คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #83 : ตอนที่ 83 ความสามารถของเชือกวิเศษ
แม้ในมุมมองของผู้คน จะเห็นชายหนุ่มสะพายกระบี่หันหน้าไปมอง กองถุงสัมภาระจำนวนมากที่ลาของเขาแบกอยู่ ทั้งๆที่เจ้าตัวยังหลับตาอยู่ก็ตาม
แต่ในมุมมองของชายหนุ่มแล้ว เขากำลังมองเชือกวิเศษที่อยู่ในสภาพกึ่งล่องหน กำลังยกหัวชูคอโยกตัวไปมาทักทายหลินมู่อย่างกระตือรือร้น
ภายในหัวของเขาขาวโพลนเหลือไว้เพียงคำว่า มันเกิดอะไรขึ้น? ในขณะที่ชายหนุ่มยังงุนงงอยู่กับสถานการณ์ เจ้าเชือกวิเศษก็ขยับตัว
ควบแน่นปราณฟ้าดินให้กลายเป็นตัวอักษร ชายหนุ่มมองตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนเชือก ด้วยสีหน้าค่อนข้างแปลกใจ เพราะมันคือตัวอักษรของภาษากลาง ของมหาทวีปเจี้ยน
เคราะห์ยังดีที่เขาถูกศิษย์พี่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก จนอ่านออกเขียนได้อย่างไม่เป็นปัญหา ชายหนุ่มอ่านข้อความที่เชือกวิเศษเขียนขึ้นมา
ก่อนเพียงเสี้ยวอึดใจสีหน้าของเขาแสดงออกถึงความตกตะลึง แต่คงไว้เพียงไม่กี่ลมหายใจแล้วจึงกลับมาเป็นปกติ
หลินมู่หันหน้าไปมองทางเด็กชาย ที่กำลังโอบกอดและปลอบประโลมน้องสาวของตน อีกฝ่ายเองก็จ้องมาทางหลินมู่เช่นกัน แม้เด็กชายจะเห็นว่าภายนอกปรมาจารย์หรือยอดฝีมือท่านนี้
กำลังหลับตาอยู่ก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกจากสัญญาณ ว่าบุคคลตรงหน้ากำลังใช้สายตาที่มองไม่เห็น จ้องมองมาที่เขาราวกับจะสืบค้นไปถึงแก่นวิญญาณ
เด็กชายกลืนน้ำลายดังเอื้อก เขาขยับปากเตรียมพูดบางอย่าง แต่ในจังหวะนั้นเองชายหนุ่มสะพายกระบี่ ก็โยนถุงเงินในมือมาทางเด็กชาย
เด็กชายจึงเอื้อมมือออกไปรับตามความเคยชิน พอถุงเงินมาอยู่ในมือเขาก็รู้สึกตัว เขามองด้วยสีหน้าอันว่างเปล่าไปทางอีกฝ่าย สลับไปมากับถุงเงินในมือของตน
“ทำไม?” เด็กชายถามออกมาด้วยความสงสัย อีกฝ่ายที่ได้ยินคำถามเพียงตอบแบบขอไปทีว่า “ข้าแค่ทำบุญทำทาน อย่าได้ถามหาเหตุผลเลย”
“….” เด็กชายปิดปากเงียบ เขามองด้วยสายตาเจือความสงสัย เห็นๆอยู่ว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะเป้าหมายบางอย่าง ไม่เช่นนั้นก็ไม่เปลี่ยนท่าทีฉับไวเช่นนี้
ไม่ทันจะให้ความสงสัยเก่าลดลง ความสงสัยใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นโดยอีกฝ่าย ในสายตาของฝูงชนผู้คุ้มกันและเด็กชาย เห็นมือกระบี่ผู้นั้นหยิบตำลึงทองออกมา 1 ก้อน
ก่อนจะโยนมาให้เขาอย่างไม่ยี่หระ “นี้ของเจ้า…” มีเพียงสามคำเท่านั้นที่อีกฝ่ายพูดออกมา ทุกคนดวงตาเป็นประกาย จ้องมองก้อนตำลึงทองตาเป็นมัน
แต่ไม่อาจคว้าได้เพราะตรงจุดนั้นมียอดฝีมือยืนอยู่ เด็กชายรับก้อนตำลึงทองมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาใช้สายตาไม่เข้าใจมองไปทางอีกฝ่ายพร้อมจะตั้งคำถาม
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากใดๆออกไป เพียงคุกเข่าลงเตรียมจะโขกหัวให้อีกฝ่าย แต่เพียงย่อตัวได้ครึ่งตัว ชายหนุ่มผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาด้วยความเร็วยากจะมองเห็น
