คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คอนที่ 8 แผลในใจของไป๋หยุนเฉิน
ร่างของหลินมู่ขยับตามรูปแบบของเคล็ดวิชาฝึกฝนตระกูลไป๋ เขาทำอย่างเป็นขั้นตอนและมั่นคง
พลังปราณสายหนึ่งจากฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่ม ความรู้สึกโปร่งโล่งเย็นสบายก็ตามมา
ไม่นานนักมันก็กลายเป็นความรู้สึกติดขัด ราวกับท่อที่ตีบตันไม่อาจทำให้ปราณไหลเวียนได้สะดวก
แม้จะกลั่นเป็นลมปราณยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ปราณสลายออกจากร่างกายอย่างสูญเปล่า
หลินมู่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะลองอีกครั้ง ยิ่งนานเขายิ่งชำนาญแม้จะเป็นเพียงท่าทางพื้นฐาน
หากมองในมุมมองคนนอกเขาถึงขอบเขตของความสมบูรณ์แบบพื้นฐานแล้ว
เช่นเดิมจากคราแรกพลังปราณฟ้าดินหลายสายหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย เริ่มหมุนเวียนไปตามเส้นเลือด
ก่อนจะหยุดชะงักไม่อาจไปต่อก่อนจะสลายไปอย่างไร้ประโยชน์ “อีกแล้ว…” หลินมู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์
มันเป็นเช่นนี้ตลอดแม้เขาจะฝึกหนักขนาดไหน ก็ไม่อาจเดินปราณได้ราบรื่น ไม่ต้องพูดถึงการกลั่นปราณเป็นลมปราณเลย
แม้แต่ขั้นตอนแรกเขายังไม่อาจผ่านไปได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เขาฝึกฝนอย่างไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนแรกเขาคาดว่าปัญหาอยู่ที่เคล็ดวิชาหรือยาสมุนไพร แต่ตอนนี้ปัญหามันน่าจะอยู่ที่ตัวเขาเอง
“คิดสิ คิดสิ ปัญหามันอยู่ตรงไหน….” หลินมู่เดินวนไปมาใช้หัวสมองคิดอย่างหนัก เขาเริ่มทบทวนความจำของตนเอง
ก่อนจะหยุดนิ่งด้วยสีหน้าซีดเซียว “หรือเพราะเรื่องนั้น….” เขามองเส้นเลือดจางๆใต้ผิวหนังบริเวณแขนของตนด้วยดวงตาสั่นเทา
“สะ…..สะ..เส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด….” หลินมู่ยิ้มอย่างเย้ยหยันให้ตนเอง
หากในแง่วิทยาศาสตร์นี้คือสถานการณ์ ที่แปลกแต่ไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก อย่างมากก็ทำให้เขาอ่อนแอกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย
แต่หากในนิยามของโลกแห่งนี้หล่ะ ‘ร่างกายพิการยุทธ์แต่กำเนิด’ หรือก็คือหลินมู่คือคนพิการในเส้นทางผู้ฝึกวรยุทธ์แต่เกิด
ร่างของชายหนุ่มทรุดลงพื้น ทำไมเขาถึงไม่เคยเอะใจกัน ว่าร่างกายผิดปกติแต่เกิดของตนเองคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด
ในโลกเดิมมันก็แค่ปัญหาเรื้อรังที่น่ารำคาญ แต่สำหรับโลกใบนี้มันคือคำสาปถึงตาย
เขาไม่อาจฝึกฝนได้ อีกนัยหนึ่งการฝึกฝนที่คนปกติฝึกฝนกัน เชาไม่สามารถทำได้
มันต้องมีสักทาง!! หลินมู่ขบคิดกับตนเองอย่างหนัก สุดท้ายก็พบกับความว่างเปล่า
“ฮะ…ฮะ..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!” เขาหัวเราะเย้ยหยันตนเอง มันจะไปมีทางแก้หายได้อย่างไร
แม้แต่โลกที่แล้วยังไม่มี ต่อให้โลกนี้มีก็ต้องเป็นเซียนแพทย์ลงมือช่วยเหลือตน นั้นก็แค่ฝันล้มๆแล้งๆ
เขาไม่ใช่ตัวเอกโชคสะท้านฟ้าพวกนั้นซะหน่อย เขาคือหลินมู่ชายหนุ่มจากโลกที่หลุดมาในโลกนี้อย่างงุนงง
แม้แต่จะเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นยังทำไม่ได้ แล้วอย่างอื่นเขาจะทำได้อย่างไรหล่ะ….
ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลยไป๋หยุนเฉินคงสงสัยในตัวของตนอยู่แน่ นั้นคือเผือกร้อนชิ้นโตที่สลัดทิ้งไม่ได้
เขาควรจะทำยังไงความรู้ของตนไม่สามารถช่วยอะไรในสถานการณ์นี้ได้ เรียกได้แค่ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
“ไม่….เราต้องใจเย็นเข้าไว้ ยิ่งสติแตกสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง คิดสิคิด…” หลินมู่ดึงสติกลับมาก่อนจะนั่งขบคิดกับตนเอง
คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปอย่างนึง ที่หลินมู่ไม่ชอบเอาซะเลย เขาขบริมฝีปากแน่น “คงต้องวัดดวงแล้วหล่ะ…”
ชายหนุ่มพึมพำมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่เวลาเริ่มเข้าสู่ยามราตรี
ห้องบนยอดสุดของหอคอยสัมผัสเมฆา ไป๋หยุนเฉินที่นั่งจิบชาชมภาพของหุบเขาเมฆาในยามรัตติกาลก็พูดขึ้น
“เข้ามาสิ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่หน้าประตู…” สินเสียงของไป๋หยุนเฉิน ประตูห้องชมวิวก็เปิดออก ร่างของหลินมู่ในชุดคลุมสีฟ้าเดินเข้ามา ก่อนจะปิดประตูลงแล้วจึงไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังไป๋หยุนเฉินหลายสิบฉื่อ
“เจ้ามาหาข้าคงมีเรื่องอะไรจะพูดสินะ….” ไป๋หยุนเฉินยังคงไม่หันหลังมามองชายหนุ่ม ทำเพียงมองภาพหุบเขาเมฆาในยามราตรี
หลินมู่ทำใจสักพักก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ศิษย์มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ..” แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มองไปยังแผ่นหลังของชายชราในชุดคลุมเมฆสีคราม
“ไหนลองว่ามา” ปฎิกริยาของไป๋หยุนเฉินยังคงนิ่งสงบเช่นเดิม “ศิษย์จะแจ้งว่า ศิษย์มีร่างกายพิการยุทธ์แต่กำเนิด…”
ภายในห้องชมวิวเงียบสงัดลงไปในทันที ร่างของไป๋หยุนเฉินสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขายังไม่พูดสิ่งใดรอให้หลินมู่พูดจบ
“ศิษย์จึงมาสำนึกผิด และขอให้ท่านอาจารย์อภัยให้ศิษย์ด้วย…” พูดจบหลินมู่ก็ถอดชุดคลุมไหมเมฆาออก บนร่างกายจึงเหลือเพียงชุดชั้นสองสีขาวตัวบาง
เขาพับชุดคลุมไหมเมฆาไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะส่งคืนให้ไป๋หยุนเฉิน “ศิษย์อกตัญญูคนนี้เสียใจ ที่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องเสียชุดคลุมไหมเมฆาไปหนึ่งตัว….”
