ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #77 : ตอนที่ 77 ตะวันตกลุกเป็นไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


       เป่ยจี่ที่พึ่งเสร็จงานของตนก็วางพู่กันลงทันที ไม่คิดจะจับมันนานอีกสักนิด นี่เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขา

    ที่ได้จับพู่กันเขียนข่าวคราวมากมายขนาดนี้ มากซะจนเขาต้องเขียนจนมือหงิกมืองอ

     

       หลินมู่มองภาพนี้พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ เขาแกว่งจอกเหล้าในมือสองสามครั้งก่อนจะยกดื่ม “เอาหล่ะในเมื่อสิ่งที่ข้าต้องการก็เสร็จแล้ว เจ้าเปิดราคามา”

    ชายหนุ่มพูดขึ้นมาโดยไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย ทำเอาเป่ยจี่ที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่กับความสุข กลับมาทำหน้ามุ้ย

     

       มองมาทางชายหนุ่มสะพายกระบี่อย่างไม่พอใจ เขาลุกขึ้นมานั่งก่อนจะค่อยๆคำนวณราคา และเก็บของของตนไปด้วย

    “ข้อมูลที่ข้าเขียนให้ท่านมีทั้งหมด 49 แผ่น หากราคาที่ข้าขายปกติแล้ว ก็ตกอยู่แผ่นละ 700 อิแปะ แต่ในเมื่อท่านได้รับการแนะนำมาจากตาเฒ่านั้น ข้าจะลดให้เหลือ 450 อิแปะ ลบกับที่ท่านเลี้ยงข้าวข้าอีก เป็นแผ่นละ 300 อิแปะ โอ้ ข้าต้องบวกเพิ่มความเสียมารยาทของท่านไปอีก 200 อิแปะ รวมแล้วทั้งหมด 500 อิแปะ”

     

       เป่ยจี่ที่เห็นจังหวะเอาคืนหลินมู่ ก็พูดขึ้นมาทันทีไม่รู้เหตุใดเพียงเห็นหน้าอีกฝ่าย เขาก็รู้หมั่นไส้อย่างไม่ทราบสาเหตุ

    จึงใช้โอกาสค้าขายนี้หักลบกลบส่วนลดเลยก็แล้วกัน ชายหนุ่มสะพายกระบี่แกว่งจอกเหล้าในมือ ด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา

     

       เขายกยิ้มกรุ่มกริ่มภายในใจ ชายหนุ่มคำนวณค่าเสียหายของอาหารเหล้าสุราเครื่องเคียง รวมแล้วราวๆ 12 เหรียญเงินสลัก และ เหรียญอิแปะอีกเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเมื่อเป่ยจี่เห็นรอยยิ้มนั้นแล้ว

    รู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ แต่ยังไม่ทันให้ได้ไตร่ตรองใดๆ อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ตกลง นี่ 24 เหรียญเงินสลัก กับ อีก 500 อิแปะ” 

     

       น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมจ่ายเงินอย่างง่ายดาย เมื่อพวงเหรียญอิแปะ 5 พวงถูกวางลง ดวงตาของนักขายข่าวหนุ่มว่าเปล่งประกายแล้ว แต่เมื่อถุงเงินเหรียญสลักที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งเสนาะหูถูกวางลงมา

    เป่ยจี่ก็ไม่อาจละสายตาจากเงินก้อนนี้ได้อีก ทั้งชีวิตไม่เคยขายข่าวหรือข้อมูลได้จำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ถึงจำนวนเงินที่เขาขายข้อมูลที่ผ่านๆมา รวมแล้วจะมากกว่าเงินก้อนนี้ แต่นั้นคือยอดสะสม นี้คือยอดการขายรายรับเดียวช่างอู้ฟู่ยิ่งนัก ความรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายในส่วนลึกลดลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

     

       หลินมู่เอื้อมมือไปหยิบกองกระดาษ มารวมไว้กับกองเล็กก่อนหน้านี้ แล้วจึงลุกขึ้นยืน “ยินดีที่ได้ทำการค้าด้วย”

    ชายหนุ่มจากไปพร้อมกระดาษข้อมูล บนใบหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มมีพิรุธบางอย่าง แค่เป่ยจี่หาได้สนใจไม่ เขากำลังนับเงินด้วยรอยยิ้มมีความสุขเป็นพิเศษ

     

