ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #8 : คอนที่ 8 แผลในใจของไป๋หยุนเฉิน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 65


       ร่างของหลินมู่ขยับตามรูปแบบของเคล็ดวิชาฝึกฝนตระกูลไป๋ เขาทำอย่างเป็นขั้นตอนและมั่นคง

    พลังปราณสายหนึ่งจากฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่ม ความรู้สึกโปร่งโล่งเย็นสบายก็ตามมา

     

       ไม่นานนักมันก็กลายเป็นความรู้สึกติดขัด ราวกับท่อที่ตีบตันไม่อาจทำให้ปราณไหลเวียนได้สะดวก

    แม้จะกลั่นเป็นลมปราณยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ปราณสลายออกจากร่างกายอย่างสูญเปล่า

     

       หลินมู่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะลองอีกครั้ง ยิ่งนานเขายิ่งชำนาญแม้จะเป็นเพียงท่าทางพื้นฐาน

    หากมองในมุมมองคนนอกเขาถึงขอบเขตของความสมบูรณ์แบบพื้นฐานแล้ว

     

       เช่นเดิมจากคราแรกพลังปราณฟ้าดินหลายสายหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย เริ่มหมุนเวียนไปตามเส้นเลือด

    ก่อนจะหยุดชะงักไม่อาจไปต่อก่อนจะสลายไปอย่างไร้ประโยชน์ “อีกแล้ว…” หลินมู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์

     

       มันเป็นเช่นนี้ตลอดแม้เขาจะฝึกหนักขนาดไหน ก็ไม่อาจเดินปราณได้ราบรื่น ไม่ต้องพูดถึงการกลั่นปราณเป็นลมปราณเลย

    แม้แต่ขั้นตอนแรกเขายังไม่อาจผ่านไปได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เขาฝึกฝนอย่างไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

       ตอนแรกเขาคาดว่าปัญหาอยู่ที่เคล็ดวิชาหรือยาสมุนไพร แต่ตอนนี้ปัญหามันน่าจะอยู่ที่ตัวเขาเอง

    “คิดสิ คิดสิ ปัญหามันอยู่ตรงไหน….” หลินมู่เดินวนไปมาใช้หัวสมองคิดอย่างหนัก เขาเริ่มทบทวนความจำของตนเอง

     

       ก่อนจะหยุดนิ่งด้วยสีหน้าซีดเซียว “หรือเพราะเรื่องนั้น….” เขามองเส้นเลือดจางๆใต้ผิวหนังบริเวณแขนของตนด้วยดวงตาสั่นเทา

    “สะ…..สะ..เส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด….” หลินมู่ยิ้มอย่างเย้ยหยันให้ตนเอง

     

       หากในแง่วิทยาศาสตร์นี้คือสถานการณ์ ที่แปลกแต่ไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก อย่างมากก็ทำให้เขาอ่อนแอกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย

    แต่หากในนิยามของโลกแห่งนี้หล่ะ ‘ร่างกายพิการยุทธ์แต่กำเนิด’ หรือก็คือหลินมู่คือคนพิการในเส้นทางผู้ฝึกวรยุทธ์แต่เกิด

     

       ร่างของชายหนุ่มทรุดลงพื้น ทำไมเขาถึงไม่เคยเอะใจกัน ว่าร่างกายผิดปกติแต่เกิดของตนเองคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด

    ในโลกเดิมมันก็แค่ปัญหาเรื้อรังที่น่ารำคาญ แต่สำหรับโลกใบนี้มันคือคำสาปถึงตาย 

     

       เขาไม่อาจฝึกฝนได้ อีกนัยหนึ่งการฝึกฝนที่คนปกติฝึกฝนกัน เชาไม่สามารถทำได้

    มันต้องมีสักทาง!! หลินมู่ขบคิดกับตนเองอย่างหนัก สุดท้ายก็พบกับความว่างเปล่า

     

       “ฮะ…ฮะ..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!” เขาหัวเราะเย้ยหยันตนเอง มันจะไปมีทางแก้หายได้อย่างไร

    แม้แต่โลกที่แล้วยังไม่มี ต่อให้โลกนี้มีก็ต้องเป็นเซียนแพทย์ลงมือช่วยเหลือตน นั้นก็แค่ฝันล้มๆแล้งๆ

     

       เขาไม่ใช่ตัวเอกโชคสะท้านฟ้าพวกนั้นซะหน่อย เขาคือหลินมู่ชายหนุ่มจากโลกที่หลุดมาในโลกนี้อย่างงุนงง

    แม้แต่จะเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นยังทำไม่ได้ แล้วอย่างอื่นเขาจะทำได้อย่างไรหล่ะ….