พยุงตัวของเด็กชายพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา “หัวเข่าของลูกผู้ชายมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เราจะคุกเข่าให้ ฟ้าดิน บิดามารดา หรือ ครูบาอาจารย์เท่านั้น เจ้าจะคุกเข่าให้ข้าได้ง่ายๆเช่นไรกัน?” เด็กชายที่ได้ยินก็ไปไม่ถูก
ก่อนจะยืนตัวตรงป้องหมัดให้อีกฝ่าย “ข้าหนิงฟาง ภายภาคหน้าข้าจะตอบแทนความเมตตาของท่านแน่นอน!!” หลินมู่ยกยิ้มอย่างมีความหมาย
“ข้าก็หวังเช่นนั้น…” แม้เหมือนจะเป็นการตอบรับตามมารยาท แต่ทุกคนในที่นั้นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาด ที่บอกว่าอีกฝ่ายรอคำพูดนี้จากเด็กชายอยู่
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไร ใช้ชี้ชัดบอกว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำเช่นนี้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบไม่พูดจาใดๆออกมา แม้ในหัวของหนิงฟางจะมีความเคลือบแคลงในตัวอีกฝ่าย
เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายประสงค์ร้ายกับตนหรือไม่ หลังจากเขาพูดเช่นนั้นไปความรู้สึกราวกับตกหลุมพราง ก็เข้ามาโจมตีเขาอย่างจัง
ตอนนี้ไม่อาจกลับคำพูดได้แล้ว จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา “การพบพานกันถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ข้าใช้แซ่หลิน ภายภาคหน้าหากเป็นตามที่เจ้าพูด ช้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง หวังว่าเจ้าจะทำตามที่พูด”
หนิงฟางพยักหน้าเป็นคำตอบ ถึงแม้จะตกหลุมพรางก็ช่างปะไร เขาขอแค่น้องสาวญาติเพียงคนเดียว จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และ เติบโตอย่างปลอดภัย
“พวกเจ้า ยังมีตำแหน่งใช้แรงงานว่างหรือไม่? หากมีขอให้รับสหายน้อยผู้นี้ไว้ที” หลังจากหลินมู่พูดจบรอบข้างก็ราวกับถูกแช่แข็ง เหล่าคนที่มองเด็กทั้งสองด้วยประสงค์ร้ายก็รีบเปลี่ยนสีหน้า
ส่วนคนอีกส่วนก็คิดว่าเหตุใดไม่ใช่ตนกัน นั้นคือการได้เข้าร่วมกับหอการค้าเลยนะ เป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ แม้หอการค้าต่วนเจิ่นจะเป็นหอการค้าขนาดกลางก็ตาม
แต่อำนาจของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจรจะรับไหว หนิงฟางเองก็แสดงสีหน้าตกตะลึงปนไปกับความไม่อยากจะเชื่อ เพียงรู้ตัวอีกฝ่ายก็เดินจูงลาค่อยๆเดินผ่านฝูงชนไปแล้ว
“ขอบพระคุณท่านมาก!!! หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านแน่นอน!!” เขาไม่สนแล้วว่านี่มันคือหลุมพราง ต่อให้เป็นหลุมพรางจริง เขาก็ยินยอมจะกระโดดลงไป
นี่คือหลักประกันสำคัญ ที่จะเป็นการเปลี่ยนฐานะของเขาและน้องสาว มันคือความเมตตาที่ยากจะประเมินได้ หนิงฟางและหนิงหนิง โค้งตัวให้ร่างในขุดคลุมเทานั้นอย่างทราบซึ่ง
