ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #82 : ตอนที่ 82 สะกิด

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 66


       ด้านหน้าหอการค้าต่วนเจิ่น เหล่าชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้าและผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจร ต่างพากันมาล้อมรอบมุงดูสถานการณ์ด้วยความสงสัย

    บริเวณใจกลางลานมีผู้คุ้มกันของหอการค้า กำลังปลดปล่อยลมปราณพร้อมแสดงสีหน้ามืดทะมึน ลมปราณของขอบเขตยอดยุทธ์ กดทับไปรอบบริเวณ

     

        จนสีหน้าของคนบางส่วนเริ่มเปลี่ยนสี แต่คนบางกลุ่มกลับยืนกอดอกยิ้มกรุ่มกริ่ม รอรับชมการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ

    ตรงข้ามผู้คุ้มกันประตูของหอการค้า คือเด็กชายสวมเสื้อผ้าสีซีดตัวมอมแมม ร่างกายผอมแห้งขาดสารอาหารอย่างหนัก กำลังยืนประสานตามองผู้คุ้มกันอย่างไม่เกรงกลัว

     

       ในมือกำลังกำถุงใบหนึ่งไว้แน่น โดยทางด้านหลังของผู้คุ้มกันอีกคนมีเจ้าลาซุยโก๋ กำลังร้องอย่างร้อนรนพร้อมทั้งใช้สายตา ที่ไม่อยากจะเชื่อมองไปทางเด็กชาย

    ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถฉกหนึ่งในสัมภาระไปได้ แถมดูจากถุงนั้นน่าจะเป็นถุงเก็บเหรียญอิแปะ ที่นายของมันผูกเอาไว้กับเซือกวิเศษ 

     

       มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกฉกเอาไปง่ายดายขนาดนั้น แม้แต่มันยื้อยุดฉุดกระชากกับเจ้าเซือกนั้นครึ่งค่อนวัน ก็ไม่อาจทำให้ถุงสักใบที่เจ้าเซือกมัดไว้หลุดออกได้

    แล้วเด็กชายมอมแมมผู้นั้นทำได้อย่างไร? หากไม่มีผู้คุ้มกันของหอการค้ารองคำรามขึ้นมา มันก็ไม่รู้เลยว่าหนึ่งในสัมภาระถูกชิงไปแล้ว เด็กชายประสานสายตากับผู้คุ้มกันตรงหน้าตน

     

        ภายในหัวขบคิดแผนหลบหนีหลากหลายรูปแบบ ดวงตากลอกไปมาหวังหาทางหลบหนี ในถุงนี้ที่เขาฉกมาจากลาเทาลายด่างได้ กะจากน้ำหนักแล้ว

    คาดว่ามีเงินไม่น้อยมากพอจะให้เขาใช้ซื้อข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อเลี้ยงปากท้องของตนและครอบครัว แต่เหมือนจะกลายเป็นเรื่องยากทั้งๆทึ่ผ่านมา 

     

       เด็กชายเคยล้วงกระเป๋าและฉกของผู้คน ที่ผ่านไปมาอยู่แถวนี้หลายครั้ง ยามสองคนนั้นก็มีท่าทีไม่สนใจอะไร กลับทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง คล้ายเวทนากับซะตากรรมของเขา

    แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เพียงเขาเข้ามาด่อมๆมองๆ ทั้งสองก็จ้องตาเป็นมันไม่ละสายตาแม้แต่เสี้ยวพริบตาเดียว เด็กชายรับรู้ได้ทันทีว่าวันนี้ไม่อาจคว้าอะไรติดมือ

     

       จึงตัดสินใจล่าถอยหลังจากตระเวณไปรอบเมือง เขาไม่ได้รับอะไรเลยจึงต้องจำกลับมา หากเขาไม่ได้อะไรกลับไปแม้เขาจะทนได้แต่น้องสาวของเขาจะทนได้อย่างไร หลังจากมาถึงเขาก็เล็งเป้าเป็นหนึ่งในถุงผูกอยู่กับเชือก เขาพยายามแง่หูฟังเสียงว่าถุงใดตนควรฉกชิง

    หลังจากจำหนดเป้าหมายเขาก็หาโอกาส พุ่งเข้าไปคว้าถุงใบนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ถุงใบนั้นก็อยู่ภายในกุมมือของเด็กชาย เสียงกระทบกรุ่งกริ่ง ของเหรียญในถุงช่างทำให้จิตใจของเขาเป็นสุขยิ่งนัก ปนไปกับความสงสัยว่าเหตุใดจึงง่ายดายนัก

     