     

       ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลยไป๋หยุนเฉินคงสงสัยในตัวของตนอยู่แน่ นั้นคือเผือกร้อนชิ้นโตที่สลัดทิ้งไม่ได้

    เขาควรจะทำยังไงความรู้ของตนไม่สามารถช่วยอะไรในสถานการณ์นี้ได้ เรียกได้แค่ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

     

       “ไม่….เราต้องใจเย็นเข้าไว้ ยิ่งสติแตกสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง คิดสิคิด…” หลินมู่ดึงสติกลับมาก่อนจะนั่งขบคิดกับตนเอง

    คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปอย่างนึง ที่หลินมู่ไม่ชอบเอาซะเลย เขาขบริมฝีปากแน่น “คงต้องวัดดวงแล้วหล่ะ…”

     

       ชายหนุ่มพึมพำมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่เวลาเริ่มเข้าสู่ยามราตรี

    ห้องบนยอดสุดของหอคอยสัมผัสเมฆา ไป๋หยุนเฉินที่นั่งจิบชาชมภาพของหุบเขาเมฆาในยามรัตติกาลก็พูดขึ้น

     

       “เข้ามาสิ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่หน้าประตู…” สินเสียงของไป๋หยุนเฉิน ประตูห้องชมวิวก็เปิดออก ร่างของหลินมู่ในชุดคลุมสีฟ้าเดินเข้ามา ก่อนจะปิดประตูลงแล้วจึงไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังไป๋หยุนเฉินหลายสิบฉื่อ

    “เจ้ามาหาข้าคงมีเรื่องอะไรจะพูดสินะ….” ไป๋หยุนเฉินยังคงไม่หันหลังมามองชายหนุ่ม ทำเพียงมองภาพหุบเขาเมฆาในยามราตรี

     

       หลินมู่ทำใจสักพักก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ศิษย์มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ..” แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มองไปยังแผ่นหลังของชายชราในชุดคลุมเมฆสีคราม

    “ไหนลองว่ามา” ปฎิกริยาของไป๋หยุนเฉินยังคงนิ่งสงบเช่นเดิม “ศิษย์จะแจ้งว่า ศิษย์มีร่างกายพิการยุทธ์แต่กำเนิด…”

     

       ภายในห้องชมวิวเงียบสงัดลงไปในทันที ร่างของไป๋หยุนเฉินสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขายังไม่พูดสิ่งใดรอให้หลินมู่พูดจบ

    “ศิษย์จึงมาสำนึกผิด และขอให้ท่านอาจารย์อภัยให้ศิษย์ด้วย…” พูดจบหลินมู่ก็ถอดชุดคลุมไหมเมฆาออก บนร่างกายจึงเหลือเพียงชุดชั้นสองสีขาวตัวบาง

     

       เขาพับชุดคลุมไหมเมฆาไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะส่งคืนให้ไป๋หยุนเฉิน “ศิษย์อกตัญญูคนนี้เสียใจ ที่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องเสียชุดคลุมไหมเมฆาไปหนึ่งตัว….” 