โดยการตอบรับที่ตอบกลับมา มีเพียงการโบกมือให้จากอีกฝ่ายก่อนจะหายลับไป หลินมู่กำลังจูงเจ้าซุยโก๋ไปยังจุดนัดพบ แม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าปกติ
แต่ในหัวกลับมีคำถามเพิ่มเข้ามา เชือกวิเศษ มันมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ? แล้วเหตุใดศิษย์ของตนจึงไม่เคยพูดออกมา เขาขยับมือไปลูบด้ามของเฮ่ยซานที่ห้อยอยู่เอวข้างซ้าย
“หวังว่าท่านจะมีคำตอบนะ…" ชายหนุ่มพึมพำอย่างถอดถอนใจ เหตุที่เขาพูดเช่นนี้ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ในตอนที่หลินมู่กำลังอ่านข้อความของเชือกวิเศษ
‘พรสวรรค์รากปฐพี จิตวิญญาณแกร่งกล้า สามารถเดินทางแสวงมรรค คาดการณ์สามารถเติบโตจนไปถึง ปฐพีที่ 3’ ตัวอักษรสีรุ้งที่หลินมู่เพียงคนเดียวที่เห็น กำลังลอยอยู่บนตัวเชือกวิเศษ
แม้สิ่งที่เชือกวิเศษทำว่าน่าตกตะลึงแล้ว แต่เนื้อหาทึ่มันเขียนกลับน่าตกตะลึงกว่า ผู้มีพรสวรรค์? เติบโตได้ถึง ปฐพีที่ 3? หมายความว่าเจ้าเชือกที่เขาใช้มัดของมาตลอด
มีความสามารถในการตรวจสอบพรสวรรค์? แม้จะมีความสงสัยอัดแน่นอยู่เต็มอก แต่เขาก็ไม่มีใครให้ทดสอบ….ไม่สิก็มีอยู่คนหนึ่งนี้ไง
ปัญหาคือเขาจะใช้งานความสามารถตรวจสอบ ของเจ้าเชือกนี้อย่างไร? ในมุมมองของชายหนุ่มเห็นเชือกวิเศษ กำลังยกหัวชูคอไปมา โดยไม่มีใครสังเกตเห็นมันเพราะมันกำลังอยู่ในสภาพกึ่งล่องหน
และเหมือนเจ้าเชือกวิเศษจะรับรู้ได้ถึงสายตาพิเศษของชายหนุ่ม มันก็หันมาคล้ายเป็นอสรพิษจ้องมองเหยื่อ ภายในใจของหลินมู่เมื่อเห็นภาพนี้ ก็บังเกิดความรู้สึกว่าเจ้าเชือกนี้ให้ความสนใจในตัวเขาอย่างมาก
ไม่ปล่อยให้หลินมู่สงสัยนานนัก มันก็พุ่งเข้ามารัดแขนชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะคลายออกและควบแน่นปราณฟ้าดินเป็นตัวอักษร…
ณ สถานที่นัดพบ กองคาราวานของหอการค้าต่วนเจิ่นกำลังนับจำนวนสมาชิก โดยด้านข้างมีนักประเมินเฒ่ากงฉิว กำลังยืนเอามือไขว้ไว้ด้านหลัง ใช้สายตามองสอดส่องพร้อมพยักหน้าเป็นบางครั้งบางคราว
“ขออภัยที่ปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องคอยนาน” ชายหนุ่มสะพายกระบี่ชุดคลุมเทา เดินจูงลาเทาลายด่างเข้ามายังจุดนัดพบ พร้อมทักทายนักประเมินเฒ่ากงฉิว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรสหายน้อยไม่ต้องคิดมาก” นักประเมินเฒ่าโบกมือ บ่งบอกว่าตนไม่ได้ติดใจเรื่องที่ชายหนุ่มมาถึงจุดนัดพบค่อนข้างล่าช้า
พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนหลินมู่จะนำป้ายไปยืนยันตัวตนกับหัวหน้าคาราวาน หลังจากนั้นไม่กี่ก้านธูป กลุ่มคาราวานของหอการค้าต่วนเจิ่น
ก็ออกเดินทางตรงไปตามเส้นทาง เพื่อไปขนย้ายสินค้าจากสาขาที่มณฑลซ่งหลุย หลินมู่ที่เดินปะปนอยู่ในฝูงชน กำลังหวนนึกถึงข้อความของเชือกวิเศษ หลังจากมันรัดแขนเขาแล้วควบแน่นเป็นตัวอักษรขึ้นมา
ขบคิดอยู่สักพักเขาก็เลิกสนใจไป เก็บเรื่องนี้ไว้ถามหลังจากศิษย์พี่หลัวของตนตื่นจากจำศีลจะดีกว่า หากศิษย์พี่ไม่รู้คงต้องเก็บไว้ถามอาจารย์ หลังจากไปถึงภูเขาสุดขอบตะวันออก
ความคิดเห็น