ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #75 : ตอนที่ 75 เป่ยจี่

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 65


       ในระหว่างเวลารอต่อเที่ยวเรือต่อไป ชายหนุ่มก็แบกถุงใส่ของมากมาย ไปให้ทางหอการค้าประเมินราคาให้ ภายในห้องประเมินราคา

    หลินมู่กำลังนั่งนิ่งปิดเปลือกตา คล้ายกับกำลังทำสมาธิเข้าฌานรอให้ราคาประเมินเสร็จ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังนั่งรอรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ กับราคาของ ของขวัญที่เขาได้รับมากเป็นคำขอบคุณ ว่าจะมีราคาเท่าใดกันแน่

     

       ชายหนุ่มได้แยกของขวัญแทนคำขอบคุณ ที่ได้รับมาออกเป็นสองจำพวก จำพวกแรกของที่น่าจะมีประโยชน์ และ จำพวกที่สองของที่ไม่น่ามีประโยชน์ ของจำพวกแรกเขายัดลงถุงเฉียนคุนเก็บไว้อย่างดี จำพวกที่สองเขายัดใส่ถุงอย่างลวกๆ และ เอามาให้ทางหอการค้าประเมินราคาเพื่อขายออกไป

    นักประเมินชราใส่แว่นตากรอบทองข้างเดียว กำลังประเมินกล่องไม้จันทร์แกะสลัก ลายดอกโบตั๋นประณีตอันหนึ่ง อีกฝ่ายคล้ายชมชอบเจ้ากล่องใบจิ๋วใช่น้อย เมื่ออีกฝ่ายวางกล่องลง ก็หันไปมองกระถางธูปสามขาด้วยดวงตาแวววาว ก่อนจะหยิบลูกคิดเลื่อมทองของตนขึ้นมาดีดคิดคำนวณ

     

       ดีดไปสักพักอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งจังหวะหนึ่ง คล้ายกำลังคำนวณภายในหัว แล้วจึงดีดลูกคิดต่อเป็นอย่างงี้อยู่สักพัก เสียงลูกคิดดีดไปมาดังเป็นเสียงประกอบฉาก หลินมู่ที่คอยสังเกตอีกฝ่ายก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายดูชมชอบของสองอย่างเป็นอย่างมาก เขาน่าจะสามารถเรียกราคาได้ค่อนข้างสูง แต่น่าเสียดายไม่รู้ว่าราคาจริงๆของมันเท่าไหร่เนี่ยสิ 

    ไม่นานนักประเมินชราก็กระแอมเสียงเล็กน้อย พร้อมกับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมืออาชีพ “สหายท่านนี้ ของส่วนใหญ่ที่เจ้านำมาประเมิน มันไม่ใช่ของดีเด่อะไรนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี คุณภาพและความหายาก ถือว่าดีอย่างมาก นอกจากกล่องไม้จันทร์กล่องนี้ กับ กระถางธูปสามขาอันนั้น ของที่เหลือจะรับซื้อไว้ในชื่อของหอการค้า ทั้งหมดรวมไว้ในราคา 70 เหรียญเงินสลัก ส่วนกล่องไม้จันทน์รวมถึงกระถางธูป ข้าจะรับซื้อเป็นการส่วนตัว ข้าให้ราคา 10 ตำลึงทอง กระถางธูปสามขา ข้าให้ 4 ตำลึง เจ้าว่าอย่างไร?”

     

       หลินมู่ที่เห็นโอกาส ก็เริ่มแสดงท่าทีหนักใจคล้ายคิดไม่ตก เขาโน้มตัวไปข้างหน้าใช้นิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงยากจะตัดสิ้นใจ “14 ตำลึงทอง กับ 70 เหรียญเงินสลัก….แต่สองอย่างนี้ อืม….” พร้อมทั้งแสดงอาการเหมือนจะไม่ปล่อยของออกไป นักประเมินชราที่ถูกใจกล่องไม้จิ๋ว และ กระถางธูปสามขาอย่างมาก

    ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีเพราะเขาคิดว่า ราคาที่เสนอไปอาจจะไม่ถูกใจชายหนุ่มสะพายกระบี่ “เช่นนั้น กล่อง 14 กระถาง 8 เช่นไร?” นักประเมินชราเสนอราคาใหม่อย่างคาดหวัง

     

