ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #70 : ตอนที่ 70 จงคาดหวังจงเชื่อมั่น

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 65


       ร่างของชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวอ่อน เคลื่อนไหวไปมาระหว่างโขดหินอันเปียกชื้น มือขวากุมกระบี่ที่มีใบสีขาวนวลดุจหิมะขาว ร่างนั้นกระโดดย้ายไปอีกโขดหินอย่างรวดเร็ว

    ระหว่างอยู่กลางอากาศเขาก็จะออกกระบี่หนึ่งครั้ง พร้อมถามใจตอนเอง เสียใจหรือไม่? ยังยึดติดหรือเปล่า? ทำแบบนี้ซ้ำๆจนท่วงท่าในการออกกระบี่เป็นธรรมชาติ

     

       ส่อแววจะถูกดึงเข้าสู่ห้วงภวังค์ ถึงเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่อาจเข้าสู่ภวังค์ ได้แต่กระโดดไปตามโขดหิน พร้อมกับออกกระบี่ฟันลงบนผิวน้ำใส่เงาสะท้อนของตน พร้อมถามใจตนเอง

    ดวงตาสีหมึกที่ราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาล ที่กักเก็บหมู่ดาวละลานตากำลังเปล่งประกายระยิบระยับ สาดแสงความคมกริบจากห้วงลึกภายในจิตใจ พร้อมทั้งเป็นคำตอบกับคำถามที่เขาถามใจตนเอง

     

       ‘เสียใจหรือไม่? ใช่ ข้าเสียใจ ยังยึดติดหรือเปล่า? ใช่ ข้ายังยึดติด….’ แม้เขาจะไม่พูดไม่ได้คิด แต่คำตอบนี้ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ มันคือคำตอบที่ซื่อตรงต่อตัวผู้ถามไถ่มากที่สุด

    หลินมู่ไม่อาจออกกระบี่ตัดความเสียใจ ไม่อาจสะบั้นความยึดติดที่เสมือนโซ่ล่ามเท้าตนได้ ได้แต่ออกกระบี่ซ้ำๆจนกว่าจะได้คำตอบอย่างไร้ความหมาย ทั้งยังเป็นการทำร้ายตนเองทางอ้อม

     

       ร่างในชุดคลุมสีเขียวอ่อนนั้น กระโดดไปมาตามโขดหิน เพียงหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เสียงผิวน้ำที่แตกกระจายก็ดังตามมา เป็นอย่างงี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับเขา เป็นเพียงหุ่นเชิดที่กำลังถูกชักใย

    ยอดฝีมือทั้งสองอย่าง พระชรา และ สหายเฒ่าเจียงซวี ต่างพากันมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองการถามกระบี่กับตนเองของหลินมู่ ด้วยสายตาตัดพ้อ “อามิตตาพุทธ….ประสกหนุ่ม ไม่อาจใช้กระบี่ในมือหรือกระบี่ในใจ ตัดขาดโซ่ตรวนที่ยึดติดกับเขาได้ ทำแบบนี้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์….”

     

       พระชราพนมมือพูดขึ้นมาพร้อมแสดงความสงสาร สหายเฒ่าเจียงซวีที่เปลี่ยนเป็นชุดคลุมตัวใหม่ ได้แต่ถอนหายใจลากยาว เขาเห็นด้วยกับตาเฒ่าหัวล้านชุดขาวผู้นี้

    ไม่คิดเลยว่าหลังจากได้รับคำตอบ สหายน้อยผู้นี้จะคิดเป็นจริงเป็นจัง ถึงขั้นถามกระบี่กับตนเอง แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ที่วรยุทธ์ต่ำต้อย การจะถามกระบี่กับตนเองก็ว่ายากแล้ว

     

       แต่นี่คือสหายน้อยที่มีตบะลึกล้ำ เปรียบดังยอดฝีมือในหมู่เมฆ การจะถามกระบี่กับตนเองก็ยากมากอยู่แล้ว การถามกระบี่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ การออกกระบี่มีคำถามกับวิถีทางของตนเอง บางคนได้รับคำตอบแต่บางคนไม่ และไม่มีใครช่วยเหลือได้ ทั้งสองจึงทำได้แค่มองร่างในชุดคลุมสีเขียวอ่อนนั้น ด้วยความเงียบงันไม่พูดจาใดๆออกมาอีก

