ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #79 : ตอนที่ 79 มาถึงตะวันตก

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 65


       หนึ่งชายหนุ่มหนึ่งลาเอนกายนอนนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา แม้แต่เสียงหายใจเข้าออกยังแผ่วเบาจนราวกับ มันจะกลืนไปกับธรรมชาติและสิ่งรอบข้าง

    แม้กระทั่งม้าหรือสัตว์พาหนะตัวอื่นๆ ยังนอนหลับพร้อมทั้งส่งเสียงให้เบาที่สุด เสมือนกับพวกมันต้องการให้พื้นที่เล็กๆ กับชายหนุ่ม

     

       เวลาค่อยๆผลันเปลี่ยนจากยามค่ำคืน กลายเป็นยามเช้าตรู่ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสง ขับไล่ความมืด และ ความหนาวเย็นยามค่ำคืน 

    ชายหนุ่มสะพายกระบี่ที่นอนหลับอยู่ภายในคอก ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งแสดงสีหน้า งุนงงกับตนเองเล็กน้อย ราวกับว่าพยามคิดทบทวนบางสิ่ง

     

       “เอาเถอะ….” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนบิดตัวคล้ายกล้ามเนื้อ ที่แทบจะแข็งกลายเป็นก้อนหิน เพราะดันนอนผิดท่าผิดทาง ส่วนเจ้าลาซุยโก๋เจ้าของคอกแห่งนี้ ก็ไปนอนกลิ้งอยู่อีกฝากขาสี่ข้างชี้ฟ้า คล้ายกับลาขึ้นอืด

    หลินมู่เห็นอย่างงั้นก็อดจะยกยิ้มไม่ได้ เขาค่อยๆเดินออกจากคอกไปอย่างเงียบงัน แม้แต่เสียงก้าวเดินบนหญ้าแห้งยังแผ่วเบาเป็นอย่างมาก เพียงหกก้าวชายหนุ่มก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

     

       โดยไม่ปลุกสัตว์ตัวใดๆตื่นขึ้นมา หากเป็นยามปกติสัตว์เหล่านี้แม้จะเกิดเสียงเพียงแผ่วเบา พวกมันก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อสำรวจต้นตอของเสียงเสียงนั้น

    แม้แต่เจ้าซุยโก๋ที่พึ่งเริ่มออกเดินทางไกล ได้ไม่กี่เดือนก็เริ่มพัฒนานิสัยนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะในยุทธจักรนั้นไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง พวกมันจำต้องตื่นตัวไว้ตลอดเวลา

     

       เพื่อเป็นการป้องกันชีวิตของมันเอง และ นายของพวกมันด้วย ส่วนเหตุผลที่การขยับตัวส่งเสียงของหลินมู่ ทำไมถึงไม่เป็นการปลุกสัตว์พวกนี้

    คงตอบได้เพียงแค่ว่าความแตกต่างของการฝึกฝน ในขณะที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ต้องปลดปล่อยลมปราณออกมาจางๆ เป็นการบ่งบอกว่าตนมิได้อ่อนแอ ยังไม่ต้องพูดถึงอีกว่า

     

       ผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างคนในทวีปหลิวซู พัฒนาฐานการฝึกฝนสั่งสมตบะ โดยการกลั่นปราณฟ้าดินเป็นลมปราณ มันก็เหมือนน้ำกับน้ำมัน ทั้งสองไม่อาจรวมกันเป็นหนึ่งได้

    ในขณะที่ทั่วพิภพปกคลุมไปด้วยปราณฟ้าดิน คนที่มีลมปราณอยู่ในร่างกาย ก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำมันที่ลอยบนผิวน้ำ ที่สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด 

     

        โดยทั่วไปแล้วสัตว์ไม่อาจแยกแยะระหว่างลมปราณ และ ปราณฟ้าดินออกจากกันได้ตามธรรมชาติ พวกมันต้องคลุกคลีอยู่กับผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ อยู่แรมปีจึงจะสามารถแยกแยะระหว่างทั้งสองออก

    แต่สำหรับหลินมู่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เขาคือผู้ฝึกตนปราณฟ้าดินย่อมรักไคล้เขามากอยู่แล้ว จึงทำให้ตัวตนของชายหนุ่มไม่ต่างอะไรจาก เหมือนสิ่งของตามธรรมชาติ อย่างต้นไม้ใบหญ้าสำหรับพวกสัตว์ในคอกนี้เลย

     

       หากไม่ลืมตาขึ้นมองพวกมันก็ไม่อาจแยกแยะได้เลยว่า ระหว่างหลินมู่กับสิ่งรอบตัวมีความแตกต่างเช่นไร ชายหนุ่มสะพายกระบี่เดินกลับมายังห้องพักของตน

    เขาเปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมสีขาวธรรมดาๆ ก่อนจะออกไปชายหนุ่มได้เรียกใช้บริการซักผ้า นำชุดทั้งหมดที่เขาเคยสวมนำพวกมันไปซักทำความสะอาด

     

       ส่วนเขาเองก็ไปหาจุดนั่งตกปลาโง่ๆ รอเวลาให้เรือโดยสารพร้อมออกเดินทาง ในอีกวันสองวันที่เหลือชาวเมือง และ พ่อค้าที่มักจะไปบริเวณท่าเรือ

    จะคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มสะพายกระบี่ สวมชุดคลุมขาวสวมเกี๋ยะยืนนิ่งเป็นรูปปั้น โดยภายในมือทั้งสองข้างกุมคันเบ็ดตกปลา ที่มีลวดลายวิจิตรงดงามไว้อันหนึ่ง

     

       แม้ส่วนใหญ่อีกฝ่ายจะตกปลาไม่ได้ก็ตาม ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็มักมายืนนิ่ง เพื่อตกปลาบริเวณใกล้ๆท่าเรือ โดยไม่สูงสิงกับใครอย่างมากแค่หันมาพยักหน้าให้ หากมีใครทักทายเขาแค่นั้น

    จนกลายเป็นเรื่องชินตาสำหรับคนที่ผ่านไปมา ในวันสองวันมานี้…..เมื่อเรือโดยสารที่เดินทางไปยังตะวันตก ตรวจเช็คสภาพและเติมเสบียงเสร็จแล้ว

     

       ก็ถึงเวลาต้องเดินทางอีกครั้ง เมื่อเจ้าลาซุยโก๋ถูกจูงออกมาจากคอก เพียงเห็นเส้นทางที่คุ้นเคยมันก็แสดงสีหน้าบิดเบี้ยว นี่มันต้องทนอยู่ใต้เรืออับๆอีกแล้วหรือ?

    สำหรับหลินมู่เขามายืนบนดาดฟ้าเรือ คล้ายกับกำลังมองริ้วคลื่นในยามเหมันต์ฤดู “น่าเสียดาย อีกไม่นานมันก็ละลายหมดแล้ว”

     

       เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมทั้งแบมือออกไป รับเกล็ดหิมะสีขาวที่ค่อยๆลอยลงมา เมื่อมันสัมผัสกับฝ่ามือที่ปลดปล่อยความร้อนออกมา 

    เพียงเสี้ยวอึดใจเกล็ดหิมะอันเล็กก็ละลาย เหลือไว้เพียงสะเก็ดน้ำเล็กๆไว้บนฝ่ามือ “ออกเรือได้!!!" เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงตะโกน ของกัปตันเรือลำนี้ดังขึ้น

     

        เรือโดยสารลำใหญ่ค่อยๆแล่นออกจากท่าเรือ ด้วยความเชื่องช้าภายใต้เกล็ดหิมะสุดท้าย ที่โปรยปรายลงมาเปลี่ยนผืนดินให้กลายเป็นสีขาวโพลนอันหนาวเหน็บ

    เพียงไม่กี่ชั่วยามหลังจากเรือโดยสารเที่ยวตะวันตกจากไป เรือโดยสารเที่ยวตะวันออกที่พึ่งมาถึงท่าเทียบภาคกลาง ก็มาถึงยังท่าเรือ ร่างอรชรอ้อนแอ้นของสตรีในชุดเขียว กระโดดลงมาก่อนจะพุ่งหายไป

     

       เสมือนนางเป็นภูติผีในป่าพงไพร บริเวณโต๊ะประชาสัมพันธ์ของหอการค้าเซิงยี่ซิงหลง เมื่อแม่นางชุดเขียวที่ห้อยป้ายที่สลักประโยคว่า สงบร่มเย็นใต้ร่มเงาไพศาล พึ่งพาเกื้อกูลปกปักษ์พฤกษาบรรพต

    ได้ยินสิ่งที่พนักงานโต๊ะประชาสัมพันธ์พูด ใบหน้าของนางก็ว่างเปล่าคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง “อีกนิดเดียวแท้ๆ!!” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา

     

       อีกแค่นิดเดียวแท้ๆ หากนางยอมทุ่มเงินให้เรือโดยสารเดินทางเร็วกว่านี้ ป่านนี้คงจะไล่จับอีกฝ่ายได้แล้วแท้ๆ แต่ชะตากลับเล่นตลก

    พอนางมาถึงท่าเรือภาคกลาง อีกฝ่ายก็ขึ้นเรือโดยสารไปแล้วหลายชั่วยาม “เจ้าหอของพวกเจ้าอยู่ไหม?” นางหันหน้าไปถามหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะประชาสัมพันธ์ ด้วยสีหน้าคาดหวังบางอย่าง