       แต่กลับเป็นจังหวะเดียวกันที่หนึ่งในผู้คุ้มกันสังเกตเห็น อีกฝ่ายร้องตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล ปลดปล่อยลมปราณลงมากดทับเขาเอาไว้ 

    พร้อมกับกระโจนเข้ามาปิดทางหนีเอาไว้ เด็กชายที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลับนิ่งสงบกว่าที่คิดไว้มาก ไม่เพียงไม่ลนลาน แต่กลับพยายามคิดหาทางหลบหนีตลอดเวลา

     

       จนทำเอาผู้คุ้มกันทั้งสองประหลาดใจไม่น้อย ที่เด็กอายุเพียงเท่านี้ไม่มีแม้แต่ตบะการฝึกฝน กลับไม่ตื่นกลัวแถมยังสามารถคุมสติ พยายามมองหาทางหลบหนีตลอดเวลา

    เป็นภาพที่ยากจะพบเจอในเด็กอายุเท่านี้ ทั้งคู่ยืนคุมเชิงกันสักพัก ก่อนเด็กชายจะควักถุงบางอย่างออกมา เขวี้ยงลงบนพื้นบังเกิดเป็นฝุ่นควันบดบังทัศนวิสัย

     

        ผู้คุมกันตอบสนองฉับไวส่งหมัด สร้างคลื่นลมปัดเป่าหมอกควันจนแตกกระจาย ทำให้ทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติดั้งเดิม แต่ร่างเล็กนั้นกลับพุ่งไปยังทางหนึ่งด้วยความรวดเร็ว

    แทบจะกลืนหายเข้าไปภายในฝูงชนเสียแล้ว ในขณะที่ผู้คุ้มกันคิดว่าไม่อาจตามจับอีกฝ่ายได้ทันนั้นเอง ร่างในชุดคลุมเทาพุ่งออกมาจากหอการค้า

     

       ก้าวเท้าลงพื้นเพียงไม่กี่ครั้งก็ตามร่างเล็กนั้นทัน ร่างนั้นสกัดขาของเด็กชายจนอีกฝ่ายล้มหน้าทิ่มดิน แต่ก่อนใบหน้าจะลงไปคุยกับพื้น

    ร่างในชุดคลุมเทาสวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะสะพายกระบี่ ก็คว้าคอเสื้อดึงไม่ให้เด็กชายล้มลงไป น่าแปลกใจที่เด็กชายไม่มีทางทางขัดขนใดๆ เพียงอยู่นิ่งๆปล่อยให้หลินมู่

     

       ลากอีกฝ่ายกลับไปยังหน้าหอการค้า ด้วยใบหน้าอันว่างเปล่า “เคารพท่านแขกผู้ทรงเกียรติ” หนึ่งในผู้คุ้มกันป้องมือโค้งตัว ทักทายชายหนุ่มอย่างสุภาพ 

    อีกฝ่ายที่ได้รับการทักทายก็ป้องมือกลับเป็นมารยาท “หามิได้ ข้าเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาทั่วไปก็เท่านั้น ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย” เด็กชายที่ถูกปล่อยให้นั่งบนพื้น

     

       ก็ไม่แสดงท่าทีจะหลบหนีใดๆ เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจหนีพ้น อีกฝ่ายสามารถไล่ตามตนได้อย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยวพริบตา เขาก็ถูกจับได้โดยไม่มีโอกาสให้ขัดขืน

    จึงได้เพียงนั่งนิ่งด้วยใบหน้าอันว่างเปล่า ผู้คุ้มกันอีกคนเดินมาพร้อมเจ้าลาซุยโก๋ เขาป้องหมัดให้หลินมู่พร้อมพูดขึ้น “หามิได้ ทางหอการค้าแจ้งมาว่า ท่านแขกผู้ทรงเกียรติเป็นคนรู้จักเป็นการส่วนตัวของ ท่านนักประเมินอาวุโสกงฉิว ทางหอการค้าของเราจึงไม่อาจปฎิบัติตัวแย่ๆกับท่านได้”

     

       หลินมู่ที่ได้ยินก็จิตใจว่างเปล่าไปชั่วขณะ ‘ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนธรรมดา? ธรรมดาของท่านคือเป็นถึงผู้อาวุโสของหอการค้าเนี่ยนะ?’ ในขณะที่ชายหนุ่มบ่นพึมพำในใจกับตนเอง

    ในเมืองภาคกลางนักประเมินชรา ที่กำลังเช็ดถูของสะสมของตนก็จามขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ฝุ่นมันเยอะหรือข้าเป็นหวัดกันนะ? หรือมีคนกำลังนินทาข้ากัน?”