       เมื่อเดินลงมาชั้นแรกหลินมู่ก็ยังไม่จากไปทันที เขาเดินไปหาเถ้าแก่ของโรงเหล้า วางเหรียญเงินสลัก 6 เหรียญไว้บนโต๊ะ ก่อนจะจากไปเขาก็พูดว่า “ที่เหลือให้ไปคิดกับเป่ยจี่”

    เถ้าแก่ที่คล้ายคนหั่นหมู รับเหรียญเงินสลักทั้ง 6 เหรียญมาพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อชายหนุ่มสะพายกระบี่เดินจากไป เถ้าแก่ร้านก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้ไปเก็บเงินจากโต๊ะของเป่ยจี่

     

       ทางฝั่นเป่ยจี่ที่กำลังนั่งนับเงินด้วยรอยยิ้มบาน ภายใต้สายตาอิจฉาของคนรอบข้าง เสี่ยวเอ้อร์ตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง มาหยุดอยู่ข้างโต๊ะของเป่ยจี่ด้วยรอยยิ้มสดใส ราวกับดอกทานตะวัน

    “ท่านเป่ยจี่ ข้ามาเก็บค่าอาหารและค่าเหล้ากับแกล้มที่เหลือ เป็นจำนวน 6 เหรียญเงินสลัก และ ครึ่งพวงอิแปะ” เป่ยจี่ที่ยังมีความสุขกับเงินก้อนโต ถูกดึงกลับมายังความเป็นจริงด้วยเสียงของเสี่ยวเอ้อร์น้อย

     

       ทั้งสองจ้องตากันปริบๆ สื่อสารกันด้วยแววตา ข้าว่าเขาจ่ายให้ข้าแล้วนะ เป่ยจี่ส่งผ่านประโยคนั้นผ่านไปทางสายตา ให้กับเสี่ยวเอ้อร์คนนั้น อีกฝ่ายก็กระพริบตาประมาณว่า

    ใช่พี่ชายมือกระบี่จ่ายแล้ว แต่แค่ครึ่งเดียว ที่เหลือเขาบอกมาเก็บกับท่าน เป่ยจี่แข็งค้างไปไม่เป็น นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น? เสี่ยวเอ้อร์น้อยผู้นั้น เมื่อเห็นว่าเป่ยจี่ไม่ยอมจ่ายเงินสักที

     

       ก็หันหน้าไปทางบันได สูดหายใจลึกๆเตรียมตะโกนออกมา เป่ยจี่ที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบพุ่งไปใช้มือปิดปากอีกฝ่ายทันที “ปีศาจน้อย…เอ้ย! สหายน้อยข้าจะจ่ายข้าจะจ่าย อย่าได้ตะโกนเรียกเถ้าแก่เจ้าเลยนะขอร้อง!”

    เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะจ่ายเงินแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดปากทำตาไร้เดียงสา มองไปทางเป่ยจี่ประมาณว่า เร็วๆสิหากยังไม่ขยับตัว ข้าจะตะโกนแล้วนะ

     

       เป่ยจี่ที่อับจนหนทางก็แข็งใจควักเงินส่วนหนึ่งจ่ายไป “ขอบคุณที่มากินดื่ม โอกาสหน้าขอเชิญท่านอีกครั้ง” เมื่อได้รับเงินมาแล้วเสี่ยวเอ้อร์น้อยก็วิ่งหน้ายิ้มลงไปหาเถ้าแก่

    โดยทิ้งให้เป่ยจี่ที่ไร้วิญญาณไปแล้วอยู่ตรงนั้น เขาเหม่อลอยมอง ออกไปนอกหน้าต่างมองไปทางหัวมุมถนน ก็เห็นร่างที่คุ้นเคย กำลังยืนอยู่ใต้แสงเงาของโคมไฟ ขยับนิ้วขึ้นมาคล้ายดึงถุงใต้ตาลง

     

       แต่แทนที่จะแลบลิ้นอีกฝ่ายกลับทำเพียงส่งรอยยิ้มยียวนมาแทน “บัดซบ!!” เป่ยจี่ทุบโต๊ะดีดตัวลุกขึ้นยืน จ้องตาถลึงไปทางนั้น แต่มันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า 

    เป่ยจี่ขบฟันแน่น ฝากไว้ก่อนเถอะ!! เขานั่งลงสั่งเหล้าราคาถูกมาดื่มย้อมใจ จากการตกหลุมพรางของอีกฝ่าย หลินมู่ที่กลับมาถึงห้องพักของหอการค้า ด้วยรอยยิ้มก็วางปึกกระดาษลงบนโต๊ะ