หลินมู่ไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงนั่งนิ่ง ปล่อยให้โชคชะตาเป็นคนตัดสิน ว่าจุดนี้เขาจะตายหรือรอด หากรอดเขาก็มีโอกาสหาทางกลับไปฝั่งนั้นเสมอ ไป๋หยุนเฉินที่นั่งหันหลังให้ชายหนุ่ม
ก็หลับตาขบคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอธิบายไม่ถูก “เมื่อจบการเก็บประสบการณ์ที่หุบเขาสำเร็จมาร ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากหุบเขาเมฆา และเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก”
พูดจบไป๋หยุนเฉินก็ไล่หลินมู่กลับไป ร่างอันแก่ชราของไป๋หยุนเฉินคล้ายจะแก่ลงอีกเล็กน้อย
เขาโบกมือนำชุดคลุมเมฆาที่พับไว้มาอยู่ในมือ “เหมือนมาก เจ้ากับเขาไม่ต่างกันเลย เสี่ยวมู่ เหตุใดจึงทำกับข้าผู้เป็นบิดาเช่นนี้…. แม้เจ้าจะทำให้ชุดคลุมไหมเมฆาทั้งหมดกลายเป็นเถ้า ข้าก็ไม่คิดจะโกรธเคืองเจ้าเลย..”
ชายชราคล้ายจะหลั่งน้ำตา “ไม่เพียงแค่ชื่อมู่เช่นเดียวกัน พวกเจ้ายังพิการยุทธ์แต่กำเนิดเหมือนกัน….” ชายชราพึมพำ
นึกถึงความทรงจำในวันวาน ความทรงจำของบุตรชายคนแรกก่อนไป๋หลานหลง แม้บุตรคนนั้นจะไร้พรสวรรค์แต่เขาก็รักอีกฝ่ายมาก เพราะนั่นคือลูกของเขากับนางคนนั้นที่จากเขาไป
แต่เพราะกฎของตระกูลที่ทำให้เขาไม่อาจเก็บบุตรชายไว้ใกล้ตัว สุดท้ายเขาต้องจำใจส่งเขาไปอยู่เมืองอันห่างไกล
แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเมืองการค้าก็ถูกพรรคมารโจมตี คนตายเกือบทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่บุตรชายของเขา
รู้สึกตัวอีกทีเขาก็กอดร่างอันเย็นเยียบของบุตรชาย ที่ในมือยังกำดาบที่หักไว้แน่นแม้จะไร้กำลังแต่เขาก็สู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นหลินมู่ ก็รู้สึกคล้ายมากพอได้ยินชื่ออีกฝ่าย ราวกับสายฟ้าฟาดราวกับเขาได้รับโอกาสที่สอง
แม้แต่ชุดคลุมไหมเมฆาของไป๋มู่เขาก็มอบให้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายก็จะพิการยุทธ์แต่กำเนิดเช่นกัน
ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยงั้นหรือ…. ไป๋หยุนเฉินมองร่างในชุดขาวตัวบางเดินกลับไปหอพัก ทำให้ชายชราปวดใจยิ่ง
“ไม่เป็นไรครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอย ข้าจะส่งเขาไปเมืองใกล้ๆ สักวันเมื่อข้าเปลี่ยนกฎไร้สาระนั้นได้เมื่อไหร่ ข้าจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม…”
ยิ่งพูดไป๋หยุนเฉินก็ยิ่งถอดถอนใจ กับไป๋หลานหลงบุตรชายอีกคนของเขา
แม้ไป๋หลานหลงจะมีพรสวรรค์ แต่นิสัยกลับสวนทางกับพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม หากได้สักส่วนจากไป๋มู่หรือหลินมู่ เขาจะดีแค่ไหนกัน
ไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมของอีกฝ่ายเพียงหนึ่งวันก็มีเรื่องที่อีกฝ่ายก่อไว้จำนวนมาก ทำให้ชายชรารู้สึกปวดหัวอย่างมาก
“ท่านกังวลอะไรอยู่หรือ?” เสียงสตรีดังขึ้นอย่างฉับพลัน นางก้าวขายาวเดินออกมาจากเงามืด ร่างกายร้อนแรงราวกับแอปเปิ้ลอาบยาพิษ รอยยิ้มมีเสน่ห์ดวงตาสีแดงเรียวงาม ผมสีดำราวกับหมึก
แม้นางจะงดงามแต่ไป๋หยุนเฉินก็ไม่อยากมองนานนัก ราวกับมองงูพิษที่เจ้าเล่ห์เจ้าแผนการทำได้ทุกอย่างเพื่อความรุ่งเรืองเพื่อบุตรชายของนาง
“เจ้าไม่ได้อยู่กับมังกรน้อยของเจ้ารึไง?” ไป๋หยุนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ได้รักสตรีนางนี้แม้แต่น้อย เป็นเพราะพวกอาวุโสใหญ่ยืนกรานว่าเขาต้องมีบุตรสืบทอด
หากเลือกได้อีกครั้งเขาก็จะไม่เลือกใครเลย “ท่านอารมณ์เสียน่าดูเลยนิ เสียใจรึที่เด็กหนุ่มคล้ายลูกของผู้หญิงสามัญคนนั้นพิการยุทธ์แต่กำเนิด?” เพล้ง!!!