     

       อีกฝ่ายเกาศีรษะด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกหันไปเช็ดถูของสะสมของตนต่อ กลับมาทางหอการค้าต่วนเจิ่น หลินมู่ที่ได้รับรู้สถานะของนักประเมินเฒ่านามกงฉิว

    ก็ตอบกลับอย่างสุภาพ “พวกท่านไม่ต้องสุภาพกับข้ามากก็ได้ เพียงพูดคุยปกติก็พอแล้ว” ผู้คุ้มกันที่ได้ยินก็แสดงสีชื่นชมหลินมู่ เป็นถึงคนรู้จักของบุคคลระดับสูง

     

       แต่กลับไม่ถือตัวแม้แต่ผู้คุ้มกันยังพูดอย่างสุภาพ ควรยกย่องยิ่งนัก เจ้าลาซุยโก๋เดินเข้าหาชายหนุ่มพร้อมใช้หัวของมันดันตัวอีกฝ่าย 

    “ข้าขอโทษละกันที่ไปนานเกินไป” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมลูบแผงคอของเจ้าลาซุยโก๋ มันส่งเสียงร้องเล็กน้อยก่อนจะเดินมาหาเด็กชายและก้มหน้า ลงไปคาบถุงในมือของเด็กชาย

     

       คราแรกเด็กชายเกิดอาการต่อต้านไม่อยากปล่อยถุงเงิน แต่พอคิดอย่างรอบคอบสุดท้ายเขาก็ปล่อยถุงไป แรกเริ่มเดิมทีนี้ก็ไม่ใช่ของเขาอยู่แล้ว

    แถมยังโดนจับได้คาหนังคาเขา อย่างน้อยหากถูกลงโทษเขาก็อยากจะเหลือพื้นที่ไว้เจรจาบ้าง หลินมู่สังเกตการกระทำของเด็กชายอยู่เงียบๆ

     

       แม้จะเป็นการกระทำแสนธรรมดา แต่การที่สามารถตัดใจปล่อยของที่คว้ามาได้ ไปอย่างง่ายดายไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ การตัดสินใจหนึ่งครั้ง

    ประกอบด้วย เหตุผล อารมณ์ และ สถานการณ์ โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กอายุเท่านี้ จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ สถานการณ์ และ เหตุผล เป็นรอง 

     

        แต่เด็กชายคนนี้กลับตัดสินใจอย่างรอบคอบ เหลือทางหนีทีไล่ไว้กับตนเอง ทำผิดแล้วยอมรับผิดหวังให้ หลินมู่มองเด็กชายในอีกมุมมอง และ ให้โอกาสเจรจามากกว่าดื้อดึงไม่ปล่อยถุงไป

    เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ใช้ เหตุผล และ สถานการณ์ เป็นจุดตัดสินใจ โดย ใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุด เป็นการตัดสินใจที่เด็กรุ่นราวเท่านี้ไม่อาจพบเห็นได้ แม้แต่ตัวหลินมู่เมื่ออายุได้เพียงเก้าถึงสิบปี

     

       ยังไม่มีกระบวนการคิดตัดสินใจได้ดีเท่าอีกฝ่าย ในขณะที่เจ้าลาซุยโก๋ได้ถุงเงินกลับมาแล้ว หนึ่งในผู้คุ้มกันก็ถามขึ้น “ท่านจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้?” 

    หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้น้ำเสียงจะปกติแต่อีกฝ่ายกลับแฝงไปด้วยความกังวล แม้จะไม่รู้ต้นตอของความกังวลที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง 

     

       แต่นั้นก็ไม่หยุดให้หลินมู่พูดออกมา ในจังหวะที่เขาจะพูดการตัดสินใจให้กับเด็กชายคนนี้ น้ำเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมมีร่างเล็กวิ่งออกมาจากฝูงชน

    “ท่านพี่!!!” นางวิ่งน้ำหูน้ำตาไหลเข้าไปโอบกอดพี่ชายเพียงคนเดียวของนาง แม้นางจะหวาดกลัวแต่ก็ไม่อาจหยุดให้นางพุ่งเข้ามา เพื่อปกป้องพี่ชายของนางได้

     

       “หนิงหนิง…” เด็กชายปลอบประโลมเด็กสาวด้วยแววตาขอโทษขอโพย เด็กสาวเช็ดน้ำตาพร้อมสะอื้นไห้เธอหันหน้ามามองหลินมู่ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น

    “ท่านปรมาจารย์ได้โปรด ได้โปรดยกโทษให้ท่านพี่ของหนิงหนิงด้วย เป็นเพราะหนิงหนิงท่านพี่จึงต้องเป็นขโมย หากไม่อาจยกโทษ แทนที่จะลงโทษท่านพี่ให้ลงโทษหนิงหนิงเถอะ เพราะหนิงหนิงเป็นคนที่ทำให้ท่านพี่ต้องทำอย่างงี้…”

