ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #76 : ตอนที่ 76 ไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


       เป่ยจี่มองชายหนุ่มสะพายกระบี่ ที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามตนอย่างหวาดระแวง “เหตุใดเจ้าจึงดูหวาดระแวงเช่นนี้? ข้าไม่ได้ปองร้ายหรือจะมาทำร้ายเจ้าเสียหน่อย”

    ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมรินเหล้าลงจอก แล้วจึงผลักจอกเหล้าไปทางอีกฝ่าย เป่ยจี่แสดงสีหน้าวิตกแต่เขาก็รับจอกเหล้ามาโดยดี “ใครส่งเจ้ามา….”

     

        อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ดวงตาคู่นั้นจับจองหลินมู่อย่างไม่ละสายตา หลินมู่เองที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติตั้งแต่ตอนแรกที่เจอหน้ากัน

    เขาก็พอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังมีเรื่องบางอย่างอยู่ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขามาเพียงซื้อข่าวและข้อมูลที่อยากจะรู้ เรื่องอย่างอื่นเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง

     

       ชายหนุ่มรินเหล้าให้ตนเอง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ข้าได้รับการแนะนำจากนักประเมินชรา ในหอการค้าเซิงยี่ซิงหลง เขาบอกว่าเจ้าเป็นคนขายข่าวที่น่าเชื่อถือ และ ผู้อาวุโสบอกว่า หากข้าพูดส่าเขาแนะนำมาข้าจะได้ราคาพิเศษ”

    พูดจบหลินมู่ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว โดยไม่หวั่นเกรงแอลกอฮอล์เลยสักนิด เป่ยจี่ที่คราแรกแสดงท่าทีหวาดระแวง ก็ผ่อนลงมาอีกหลายส่วน

     

       เขาส่ายหน้าพร้อมแสดงรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันตนเอง “คนขายข่าวที่น่าเชื่อถือ? มันไม่ใช่อีกแล้ว….แล้วเจ้ามาซื้อข่าวอะไรหล่ะ หากเป็นอะไรที่ข้ารู้ข้าก็จะบอก และ คิดราคาพิเศษเป็นกันเองให้”

    หลินมู่ใช้ตะเกียบคีบเม็ดถั่วคั่วเกลืออยู่ก็หยุดลง ก่อนจะหันใบหน้าที่ปิดเปลือกตามาทางเป่ยจี่ คล้ายกำลังมองไปทางเขา เป่ยจี่เองที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเหมือนกัน แต่ความรู้สึกในห้วงลึกกลับแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

        แต่สถานการณ์คงอยู่เพียงเสี้ยวอึดใจ ก่อนชายหนุ่มจะหันหน้าไปทางหน้าต่าง “ข้าจะมาซื้อข่าวเกี่ยวกับภูเขาที่อยู่ยังจุดสูงกลางของทวีป และ ข่าวคราวในยุทธจักร สถานการณ์ที่ควรให้ความสนใจต่างๆ”

    เป่ยจี่ที่ได้ยินก็หยิบแผ่นกระดาษหนาเตอะ ออกมาจากใต้ชุดคลุมของตน ก่อนจะค่อยๆไล่ถามหลินมู่ทีละหัวข้อ “เจ้าสนใจอะไรในภูเขาท้าสวรรค์?” 

     

        “ข้าอยากตรวจสอบบางอย่าง จึงอยากจะไปตรวจสอบแต่ไม่ใช่เร็วๆนี้ ไว้ข้าจะไปเมื่อไหร่จะมาซื้อข่าวกับเจ้าอีกครั้ง..” เป่ยจี่ที่กำลังฝนหมึกอยู่ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำเรื่องของตนต่อไป

    “เจ้าจะไปที่นั่น? เจ้ารู้หรือเปล่าว่านอกจาก ห้าตระกูลแล้วคนนอกทั้งหมด ที่เฉียดเข้าใกล้ก็แทบจะปานตาย เจ้าจะเข้าไปได้อย่างไร?” หลินมู่ที่พึ่งยกดื่มไปอีกจอก ก็พูดขึ้นเรียบๆว่า ข้ามีวิธีละกัน พร้อมยกยิ้มยียวน

     