    หลินมู่ไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงนั่งนิ่ง ปล่อยให้โชคชะตาเป็นคนตัดสิน ว่าจุดนี้เขาจะตายหรือรอด หากรอดเขาก็มีโอกาสหาทางกลับไปฝั่งนั้นเสมอ ไป๋หยุนเฉินที่นั่งหันหลังให้ชายหนุ่ม

     

       ก็หลับตาขบคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอธิบายไม่ถูก “เมื่อจบการเก็บประสบการณ์ที่หุบเขาสำเร็จมาร ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากหุบเขาเมฆา และเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก”

    พูดจบไป๋หยุนเฉินก็ไล่หลินมู่กลับไป ร่างอันแก่ชราของไป๋หยุนเฉินคล้ายจะแก่ลงอีกเล็กน้อย

     

       เขาโบกมือนำชุดคลุมเมฆาที่พับไว้มาอยู่ในมือ “เหมือนมาก เจ้ากับเขาไม่ต่างกันเลย เสี่ยวมู่ เหตุใดจึงทำกับข้าผู้เป็นบิดาเช่นนี้…. แม้เจ้าจะทำให้ชุดคลุมไหมเมฆาทั้งหมดกลายเป็นเถ้า ข้าก็ไม่คิดจะโกรธเคืองเจ้าเลย..”

    ชายชราคล้ายจะหลั่งน้ำตา “ไม่เพียงแค่ชื่อมู่เช่นเดียวกัน พวกเจ้ายังพิการยุทธ์แต่กำเนิดเหมือนกัน….” ชายชราพึมพำ

     

       นึกถึงความทรงจำในวันวาน ความทรงจำของบุตรชายคนแรกก่อนไป๋หลานหลง แม้บุตรคนนั้นจะไร้พรสวรรค์แต่เขาก็รักอีกฝ่ายมาก เพราะนั่นคือลูกของเขากับนางคนนั้นที่จากเขาไป

    แต่เพราะกฎของตระกูลที่ทำให้เขาไม่อาจเก็บบุตรชายไว้ใกล้ตัว สุดท้ายเขาต้องจำใจส่งเขาไปอยู่เมืองอันห่างไกล

     

       แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเมืองการค้าก็ถูกพรรคมารโจมตี คนตายเกือบทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่บุตรชายของเขา

    รู้สึกตัวอีกทีเขาก็กอดร่างอันเย็นเยียบของบุตรชาย ที่ในมือยังกำดาบที่หักไว้แน่นแม้จะไร้กำลังแต่เขาก็สู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย

     

       ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นหลินมู่ ก็รู้สึกคล้ายมากพอได้ยินชื่ออีกฝ่าย ราวกับสายฟ้าฟาดราวกับเขาได้รับโอกาสที่สอง

    แม้แต่ชุดคลุมไหมเมฆาของไป๋มู่เขาก็มอบให้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายก็จะพิการยุทธ์แต่กำเนิดเช่นกัน

     

       ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยงั้นหรือ…. ไป๋หยุนเฉินมองร่างในชุดขาวตัวบางเดินกลับไปหอพัก ทำให้ชายชราปวดใจยิ่ง

    “ไม่เป็นไรครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอย ข้าจะส่งเขาไปเมืองใกล้ๆ สักวันเมื่อข้าเปลี่ยนกฎไร้สาระนั้นได้เมื่อไหร่ ข้าจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม…”

     

       ยิ่งพูดไป๋หยุนเฉินก็ยิ่งถอดถอนใจ กับไป๋หลานหลงบุตรชายอีกคนของเขา 

    แม้ไป๋หลานหลงจะมีพรสวรรค์ แต่นิสัยกลับสวนทางกับพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม หากได้สักส่วนจากไป๋มู่หรือหลินมู่ เขาจะดีแค่ไหนกัน

     

       ไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมของอีกฝ่ายเพียงหนึ่งวันก็มีเรื่องที่อีกฝ่ายก่อไว้จำนวนมาก ทำให้ชายชรารู้สึกปวดหัวอย่างมาก

    “ท่านกังวลอะไรอยู่หรือ?” เสียงสตรีดังขึ้นอย่างฉับพลัน นางก้าวขายาวเดินออกมาจากเงามืด ร่างกายร้อนแรงราวกับแอปเปิ้ลอาบยาพิษ รอยยิ้มมีเสน่ห์ดวงตาสีแดงเรียวงาม ผมสีดำราวกับหมึก

     

       แม้นางจะงดงามแต่ไป๋หยุนเฉินก็ไม่อยากมองนานนัก ราวกับมองงูพิษที่เจ้าเล่ห์เจ้าแผนการทำได้ทุกอย่างเพื่อความรุ่งเรืองเพื่อบุตรชายของนาง

