้าของเส้นทางอันยาวไกล โดยคนที่มาถึงคือชายหนุ่มสะพายกระบี่นามหลินมู่

    เขายืนตรงเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ส่วนเจ้าซุยโก๋ถูกเชือกวิเศษคุมบังเหียนไว้อยู่ เพื่อการันตีว่ามันจะไม่ได้วิ่งเตลิดหายไปไหน “การที่ท่านมาหาข้า คงมีเรื่องจะบอกกระมัง?”

     

        จางฝูเปิดบทสนทนาเข้าประเด็นหลักโดยไม่อ้อมค้อมใดๆ ชายหนุ่มยืนนิ่งสักพักก่อนจะเปิดปากเปล่งเสียง “สั่งให้คนของท่านเตรียมตัว เราถูกซุ่มโจมตี จำนวนไม่แน่ชัด….ภายในกองคาราวานมีหนอนบ่อนไส้” 

    จางฝูแสดงสีหน้าตกตะลึงปนไม่อยากจะเชื่อ แต่พอขบคิดและมองสภาพแวดล้อมรอบตัวแล้ว มันเงียบเกินไปแม้แต่เสียงนกหรือเสียงแมลงสักตัวก็ยังไม่มี…

     

        เขายกแขนขวาชูขึ้นพร้อมแบมือออก เป็นสัญญาณให้กองคาราวานหยุดลง รอบข้างเต็มไปด้วยป่าหนาทึบสายลมเย็นเฉียบพัดผ่าน ใบไม้สีเขียวคล้ำแสนแปลกประหลาด ขยับตามสายลมส่งเสียงอย่างแผ่วเบา

    เงียบ เงียบจนเกินไป จางฝูขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม ยกมือขึ้นอีกครั้งส่งสัญญาณให้คนของเขาเริ่มเตรียมตัว เจ้าซุยโก๋ที่ไม่ทราบสถานการณ์ก็วิ่งจนมาถึงด้านหน้าขบวน

     

        ก่อนจะถูกหลินมู่ดึงเชือกวิเศษ รัดคอมันเอาไว้ทำให้มันหยุดชะงักก่อนจะหันไปมองรอบข้าง มันพบว่าบรรยากาศไม่ต่างอะไรจากป่าช้าอันเย็นเฉียบ อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของคนตายเลยแม้แต่นิดเดียว

    มันหดคอแล้วค่อยๆถอยหลังกลับ สายตาเริ่มหวาดระแวง ไม่ต้องพูดถึงเจ้าลาซุยโก๋แม้แต่พวกม้าเอง ยังเริ่มแสดงท่าทางกังวลออกมา พวกมันไม่ชอบบรรยากาศของที่นี่แม้แต่น้อย

     

        ฟิ้ว!!! ลูกเกาทัณฑ์สีดำลูกหนึ่งพุ่งตัดผ่านอากาศ เข้าหาร่างที่ยืนอยู่บนหลังม้าศึก ด้วยความรวดเร็วและอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร แม้หลินมู่จะพึ่งเคยจิตสังหารเข้มข้นเป็นครั้งแรก ตอบสนองของเขาก็ยังคงรวดเร็ว

    ชักกระบี่ด้วยความเร็วสูง ตัดลูกเกาทัณฑ์เป็นสองส่วน เขาจะปลดหมวกไม้ไผ่ลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มาแล้ว…” สิ้นเสียงเงาร่างของมนุษย์จำนวนหลายร้อย ก็ค่อยๆเดินออกมาจากป่าข้างทาง บนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ในมือกุมอาวุธดวงตาแดงก่ำ จับจองมายังกองคาราวานอย่างหิวกระหาย….

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×