ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #74 : ตอนที่ 74 เทียบท่า

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


       ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวอ่อนนั่งนิ่ง ทำสมาธิฝึกเคล็ดกำหนดจิตกระบี่ ก็ถูกดึงสติกลับมายังความเป็นจริง เพราะมีบางคนมาเคาะประตูห้องของเขา

    เมื่อเดินไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นลูกเรือหนุ่มผู้นั้น ที่กลับมาแจ้งข่าวคราวอีกครั้ง เขาบอกว่าต้นทางได้ตอบกลับมาแล้ว บอกให้พวกเขาสบายใจทำตัวตามปกติ และ เดินทางไปยังจุดหมายต่อไป

     

       แต่ผู้เป็นกัปตันเรือยังคงระแวงอยู่เล็กน้อย จึงส่งลูกเรือมาแจ้งข่าวพวกเขาอีกครั้ง หลินมู่พยักหน้าเป็นอันรับรู้เมื่อกลับมานั่งบนเตียง

    ชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าขบคิดพยายามไตร่ตรองบางอย่าง เขาขยับนิ้วมือไปมาคล้ายกำลังอนุมานทำนาย แต่แท้จริงแล้วเขากำลังคำนวณเวลาอยู่

     

       “หรือก็คือ เราต้องพัฒนาด้วยความเร็วหอยทากแบบนี้ ไปร่วมๆเดือนหรืออาจจะนานกว่านั้นสินะ…” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองก่อนจะปิดปากเงียบ ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบงัน

    เหลือไว้เพียงเสียงคลื่นน้ำและเสียงกระดานไม้ ที่ยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ สุดท้ายเขาก็ถอยหายใจยาว ในเมื่อเขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปล่อยเป็นเรื่องของเวลา

     

       ใครใช้ให้เขามีความผูกพันกับทางโลกมากเพียงนั้นละ คิดหยุมหยิมไปหมด จนสุดท้ายก็เป็นความคิดความกังวลของตนเอง ที่ขัดขาล่ามการพัฒนาของเขาไว้

    ชายหนุ่มล้วงเข้าไปภายในถุงเฉียนคุน นำตำราเวทย์กระบี่สีขาวบริสุทธิ์ออกมาวางไว้บนตัก เขาลูบหน้าปกมันอย่างเบามือพร้อมทั้งมีความคิดมากมาย ผุดขึ้นมาภายในหัวมากมายราวกับแม่น้ำแห่งความคิด

     

        ด่านเคราะห์บนมหามรรคาด่านแรก เกิดขึ้นเพราะเขาหวาดกลัวจะแข็งแกร่ง กลัวว่าหากแข็งแกร่งเกินไปเขาจะเผลอทำร้ายคนที่ตนรัก หวั่นว่าตนจะไม่อาจควบคุมดวงตาคู่นี้

    จึงก่อเกิดเป็นด่านมหามรรคา เป็นผลให้เขาต้องใช้จูเฉียวเป็นหินลับกระบี่ พร้อมทั้งเคาะด่านมหามรรคาไปในตัว แม้จะผ่านมาได้อย่างโชคช่วย แต่นั้นเหมือนจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับด้านเคราะห์ที่ใหญ่กว่า

     

       หลังจากผ่านเคาะด่านมาได้อย่างหวุดหวิด เขาก็ต้องเจอกับคลื่นใต้น้ำ อย่างด่านเคราะห์รอบสอง ที่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีสัญญาณบ่งบอกใดๆ

    เป็นด่านเคราะห์ที่เกิดขึ้นจากความยึดติด เขากลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อตนแข็งแกร่งขึ้นเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น คนที่ไม่ใช่หลินมู่คนเดิม เขาทั้งยึดติดและหวาดกลัว จึงสร้างโซ่ตรวนขึ้นมาล่ามขาของตน

     

       นอกจากวิธีแรกที่เขาถามกระบี่กับตนเองแล้ว ยังพอมีสองวิธีที่เขาคิดออก อย่างแรกคือการบีบให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย 