    สุดท้ายแล้วมนุษย์ต้องมียามที่ตนไร้กำลัง หลินมู่ที่ใช้แรงจนแห้งขอดก้าวพลาด จนเกือบจะตกลงไปในทะเลสาบอันเย็นเยือก แต่ก็ได้พระชราสร้างฝ่ามือลมปราณ ลากกลับไปยังดาดฟ้าเรือ

     

       ร่างของชายหนุ่มถูกวางให้นอนแผ่อยู่บนพื้น ปิดตาคล้ายจะสลบไป แต่ทั้งสองรู้ว่านี่เป็นเรื่องการแสดงออกปกติเท่านั้น อีกฝ่ายไม่เหลือแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงพูดออกมาแม้แต่คำเดียว

    แต่ทั้งสองก็สามารถรับรู้ถึงคำขอบคุณ ที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อออกมา “อามิตตาพุทธ ประสกรู้ตัวหรือไม่ว่ากระทำเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่มีความหมายอาจจะทำให้รากฐานของประสก พังทลายเสียหายจนไม่อาจกู้คืน…” 

     

       หลินมู่ใช้แรงอันน้อยนิดเปล่งเสียงกันแหบพร่าออกมา “ข้ารู้…” ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ การเคาะด้านมหามรรคาคือการค่อยๆเคาะไปเรื่อยๆจนได้รับคำตอบ แต่สิ่งที่หลินมู่ทำคือการกระโดดไปงัดข้อกับมหามรรคาโดยตรง การฝึกฝนของผู้ฝึกวรยุทธ์ ถูกดัดแปลงมาจากการฝึกตนของการบ่มเพาะเซียน 

    จึงมิแปลกที่จะมีเคราะห์ด่านและอุปสรรคคล้ายคลึงกัน และ เขาก็ไม่แปลกใจที่พระชราถามเช่นนั้น การงัดข้อกับมหามรรคาโดยตรง เป็นการฝืนตนเองอย่างมาก มนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งจะงัดข้อกับมหามรรคาตรงๆได้เช่นไร สุดท้ายหากยังฝืน และ ดึงดันทุกอย่างที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ตลอดหลายเดือนก็จะพังทลาย ทำลายความหวังจะกลับบ้านด้วยฝีมือตนเอง

     

       แต่แล้วทำไมเขาถึงต้องร้อนรน จนต้องฝืนถามกระบี่กับตนเอง? เพราะคำพูดหนึ่งที่ได้ยินจากศิษย์พี่หลัว เมื่อตอนอยู่ใต้หุบเหว มันทำให้เขาหวาดกลัวสุดหัวใจ ‘การเคาะด่านช้าเร็ว ไม่อาจรู้ บางคนสองสามวันก็เคาะได้สำเร็จ แต่บางคน เป็นร้อยเป็นพันปี ก็ไม่อาจเคาะสำเร็จ จนสิ้นอายุขัยและตายจากไป ทิ้งด่านเคราะห์นั้นไว้บนมหามรรคา…ข้าหวังว่าในอนาคตเมื่อเจ้าเจอด่านมหามรรคา เจ้าจะสามารถผ่านพ้นไปได้’

    หลินมู่จึงหวาดกลัวมาก หวาดกลัวว่าจะติดอยู่บนมหามรรคา ขอบเขตไม่ขยับเขยื้อนไร้วิถีทางการหวนกลับ เขาจึงร้อนรนที่จะเคาะด่าน แม้แต่ด่านเคราะห์ที่เขาใช้จูเฉียว เป็นหินลับกระบี่เคาะด่านตนเอง จนสามารถแก้ไขความกลัวจะแข็งแกร่งไปได้ นั้นก็เป็นเพียงความโชคดี แต่ตอนนี้ความโชคดีไม่เข้าข้างเขา

     