       เป่ยจี่เห็นการแสดงออกที่ไม่แยแส ก็มุมปากกระตุกถี่ยิบ เพียงเจอหน้ากับอีกฝ่าย เขาเกิดความรู้สึกภายในใจลึกๆว่า อยากซัดหน้าไอ้มือกระบี่หนุ่มผู้นี้สักหมัด แต่พอมาคิดอีกทีหมัดของตนคงไม่เร็วกว่ากระบี่หรอก

    จึงปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว แล้วเริ่มลงมือเขียนข่าวคราวเกี่ยวกับภูเขาท้าสวรรค์ ระหว่างนั้นเป่ยจี่ก็ถามคำถามกับชายหนุ่มสองสามครั้ง จนเมื่อกระดาษแผ่นที่ 14 ถูกวางไว้บนกองด้านข้าง ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว 

     

       “ข้าขอพักก่อน…” เป่ยจี่บิดตัวคลายกล้ามเนื้อ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเหนื่อยอย่างมาก หลินมู่เอื้อมมือไปหยิบกองกระดาษมาพลิกอ่าน โดยไม่สนสายตาของอีกฝ่ายเลย

    “ถึงข้าจะสงสัยก็เถอะว่าเจ้าอ่านยังไง แต่นั้นไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ไม่มีใครบอกเจ้าเลยรึไงว่าทำอย่างงี้มันเสียมารยาท?” เป่ยจี่มองไปทางหลินมู่ด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย

     

       โดยอีกฝ่ายยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน พลิกหน้ากระดาษอ่านไปอย่างเชื่องช้า “ก็มีเยอะเหมือนกัน แต่ข้าไม่สน ในเมื่อข้าจะเสียเงินในท้ายที่สุด มันก็หมายความว่ามันเป็นของข้า โอ้นี่ก็เที่ยงวันแล้ว เจ้าจะพักกินข้าวก็ได้นะ เดี๋ยวข้าจะจ่ายเอง”

    หลินมู่พูดอย่างใจกว้างแล้วจึงไม่สนใจอีกฝ่ายอีก ก้มหน้าก้มตาอ่านเนื้อหา บนแผ่นกระดาษที่หมึกยังไม่แห้งดี เป่ยจี่บังเกิดความรู้สึกอยากเอาบาทาสลาตัน ประทับบนใบหน้านั้นสักครั้ง แต่ก็ตัดทิ้งไปเพราะเขาเหลือบไปเห็น ด้ามกระบี่ที่อีกฝ่ายสะพายอยู่บนหลัง

     

       เขาจึงได้แต่ร้องโหยในใจ ‘โหยย พี่ชายคนที่พูดแบบท่านก็มีตั้งเยอะ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ชักดาบไม่จ่ายเงินข้าสักอิแปะ…’ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก ตอนนี้เป่ยจี่กำลังตาลุกวาว

    จ้องมองไปทางอีกฝ่ายด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ “ท่านจะเลี้ยงข้าวข้าแน่นะ?” หลินมู่ที่ก้มหน้าอ่านอยู่ ก็พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบว่าใช่

     

       ชายหนุ่มที่ได้รับคำตอบ ก็ลังเลสักพักก่อนจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาที่โต๊ะ ก่อนจะสั่งเมนูไปเป่ยจี่ก็เหลือบไปมองหลินมู่อีกครั้ง และคล้ายอีกฝ่ายจะมีตาที่มองไม่เห็นซึ่งอีกฝ่ายก็มีจริงๆ

    หลินมู่พูดขึ้นมาเพียงสั่นๆ “ไม่ต้องมามองข้า จะกินอะไรก็สั่งไป….โอ้ ข้าขอถั่วคั่วเกลือเพิ่ม” จากตอนแรกที่ยังลังเลอยู่เล็กน้อย เมื่อได้รับคำตอบจากปากอีกฝ่าย

     

       เป่ยจี่ก็ยิ้มแย้มบานเป็นกระด้ง เขาสั่งไปหลายเมนูที่คนเดียวไม่น่ากินคนเดียวหมดแน่ๆ ทั้งปลาทอดเปรี้ยวหวานตัวใหญ่ น้ำแกงหน่อไม้กระดูกปลา เนื้อผัดพลิก กระเพาะวัวตุ๋นน้ำแดง และ อีกหลายเมนู