    ต้องเป็นสถานการณ์ที่เขา ต้องงัดออกมาทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด พนันชีวิตตัวเองไว้บนเส้นด้ายบางๆ ที่เรียกว่าโชค การสร้างสถานการณ์เป็นตาย เช่นเดียวกับตอนของจูเฉียวนั้นจึงใช้ไม่ได้ผล

     

       มันต้องเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ไม่อาจคาดเดาและต้องโหดร้ายกับตนเองถึงที่สุด วิธีถัดมาคือการให้เวลากับตนเอง เช่นเดียวกับคำแนะนำของภิกษุเฒ่า และ สหายเฒ่าเจียงซวี

    เป็นวิธีเคาะด่านโดยใช้ระยะเวลาเป็นบททดสอบ จะช้าเร็วขึ้นอยู่กับหลินมู่เอง ว่าเลือกจะปลดโซ่ตรวนตนเอง ด้วยจิตใจที่แท้จริง หรือ จะยังยึดติดเช่นนั้นต่อไป

     

       จิตใจเป็นสิ่งพิศวง แม้นร่างกายจะบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย หากมีจิตใจที่มุ่งมั่นยังสามารถแบกร่างนั้นเดินไปไกลหลายลี้ แต่หากจิตใจบอบช้ำแตกสลาย แม้ร่างกายจะมีกำลังของพระเจ้า

    ก็ไม่ต่างจากเปลือกอันว่างเปล่า แก่นแท้ของการฝึกตนเป็นอมตะ คือการเล่นถามกับจิตใจของตนและคนทั้งโลก หากพ่ายแพ้แม้ครั้งเดียว ก็จะถูกคลื่นซัดให้ถอยหลังไป

     

       โดยเฉพาะสายฝึกตนที่หลินมู่ฝึกอยู่ แตกต่างจากสายปกติ ที่ดึงปราณฟ้าดินมาเลี้ยงร่างกาย สร้างเป็นฟ้าดินใบเล็กเปลี่ยนร่างกายของตนเป็นโลกใบหนึ่ง

    แต่สายของหลินมู่เลือกจะขัดเกลาจิตใจ กลั่นออกมาเป็นรูปธรรม ฝึกฝนให้จิตใจตามจุดประสงค์ดั่งเดิม หากในมือถือกระบี่ ก็ต้องแน่ใจว่าจิตจะต้องคมกริบจนสะบั้นสวรรค์

     

       หากในมือกุมดาบ ก็ต้องมั่นใจว่าจิตจะต้องดุดันเพียงฟันดาบหนึ่งครั้ง ก็ต้องดึงหมู่ดาวสอยตะวันจันทรา นี้คือประสงค์ดั้งเดิมของเส้นทางขัดเกลาจิตใจ หากจิตใจมั่นคงต่อให้เป็นสวรรค์ก็มิอาจคุมขัง

    ต่างจากเส้นทางแรกที่หล่อเลี้ยงเรือนกายก่อน หลังจากบรรลุเป็นเซียนจึงหล่อเลี้ยงจิต แต่ก็ใช่ว่าผู้ฝึกตนเป็นอมตะทุกคนจะทำตามทั้งหมด จึงก่อเกิดเป็นเส้นทางนับร้อยบนเส้นทางสายใหญ่

     

       แม้เส้นทางการขัดเกลาจิตใจจะดูง่ายดาย แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือจิตใจของตนเอง จิตใจที่ใช้มองตนเอง จิตใจที่ใช้มองโลกหล้า ปรัชญา อุดมการณ์ ล้วนแล้วเป็นอุปสรรค

    เส้นทางนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเดินได้ ขอเพียงมีเคล็ดขัดเกลาจิตใจ แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ อันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้

     

       ชายหนุ่มพลิกเปิดหน้าตำราสีขาว ไปยังขั้นตอนที่สองของเวทย์กระบี่ ทั้งบทมีเพียงกระดาษหน้าเดียว และ เขียนไว้ไม่กี่อักษร