     

       นางขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร ดึงความเห็นใจของผู้คนรอบข้างได้อย่างดี ผู้คุ้มกันเองก็ใบหน้าเปลี่ยนสี นี้แหละสิ่งที่พวกเขากังวล

    ไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นนักต้มตุ๋น ทั้งสองเป็นเพียงเด็กธรรมดาที่ได้รับผลกระทบ ของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดอย่างต่อเนื่องที่ตะวันตก จนสูญเสียพ่อแม่ไปและตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสียง

     

       ผู้เป็นพี่ชายที่แม้จะหาเงินได้บางส่วน แต่ก็ไม่พอใช้ประทังชีวิตจึงไร้ทางเลือก เพราะเขาไม่อาจทิ้งน้องสาวผู้เป็นญาติคนเดียวไปได้ งานที่ให้เงินดีเขาก็ไม่อาจทำได้เพราะเขามันอ่อนแอ ไม่มีแม้แต่ตบะฝึกฝนงานที่ทำอยู่ ก็พอจะซื้อหมั่นโถวเก่าๆค้างคืนสักลูก จนท้ายสุดจึงได้ผันตัวเป็นขโมยลักเล็กขโมยน้อย

    แม้จะรู้ว่ามันผิด แม้จะรู้มันไม่น่าให้อภัย แต่ให้ทำอย่างไรได้ โลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอออกเสียง เขาไม่อาจออกไปร้องเรียกบุคคลเหล่านั้นที่ไม่รับเขาทำงานได้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ในสายตาของผู้แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอต่างทำผิดมหันต์ทั้งหมด

     

       เด็กชายลุกขึ้นยืนดึงเด็กสาวเอาไว้ในอ้อมกอด ใช้สายตามุ่งมั่นมองไปทางหลินมู่ บ่งบอกว่าท่านไม่ต้องฟังนาง หากจะลงโทษก็ลงโทษข้า นางไม่เกี่ยวข้อง ข้าคือคนกระทำผิด ภายใต้เสียงร้องสะอึกสะอื้นของเด็กสาว

    ผู้คนที่มองสถานการณ์นี้อยู่ ต่างชุบชิบอย่างเมามันส์มองการแสดงนี้ โดยตาไม่พริบคาดเดาการตัดสินใจของชายหนุ่มสะพายกระบี่

     

        เจ้าซุยโก๋เดินมาอยู่ข้างชายหนุ่ม มันมองภาพนี้ด้วยสีหน้าค่อนข้างฉงนงุนงง ขณะเดียวกันใบหน้าใต้หมวกไม้ไผ่

    กำลังขมวดคิ้วเป็นปม หากเป็นตนก่อนจะข้ามโลกมา เขาจะยกโทษให้แน่นอนแถมยังมอบเงินให้บางส่วน แต่หลังจากข้ามมา และ ได้เผชิญสถานการณ์มากมาย การตัดสินใจเดิมๆของเขาก็เปลี่ยนไป

     

        เขาหันไปสังเกตถุงที่เจ้าซุยโก๋คาบเอาไว้อยู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ ไม่ใช่ว่ามันถูกมัดไว้กับเชือกวิเศษหรอกหรือ?

    เขาหยิบถุงมาสำรวจภายใต้สายตาของฝูงชนมากมาย ภายในใจเต็มไปด้วยคำถาม ว่าเด็กชายคนนี้หยิบถุงออกจากเชือกวิเศษ ที่ต้องใช้ปราณฟ้าดินเพื่อคล้ายปมออกได้อย่างไร

     

       บนตัวของอีกฝ่ายก็ไม่มีร่องรอยของปราณฟ้าดินเลย ในขณะที่เต็มไปด้วยคำถามในจุดที่ไม่มีใครมองเห็น บางอย่างในสภาพกึ่งล่องหน

    ก็ขยับเข้ามาคล้ายเป็นการเคลื่อนตัวของสัตว์เลื้อยคลาน มันเลื้อยขึ้นมาก่อนจะสะกิดไหล่ชายหนุ่ม หลินมู่ที่ถูกสะกิดไหล่ก็หันมามอง แม้ด้วยมุมมองพิเศษเขาไม่จำเป็นต้องหันหน้ามา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหันหน้ามามอง เป็นเพราะเชือกวิเศษที่อยู่ในสภาพกึ่งล่องหน ที่กำล้งยกหัวชูคอราวกับเป็นอสรพิษต่างหาก

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×