    ซึ่งหลินมู่ก็ไม่ได้มีปฎิกริยาใดๆ เมนูทั้งหมดนั้นรวมๆแล้ว ประมาณ 6 เหรียญเงินสลัก ซึ่งไม่ได้กระทบกับชายหนุ่มที่มีทรัพย์มากมายในตอนนี้ แม้แต่ขนหน้าแข้งสักเส้นยังยากจะร่วง

     

       ผ่านไปไม่นานเมนูสารพัดอย่างพร้อมโถข้าวใบใหญ่ ก็ถูกยกมาเสริฟที่โต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกันที่หลินมู่อ่านข้อมูลในกระดาษทั้ง 14 แผ่นจนครบ

    เขาวางปึกกระดาษไว้ข้างตัว แล้วจึงค่อยๆย่อยข้อมูลอย่างละเอียด เพียงข่าวคราวจากภูเขาท้าสวรรค์ ก็ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ว่า ยุทธจักรตอนนี้ตึงเครียดกว่าที่เขารู้

     

       ทั้งพรรคมารที่บุกโจมตีภูเขาท้าสวรรค์ จนสร้างความเสียหายใหญ่โตแก่ห้าตระกูล ที่ส่งคนไปประจำการอยู่ที่แห่งนั้น แต่แรงจูงใจในการโจมตียังไม่มีใครรู้ ว่ากันว่าเป็นคำสั่งของจอมมาร ยิ่งทำให้หลินมู่รู้สึกว่ายุทธจักรวุ่นวายมากๆ แต่เพียงแค่เขาไม่ได้เห็นในจุดที่วุ่นวายกับตาก็เท่านั้น

    “เจ้าสั่งมามากขนาดนี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าสามารถยัดพวกมัน ลงไปในตัวเล็กๆของเจ้าได้?” หลินหมู่ถามหลังจากยกดื่มน้ำอุ่นให้ชุ่มคอ เป่ยจี่ที่กำลังจ้วงข้าวกับอาหารหลากเมนูเข้าปาก

     

       ก็หันมาพูดด้วยปากมันเยิ้ม “ของอร่อยเท่านี้ไม่พอให้ข้ากินด้วยซ้ำ!!" พูดจบเขาก็ลงมือจ้วงข้าวเข้าปาก ราวกับตายอดตายอยากมาหลายวัน 

    แม้แต่หลินมู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังหวั่นๆว่าอีกฝ่ายจะข้าวติดคอตายหรือไม่ เพียงเข้าปากเคียวสามสี่ครั้งแล้วก็กลืน น่าหวาดเสียวว่าตู้ข้อมูลเดินได้นี้ จะขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อน

     

       เพียงไม่ถึงสองก้านธูป อาหารละลานตาเมื่อกี้ ก็เหลือเพียงเศษซากและจานชามที่ว่างเปล่า โดยตัวที่สวาปามไปนั้นกำลังเรออย่างมีความสุข พร้อมตบหน้าท้องของตนแปะๆ

    “ขอบคุณพี่ชายที่ท่านเลี้ยงข้าวข้า!!” หลินมู่ยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม ดันความตกใจลงกระเพาะไป ‘บัดซบ นี้มันเป็นอสูรแปลงกายมาหรือเปล่า!?’ ชายหนุ่มได้แต่อุทานกับตนเอง

     

       ต่อให้เป็นคนตัวใหญ่สามเมตรที่ทั้งตัวบึกบึน ก็ไม่แน่ว่าจะกินของพวกนั้นจนเกลี้ยง แต่อีกฝ่ายกลับสวาปามจนหมดอย่างง่ายดาย แม้สีหน้าของเขาจะปกติ

    แต่ภายในกลับตกใจสุดขีด “เอาหล่ะทำงานต่อ!!” เมื่ออาหารตกถึงท้อง พลังงานก็ล้นเหลือเป่ยจี่เริ่มลงมือ เขียนข้อมูลลงหน้ากระดาษ โดยถามคำถามกับหลินมู่เป็นระยะๆ เป็นเช่นนี้จนถึงยามเย็น เมื่อกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกวางลงบนกอง อีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

     

     

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×