     

       นำสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน เขาฝนหมึกจรดพู่กันเขียนบันทึกลงไป ‘สุราของโรงเหล้าสายลมหอมหวน รสค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แรงนัก…’

    เขาค่อยๆเขียนอธิบายรสชาติของเหล้าที่ตนได้ดื่ม ด้วยรอยยิ้มน้อยๆเมื่อเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เขาก็ปิดสมุดบันทึกเก็บเข้าถึงเฉียงคุณเช่นเดิม

     

       “เอาหละ มาเจอของจริงดีกว่า…” ชายหนุ่มหยิบกระดาษข้อมูลขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง นอกจากเสียงแผ่นกระดาษที่ดังขึ้นเป็นระยะแล้ว

    นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดอื่นอีก เช่นเดียวกับภายนอกที่เคยมีเสียงคึกคัก ก็เริ่มแผ่วเบาลงตามเวลา เมื่อเขาอ่านแผ่นสุดท้ายจบ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วแน่นจนแทบผูกกันเป็นปม

     

       สีหน้าฉายชัดถึงความจริงจัง “จริงสินะกองโจรพงไพรสายลม ที่จอมยุทธ์ใหญ่จูเฉียวเป็นผู้ก่อตั้งยังไม่ล้มสลาย ก็คิดไว้อยู่หรอกว่ากำลังพลตอนหมู่บ้านฉาซานอ่อนแอเกินไป ใครจะคิดว่ากำลังหลักจริงๆยังอยู่ทางตะวันตก…”

    ชายหนุ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กองโจรพงไพรสายลมเพียงจูเฉียวหายตัวไปพวกมันก็เริ่มเหิมเกริม ไม่ว่าเป็นกองคาราวานหรือขุมกำลังใดพวกมันก็กล้าจะโจมตี และปล้นชิงสะดมลักพาตัวสาวงาม

     

       เมื่อไม่นานมานี้พวกมันโจมตีคาราวานการค้าของต่วนเจิ้น ที่มีสัมพันธ์เล็กน้อยกับหอการค้าเซิงยี่ซิงหลง แม้พวกมันจะไม่ได้รับอะไรไป แต่เซิงยี่ซิงหลงโกรธเป็นอย่างมากเมื่อรู้ข่าว

    ส่งตัวแทนไปตะวันตกไปสอบสวนทันที จนจับพลัดจับผลูไปยังหมู่บ้านศิลานิล อันเป็นหมู่บ้านของผู้ก่อตั้งกองโจรแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา เพราะกองโจรในปัจจุบันแทบไม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านแล้ว พวกชาวบ้านยังหวาดกลัวทุกค่ำคืน ว่าคนเลี้ยงเสียข้าวสุกพวกนั้น จะหันมาแว้งกัดตอนไหน

     

       เมื่อได้ข่าวเช่นนี้การสืบสวนก็หยุดลงเพราะไม่อาจหาตัวคนร้ายได้ “ดูเหมือนพอไม่มีจอมยุทธ์ใหญ่คอยคุมบังเหียน มันก็กลายเป็นหมาบ้าที่กัดไม่เลือกไม่สนฝ่ายสินะ”

    ชายหนุ่มสรุปออกมาสั้นๆ เขาก็มีส่วนหนึ่งที่ทำให้ตะวันตกต้องวุ่นวายเช่นกัน ที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องกองโจร แต่เป็นตระกูลหยินหยาง ที่กำลังเกิดสงครามภายใน ตัวจุดชนวนดันแซ่หลินอีก และ แซ่หลินทางนี้ดันมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับทางนั้น

     

        พูดได้แค่ว่าแซ่หลินคือคนทำให้ตะวันตก ลุกเป็นไฟ หลินมู่ที่ได้รับรู้ข่าวคราวอย่างละเอียดก็ยิ้มไม่ออกอีกต่อไป

    “ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง” หลังจากไปหาลูกของจอมยุทธ์ใหญ่แล้ว เขาก็จะตรงไปตระกูลหลัวทันทีไม่แวะที่ใดอีก เขาไม่อยากตกอยู่กลางวงล้อมของปัญหา รีบทำเรื่องของตนให้เสร็จๆ แล้วรีบจากไปคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×