    “เจ้าไม่ได้อยู่กับมังกรน้อยของเจ้ารึไง?” ไป๋หยุนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ได้รักสตรีนางนี้แม้แต่น้อย เป็นเพราะพวกอาวุโสใหญ่ยืนกรานว่าเขาต้องมีบุตรสืบทอด

     

       หากเลือกได้อีกครั้งเขาก็จะไม่เลือกใครเลย “ท่านอารมณ์เสียน่าดูเลยนิ เสียใจรึที่เด็กหนุ่มคล้ายลูกของผู้หญิงสามัญคนนั้นพิการยุทธ์แต่กำเนิด?” เพล้ง!!!

    ไป๋หยุนเฉินบีบถ้วยชาในมือแตกละเอียด พร้อมปลดปล่อยพลังปราณของจักรพรรดิยุทธ์ออกมา

     

       “หุบปาก!! จะไปไหนก็ไปข้าไม่อยากได้ยินเสียงหรือเห็นหน้าของเจ้า!!” ข้าวของในห้องแตกกระจาย ห้องชมวิวตกอยู่ในความวุ่นวายด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้งของไป๋หยุนเฉิน

    มารดาของไป๋หลานหลงไม่อยู่นานนัก นางรีบปลีกตัวหนีออกไปทันทีเมื่อออกมาได้ระยะนึงนางก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา

     

       “หึ่ม! ขู่ข้างั้นหรอไป๋หยุนเฉินเจ้าก็แค่ตาแก่อายุสองร้อยกว่าปี คิดหรอว่าข้าเห็นแก่หนังหน้าเจ้ามากนัก!! จริงสิให้หลงน้อยจัดการดีกว่า ฮึฮึ”

    นางคิดแผนชั่วอย่างรวดเร็ว นางคิดจะให้บุตรชายของนางสังหารหลินมู่ตอนไปยังหุบเขาสำเร็จมารเสีย!

     

       “ดูสิตาแก่นั้นจะแสดงสีหน้าอย่างไร ฮุฮุฮุ” นางบิดกายอ้อนแอ้นเดินหายไปในเงามืด พร้อมกับแผนร้ายของนาง

    ไป๋หยุนเฉินที่นั่งเงียบในห้องชมวิว เขามองชุดคลุมเมฆาด้วยความขบคิด เขาหวนนึกไปถึงการสนทนาของเขากับไป๋เทียเมื่อบ่ายวันนี้

     

       “ไป๋เทีย เจ้าคิดว่า หลินมู่ เป็นเช่นไร?” ไป๋หยุนเฉินที่ตั่งคำถามกับไป๋เทียในห้องชมวิวเมื่อตอนบ่ายพูดขึ้น ไป๋เทียแสดงหน้าขบคิดก่อนจะตอบกลับ

    “ข้าคิดว่าเขาเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง โดยเฉพาะความรู้และความฉลาดของเขา ข้าว่าหลินมู่อาจจะเหมาะเป็นพ่อค้ามากกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์เสียอีก….”

     

       ไป๋หยุนเฉินยกยิ้ม “ก็ไม่แย่ ข้าจะให้เงินเจ้าติดตัวเพื่อตั้งธุรกิจ” ชายชราอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาเก็บชุดคลุมเมฆาก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามราตรี

    ทางฝั่งหลินมู่ที่กลับมายังห้องของตน ก็เอนตัวนอนบนเตียงขบคิดอย่างจริงจัง ‘นี่หมายความว่าเขารอดแล้วใช่ไหม?’

     

       ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตนเอง ไป๋หยุนเฉินปล่อยเขาง่ายเกินไปหรือไม่ หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่

    คิดไปคิดมาสุดท้ายเขาก็ผลอยหลับไป โดยหารู้ไม่ว่ามีคนที่ตนคิดว่ากำลังจ้องเล่นงานตน คือคนที่พยายามช่วยเหลือตน และ คนที่ตนไม่เคยแม้แต่จะพบหน้ากำลังจะวางแผนสังหารตน

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×