       นี่แทบจะเป็นเงินทั้งหมดของเขาในตอนนี้แล้ว แต่หากได้ก็กำไรมหาศาล ไม้จันทน์ที่นำมาแกะสลักกล่องจิ๋วอันนี้ คือไม้จันทร์แดงที่หายากในหมู่ไม่จันทร์แดงด้วยกัน แถมช่างฝีมือที่แกะสลักมันขึ้นมา ยังประณีตและละเอียดละออเป็นอย่างมาก ลายดอกโบตั๋นบนฝากล่อง ดูราวกับเป็นดอกไม้จริงๆ ราคาจริงคงไม่ต่ำกว่า 40 ตำลึง

    เพียงแรกเห็นนักประเมินชราก็ถูกใจมันอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงกระถางธูปสามขาอันนี้ ที่คล้ายจะทำขึ้นจากโลหะหายาก สลักลวดลายภูเขาแม่น้ำไว้อย่างครบถ้วน เป็นของหายากในหมู่หายาก ราคาเองน่าจะอยู่แถวๆ 30 กว่าตำลึง

     

       เขาจึงอยากได้มาครอบครอง แต่เหมือนสหายผู้นำสองชิ้นนี้มาประเมิน จะยังไม่พอใจกับราคาที่เขาเสนอไป แต่การแสดงท่าทีของชายหนุ่ม ก็บ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าราคาของทั้งสองมีราคาเท่าไหร่ นักประเมินชราคาดเดากับตนเองเล็กน้อย พร้อมดีดคิดคำนวณลูกคิดในหัวสมองของตน ก่อนจะเสนอราคาขึ้นมาอีกครั้ง

    “กล่อง 20 ตำลึง กระถาง 10 ตำลึง เช่นไร?” เขาเสนอราคาของกล่องไม้เพิ่มอีก 6 ตำลึง และ เพิ่มราคาของกระถางธูปอีกเล็กน้อย หลินมู่ขมวดคิ้วผูกกันเป็นปม แสดงสีหน้าคิดหนักอย่างมาก

     

       นักประเมินชรากลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดปากพูดโน้มน้าว หลินมู่ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างกระทันหัน “ตกลง ข้าขาย…” เมื่อหลินมู่พูดจบ นักประเมินชราก็แสดงสีหน้าสุขุม

    พร้อมเค้นรอยยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพออกมา แต่ภายในใจแล้วกำลังถอนหายใจอย่างหนัก เขาได้ลาภก้อนโตแล้วสิ หลินมู่ที่ใช้ทักษะการแสดงระดับอนุบาล เรียกเงินเพิ่มได้อีกเล็กน้อย ก็ถอนหายใจยาวอย่างเงียบๆ

     

       แม้เหมือนจะเป็นการขายที่ขาดทุน แต่เขาได้กำไรอย่างงาม เพราะของที่ขายไปเขาได้มาฟรี ไม่เสียสักแดงเดียวถ้าไม่นับแผลที่มืออ่ะนะ

    ชายหนุ่มรับถุงเงินมากะน้ำหนักแล้วจึงพยักหน้า นำมันไปผูกไว้ข้างตัว ทางด้านนักประเมินชรากำลังใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดถูกล่องด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องจะถามท่านจะว่าอะไรหรือไม่?”

     

       เสียงของหลินมู่ดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำเอานักประเมินชราสะดุ้งเล็กน้อย แต่เพียงแค่เสี้ยวอึดใจก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขาแสดงท่าทีภูมิฐานออกมาอย่างเต็มที่

    “เจ้าอยากถามเรื่องใดล่ะ หากข้ารู้ข้าจะตอบให้” นักประเมินสอดแขนทั้งสองข้างไว้ในแขนเสื้อ บนฝ่ามือเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ภายในใจภาวนาว่าอย่าได้ถามราคาจริงๆของทั้งสองชิ้นเลย เพราะหากถามออกทาเขาก็ไม่อาจโกหกได้เพราะกฎของหอการค้า 

     

       หลินมู่เรียบเรียงคำถามในหัวของตนสักพัก ก่อนจะขยับริมฝีปากเปล่งเสียงถามออกมา “ผู้อาวุโสพอทราบไหมว่า ข้าจะไปติดต่อกับหอการค้าต่วนเจิ่น ที่อยู่ทางทิศตะวันตกได้เช่นไร และ คนขายข่าวของเมืองนี้อยู่ที่ใด”