    “จงลืมตา…." หลินมู่พึมพำพร้อมแสดงสีหน้าเรียบเฉย เขากลับมานั่งคิดกับตนเองอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆแง้มเปลือกตาใช้ดวงตาสีหมึกคู่นั้น มองดูหน้ากระดาษ 

     

       คำว่า'จงลืมตา' ที่เขียนด้วยน้ำหมึกเปล่งประกายระยับ สะท้อนอยู่บนดวงตาของชายหนุ่ม กลิ่นของหมึกบนหน้ากระดาษ ลอยออกมาอย่างเบาบางเพียงสูดดม ก็ทำให้จิตใจสงบลงมาอีกหลายส่วน

    บรรยากาศรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว ความคมกริบแพร่กระจายออกไปทั่วบริเวณ อากาศเริ่มเบาบางความหนาวเย็นเข้ามาแทนที่ กว่าหลินมู่จะรู้สึกตัวบนพื้นห้องก็เต็มไปด้วยรอยกระบี่

     

       จนเขาต้องรีบหลับตาลงอย่างรีบร้อน พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “คงไม่โดนปรับนะ…” ชายหนุ่มปิดหน้าตำราลงพร้อมกับ เอื้อมมือไปลูบด้ามกระบี่ตามความเคยชิน

    เขาเก็บตำราสีขาวบริสุทธิ์ยัดเข้าใส่ถุงเฉียนคุน พร้อมทั้งนำตำราที่ได้รับมาจากสหายเฒ่าออกมาเปิดอ่าน แม้ภายนอกจะเป็นเพียงตำราเก่าๆ ที่เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา หน้ากระดาษสีเหลืองถูกพลิกเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง

     

       แม้สภาพของมันจะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าใด แต่เนื้อหาภายในนั้นค่อนข้างมีประโยชน์ และ มีค่ามิน้อย มันเป็นบันทึกการฝึกฝนของมือกระบี่ผู้หนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ที่มีการเขียนไว้หลากหลายคน ไม่ว่าผ่านมือใครมาบ้าง 

    ทุกคำแนะนำที่เขียนไว้ต่างกลั่นออกมา จากประสบการณ์ของยอดฝีมือ ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน เปลี่ยนผันไปตามมือของมือกระบี่หลายต่อหลายคน สุดท้ายก็มาอยู่ในมือของหลินมู่

     

       มันจึงเต็มไปด้วยคำแนะนำมากมายของผู้ฝึกฝนกระบี่ แม้จะเป็นการฝึกกระบี่โดยเน้นขัดเกลาเรือนกาย แต่มันก็มีประโยชน์มากมายให้เอามาอ้างอิงหลายอย่าง

    แม้แต่วิชาตัวเบาแบบหยาบๆยังมีเขียนเอาไว้ เป็นขุมทรัพย์โดยแท้ หากอ่านแล้วซึมซับเอาแก่นแท้มาทั้งหมด อาจจะทำให้การออกกระบี่ของชายหนุ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

     

       หลังจากนั้นตลอดเวลาเดือนกว่า ชายหนุ่มก็ทำเพียงแค่หมกตัวอ่านตำรา ค่อยๆซึมซับ นำเอาแก่นแท้ที่จำเป็นมาปรับปรุงตนเอง แม้การพัฒนาของเคล็ดกำหนดจิตกระบี่จะค่อนข้างล่าช้า

    แต่การฝึกกระบี่กลับพัฒนาข้ามวันข้ามคืน หากให้เจอกับเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นอีกรอบ เขาก็มีความมั่นใจว่าเกล็ดปลาของมันก็ไม่อาจ ป้องกันกระบี่ของเขาได้อีกแล้ว

     

       ไม่ต้องพูดถึงอูเชินในสภาพผีดิบครึ่งตัว เพียงการตะวัดส่งๆในตอนนี้ก็มากพอจะหั่นเขาเป็นสองส่วน ท่วงท่าที่ไม่จำเป็นถูกตัดออกทีละนิด จนการเคลื่อนไหวเข้าใกล้คำว่าไม่สูญเปล่า