ไป๋หยุนเฉินบีบถ้วยชาในมือแตกละเอียด พร้อมปลดปล่อยพลังปราณของจักรพรรดิยุทธ์ออกมา
“หุบปาก!! จะไปไหนก็ไปข้าไม่อยากได้ยินเสียงหรือเห็นหน้าของเจ้า!!” ข้าวของในห้องแตกกระจาย ห้องชมวิวตกอยู่ในความวุ่นวายด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้งของไป๋หยุนเฉิน
มารดาของไป๋หลานหลงไม่อยู่นานนัก นางรีบปลีกตัวหนีออกไปทันทีเมื่อออกมาได้ระยะนึงนางก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา
“หึ่ม! ขู่ข้างั้นหรอไป๋หยุนเฉินเจ้าก็แค่ตาแก่อายุสองร้อยกว่าปี คิดหรอว่าข้าเห็นแก่หนังหน้าเจ้ามากนัก!! จริงสิให้หลงน้อยจัดการดีกว่า ฮึฮึ”
นางคิดแผนชั่วอย่างรวดเร็ว นางคิดจะให้บุตรชายของนางสังหารหลินมู่ตอนไปยังหุบเขาสำเร็จมารเสีย!
“ดูสิตาแก่นั้นจะแสดงสีหน้าอย่างไร ฮุฮุฮุ” นางบิดกายอ้อนแอ้นเดินหายไปในเงามืด พร้อมกับแผนร้ายของนาง
ไป๋หยุนเฉินที่นั่งเงียบในห้องชมวิว เขามองชุดคลุมเมฆาด้วยความขบคิด เขาหวนนึกไปถึงการสนทนาของเขากับไป๋เทียเมื่อบ่ายวันนี้
“ไป๋เทีย เจ้าคิดว่า หลินมู่ เป็นเช่นไร?” ไป๋หยุนเฉินที่ตั่งคำถามกับไป๋เทียในห้องชมวิวเมื่อตอนบ่ายพูดขึ้น ไป๋เทียแสดงหน้าขบคิดก่อนจะตอบกลับ
“ข้าคิดว่าเขาเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง โดยเฉพาะความรู้และความฉลาดของเขา ข้าว่าหลินมู่อาจจะเหมาะเป็นพ่อค้ามากกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์เสียอีก….”
ไป๋หยุนเฉินยกยิ้ม “ก็ไม่แย่ ข้าจะให้เงินเจ้าติดตัวเพื่อตั้งธุรกิจ” ชายชราอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาเก็บชุดคลุมเมฆาก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามราตรี
ทางฝั่งหลินมู่ที่กลับมายังห้องของตน ก็เอนตัวนอนบนเตียงขบคิดอย่างจริงจัง ‘นี่หมายความว่าเขารอดแล้วใช่ไหม?’
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตนเอง ไป๋หยุนเฉินปล่อยเขาง่ายเกินไปหรือไม่ หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่
คิดไปคิดมาสุดท้ายเขาก็ผลอยหลับไป โดยหารู้ไม่ว่ามีคนที่ตนคิดว่ากำลังจ้องเล่นงานตน คือคนที่พยายามช่วยเหลือตน และ คนที่ตนไม่เคยแม้แต่จะพบหน้ากำลังจะวางแผนสังหารตน
ความคิดเห็น