    นักประเมินชราที่ได้ยินคำถามก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะยิ้มแย้มตอบคำถามกลับไปอย่างเป็นมิตร “หอการค้าต่วนเจิ่นหรือ? อืม….ทางหอการเซิงยี่ของเรา มีความร่วมมือกับอีกฝ่ายเล็กน้อย ไว้เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายแนะนำให้เจ้า เห็นอย่างงี้ข้ามีหน้ามีตาพอสมควร ส่วนเรื่องคนขายข่าว ข้าจะแนะนำคนหน้าเชื่อถือคนหนึ่งให้คนหนึ่ง ให้เจ้าไปยังโรงเหล้าข้างถนนนามว่า'สายลมหอมหวน' มันอยู่บริเวณก่อนถึงถนนโคมแดง ตามหาคนแต่งตัวมิดชิดเผยให้เห็นใบหน้าซีด ที่ชื่อว่า'เป่ยจี่' และ บอกว่าข้าแนะนำมาเจ้าจะได้รับราคาพิเศษ”

     

       ชายหนุ่มที่ได้ยินคำตอบก็ลุกขึ้นยืน ป้องมือให้นักประเมินชรา ก่อนจะเดินออกไปเพื่อตามหาคนนามเป่ยจี่ หลังจากชายหนุ่มจากไป นักประเมินชราก็ทิ้งตัวลงยวบ คล้ายจะละลายเป็นของเหลว

    บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมา “ข้าตื่นเต้นเกินไป อาการเกือบออกแล้วสิ ยังดีที่ชายหนุ่มคนเมื่อกี้ไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ข้ายังฝึกฝนไม่พอจริงๆ” นักประเมินชราพูดขึ้นพร้อม หยิบกล่องไม้จันทร์จิ๋วขึ้นมาสูดดมอย่างยิ้มแย้ม

     

       หลินมู่เดินออกมาจากอาคารของหอการค้าเซิงยี่ซิงหลง ก่อนจะถามทางคนแถวนั้นแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังโรงเหล้าที่ว่า เมื่อมาถึงโรงเหล้า ชายหนุ่มมองหาคนแต่งตัวมิดชิดสักพัก แต่ไม่ยักจะเจอวี่แวว

    เขาจึงเดินไปยังบาร์ พร้อมวางเหรียญเงินสลัก 1 เหรียญ “เถ้าแก่ เป่ยจี่อยู่ที่นี้หรือไม่?” ชายร่างท้วมแต่งตัวคล้ายเจ้าของเขียงหั่นหมู รับเหรียญเงินสลักพร้อมชี้ไปบันไดขึ้นไปชั้นสอง แต่เหมือนเขานึกอะไรได้เมื่อเห็นหลินมู่หลับตาอยู่ เขาก็พูดเสริมขึ้นมา “โต๊ะริมหน้าต่างสุดทางเดิน”

     

       พูดจบเถ้าแก่ร่างท้วมก็ไม่ได้สนใจคนอีก หันไปตรวจเช็คไหสุราที่วางอยู่บนชั้นด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ของคุณ” พูดขอบคุณเสร็จชายหนุ่มก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มองหาโต๊ะริมหน้าต่างสักพัก

    ก็เห็นกับคนแต่งตัวมิดชิด แยกไม่ออกเลยว่าบุรุษหรือสตรี กำลังนั่งจิบเหล้าในจอกใบเล็กด้วยท่าทางเซื่องซึม เมื่อเห็นเป้าหมาย ชายหนุ่มก็ก้าวสามขุมผ่านฝูงชน เข้าไปประชิดโต๊ะริมหน้าต่างตัวนั้นเพียงพริบตาเดียว

     

       “เจ้าใช่เป่ยจี่หรือไม่?” เป่ยจี่ที่ได้ยินคำถามจากคนแปลกหน้า ก็แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าภายใต้ผ้าโพกหัว เป็นชายหนุ่มผิวซีดเผือด ดวงตาสีน้ำตาลนั้นประเมินคนแปลกหน้าผู้นี้อย่างสนใจ

    “พี่ชายเจ้ามีธุระอะไร?” หลินมู่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปฎิเสธ ก็หย่อนก้นนั่งลงฝั่งตรงข้าม ยกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์โดยปล่อยให้อีกฝ่ายทำหน้าตาเหรอหรา สลับกับขมวดคิ้วแน่นคล้ายกังวลบางอย่าง…

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×