    นอกจากเวลากินข้าว เช็ดตัวเปลี่ยนผ้าพันแผลเปลี่ยนชุดแล้ว ก็มีเวลาเล็กน้อยที่เขาไปนั่งตกปลาตรงกราบเรือ ที่เหลือก็อุทิศเวลาทั้งหมดให้การฝึกกระบี่ แม้ขอบเขตจะไม่พัฒนา แต่การออกกระบี่ของเขากลับเฉียบคม และ เด็ดขาดมากขึ้นหลายต่อหลายเท่า จนราวกับเป็นคนละคน

     

       ท่าเรือของหอการค้าเซิงยี่ซิงหลง ณ ภาคกลาง เรือโดยสารจากตะวันออกเข้าเทียบท่า ส่งผู้โดยสารและสิ้นค้ามากมายลงท่าเรือ

    ชายหนุ่มสะพายกระบี่แบกถุงใส่ของพะรุงพะรัง ชุดคลุมสีฟ้าอ่อนๆโบกสะบัดตามลมหนาว ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาจากกราบเรือ เหยียบลงบนผืนดินสีหน้าแสดงถึงความผ่อนคลาย

     

       เขาเคาะปลายเท้าบนพื้นสองถึงสามครั้ง ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างดีใจ “ผืนดินหล่ะ” หลังจากเก็บตัวอยู่บนเรือมาเดือนกว่า เขาก็เอียนเต็มทนแล้ว แต่พอจำได้ว่าต้องต่อเที่ยวเรืออีกเที่ยว เพื่อไปยังตะวันตก

    ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที “สหายน้อย ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก” สหายเฒ่าเจียงซวีในชุดคลุมตัวเดิมที่ใส่ตอนสู้กับอสูรปลา กระโดดลงมาจากเรือโดยสารลงมายืนข้างชายหนุ่ม

     

       เขาทักทายชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร ด้านหลังก็มีหลานชายของสหายเฒ่ากระโดดตามมา “สหายเฒ่าข้าขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปเจอเลย ข้าหมกหมุ่นกับการฝึกฝนเล็กน้อย” สหายเฒ่าพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ

    ก่อนจะบอกลากันไป เป้าหมายของสหายเฒ่าคือภาคกลาง แต่จุดหมายนั้นเขาไม่รู้เพราะไม่ได้ถาม หลังจากสหายเฒ่าพร้อมหลานชายที่เดินจากไป ก็เป็นพระชราในจีวรขาว

     

       เดินพนมมือข้างเดียวสวดอภิธรรมเดินลงมาจากเรือ มืออีกข้างถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเข้ม “อามิตตาพุทธ ประสกเราพบกันอีกแล้ว” นอกจากไม้เท้าเดินป่าแล้ว พระชรามีเพียงย่ามอันหนึ่งติดตัว

    ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะแยกทางกันไป หลินมู่นำป้ายไปที่หอการค้าเซิงยี่ซิงหลง เพื่อยืนยันและรอขึ้นเที่ยวเรือในอีกสองวัน ร่างของชายหนุ่มชุดคลุมสีฟ้าอ่อนในห้องพักยืนนิ่ง 

     

       โดยมือซ้ายกุมด้ามกระบี่สีดำข้างเองซ้าย พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อีกไม่นานศิษย์พี่ท่านก็จะได้กลับบ้านแล้ว ท่านดีใจหรือไม่?…หากรู้ว่าการเดินทางจะนานเช่นนี้ ข้าคงไปหาอาจารย์ทางตะวันออกก่อนดีกว่า”

    แม้จะรู้ว่าพูดไปศิษย์พี่ของตนก็ไม่ได้ยิน เพราะอีกฝ่ายกำลังจำศีลอยู่ เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าภายในหัวขบคิดบางอย่าง ก่อนจะขยับตัวไปทำเรื่องต่อไป

     

     

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×