     

       แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้หลิวเซียนหลู่ใบหน้าซีดเซียว “ไม่ค่ะ ขอโทษท่านหญิงด้วยเจ้าหอของเรา ออกเดินทางไปยังภูเขาท้าสวรรค์ เมื่อเดือนก่อนหากให้ส่งจดหมายไปตอนนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณ 5 วันค่ะ”

    ความหวังที่จะให้เจ้าหอที่นี่ ส่งหมายสารให้เรือตีวงกลับมาของนางแตกสลายย่อยยับ ก็จริงอยู่ที่นางสามารถบังคับใช้อำนาจของเมืองหลิวบรรพต บีบให้ทางหอการค้าเรียกเรือลำนั้นกลับมาได้

     

       แต่นางอาจจะโดนผู้อาวุโสที่อยู่เมืองหลิวรวมถึง อาจารย์ และ พ่อกับแม่ ต่อว่าอย่างหนักเพราะใช้อำนาจกดขี่คนอื่น แถมยังอาจจะทำให้หอการค้าที่มีสองตระกูล หนุนหลังอยู่ไม่ลงรอยกับเมืองหลิว

    นางจึงได้แต่นั่งเงียบๆรอให้เรือบำรุงรักษาเร็วที่สุดก็เท่านั้น โดยจะใช้เวลาโดยประมาณ 2 วันกว่า จึงจะออกเดินทางได้อีกครั้ง ตัดกลับมาทางเรือโดยสาร

     

        หลินมู่กลับมาภายในห้องอันอบอุ่น กำลังมองซองจดหมายที่ลูกเรือนำมาให้ตนอย่างสนใจ คนเขียนจดหมายนี้คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักประเมินชรา โดยมีจดหมายสองฉบับ

    ฉบับแรกจั่วหัวข้อไว้ชัดเจนว่า อันนี้หลินมู่ต้องเป็นคนเปิดอ่าน เมื่อเปิดออกอ่านเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอีกฉบับลงถุงเฉียนคุน เนื้อหาคร่าวๆที่อยู่ในจดหมาย บอกให้หลินมู่รู้ว่าต้องไปหาใคร และ ใครต้องได้รับจดหมายแนะนำจากนักประเมินชรา

     

        นอกจากนั้นก็เป็นการสาธยายเกี่ยวกับ ของสองอย่างที่นักประเมินชราซื้อมาจากหลินมู่โดยตรง ว่ามันดีงามเช่นไรและพวกมันมอบโชคลาภใดให้นักประเมินชราบ้าง

    หลินมู่อ่านจดหมายจบก็ยกยิ้มเล็กน้อย เขาเก็บจดหมายของนักประเมินชราลงถุงเฉียนคุน พร้อมนำกระดาษข้อมูลที่ยังอ่านไม่จบ ออกมาอ่านฆ่าเวลา

     

         การเดินทางโดยการโดยสารบนเรือ ตรงไปยังตะวันตกผ่านภาคกลาง ไม่ได้เกิดเรื่องใดๆขึ้นอีก หลังจากนั้นอีก เดือนเศษๆเรือก็มาเทียบท่ายัง ท่าเรือมณฑลซวี่อันเป็นท่าเรือแรก และ เป็นการบ่งบอกว่ามาถึงตะวันตกแล้ว

    ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ สวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะค่อยๆเดินลงมาอย่างมั่นคง ก้าวขาหยียบลงบนท่าเรือพร้อมกับแสดงรอยยิ้มออกมา “มาถึงแล้วตะวันตกของทวีป…”

     

        ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยออกมา เพียงรู้สึกตัวเขาก็เดินทางเข้าใกล้เป้าหมายมากว่าที่คิด อีกไม่นานเขาก็จะทำตาม คำขอร้องของศิษย์พี่และคำสั่งเสียงของจูเฉียวเสร็จแล้ว

    หลังจากนั้นเขาก็ต้องไปพบหน้ากับอาจารย์ ยังภูเขาสุดขอบตะวันออก “เพราะข้าไม่อยากให้ ศิษย์พี่ถูกท่านอาจารย์สวดหรอกนะ ข้าจึงเลือกจะเดินสวนทาง มาส่งท่านที่บ้านเกิดแทนที่จะไปพบหน้าอาจารย์ก่อน”

     

       ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบาพร้อมตบไปยัง กระบี่สีดำนามเฮ่ยซานที่แขวนไว้อยู่เอวด้านซ้าย พึมพำเสร็จชายหนุ่มก็เดินไปยังจุดรับของ ที่มีเจ้าลาเทาลายด่างแบกสัมภาระรุงรัง ยืนน้ำตาคลอเบ้ารอให้ชายหนุ่มไปรับตัวมันอยู่…

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×