       และเขาพึ่งรู้ตัวว่าด่านเคราะห์ใหม่กลับก่อตัวขึ้นเงียบๆ จากความคิดเล็กๆอย่าง เขาจะเปลี่ยนไปทางไหน? จิตใจในห้วงลึกของเขาหวั่นว่าหากเขาเปลี่ยนไป จนครอบครัวจำไม่ได้ และ กลายเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาพวกเขา เขาจะทำอย่างไร

    ด่านเคราะห์นี้จึงเกิดจากสายสัมพันธ์ทางโลกของหลินมู่ ยึดติดกับตัวตนของตนเองในโลกปุถุชน สร้างโซ่ล่ามขาเพราะความกลัวจะเปลี่ยนแปลง ยึดติดกับตนเองจนกลายเป็นการย่ำอยู่กับที่

     

       แม้สุดท้ายอยากจะหวนกลับ แต่เขากลับขัดขวางตนเอง เขาไม่อยากติดอยู่บนด่านเคราะห์เป็นร้อยปีพันปี หากผ่านไปนานขนาดนั้น ครอบครัวเขาล่ะ พ่อ แม่ น้องสาว จะเป็นเช่นไรในวาระสุดท้ายจะยังมีความเสียใจ เพราะเขาหายตัวไปหรือเปล่า…

    หลินมู่ที่คิดอยู่กับตนเองจนเผลอกำหมัดแน่น จนพระชราสังเกตเห็น ร่างในจีวรขาวนั่งลงด้านข้างชายหนุ่ม พร้อมพนมมือหลับตาถามคำถามขึ้นมา “ประสก…เหตุใดจึงดื้อดึงฝืนฝ่าความยึดติดในจิตใจ รู้ทั้งรู้ว่าทำเช่นนั้นรากฐานก็อาจจะพังทลาย ลมปราณแตกซ่านไม่ต่างอะไรจากคนพิการ…แม้แต่กระบี่ที่บ่มเพาะมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้อีก แล้วทำไม?”

     

       หลินมู่ปิดปากเงียบสักพักเขาก็พูดออกมา ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอัดแน่นไปด้วยความเสียใจ และ ความอัดอั้น “ข้าหวั่นว่าหากขอบเขตพลังไม่เพิ่มขึ้น การจะหวนกลับบ้านเกิดของข้าก็จะถูกลากยาวออกไป หากนานจนครอบครัวข้าตายจากไปหมดแล้ว ข้าควรจะทำเช่นไร….ข้าจะแข็งแกร่งไปเพื่ออะไร? เพื่อกลับไปดูหลุมศพของพวกเขาทำร้ายจิตใจของตนเองเล่นงั้นหรือ!?”

    ประโยคสุดท้ายเขาขึ้นเสียงอย่างโศกเศร้า มือกุมกระบี่ริมฝีปากเม้มแน่น ผ้าพันแผลที่พันทั้งมือขวาของเขา เริ่มมีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา สายตาภายใต้เปลือกตานั้น ส่อแววสาดประกายความบ้าคลั่งออกมาอย่างเลือนราง พระชราที่ได้ยินก็พูดขึ้นมา “อามิตตาพุทธ ประสกไร้ความหวัง แต่เหตุใดจึงหวังจะหวนกลับ…” บรรยากาศกลายเป็นเงียบงัน หากมีเข็มตกสักเล่มก็อาจจะได้ยินเสียงมันชัดเจน

     

       ชายหนุ่มที่นอนแผ่บนพื้นปิดปากเงียบ เขาขบคิดคำพูดกับตนเอง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระชราจะสื่อ หากเขาไร้ความหวัง แล้วเขาจะขวนขวายเพิ่มขอบเขต หาวิธีกลับบ้านไปทำไม?

    คล้ายพระชราเข้าใจความคิดของชายหนุ่ม พระชราจึงเปล่งน้ำเสียงอันเมตตา พร้อมลืมตาใช้ดวงตาสีฟ้าสดใส มองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น “ประสกหากไร้ความหวัง ไม่ว่าประสกจะทำอะไรหรือสิ่งที่ประสก แสรงหลอกตนเองว่าตนคาดหวังเอาไว้ในตอนนี้ จะเป็นจริงหรือไม่ในอนาคต มันก็ไร้ความหมาย จงคาดหวังจงเชื่อมั่น จงดีกับตนเองแล้วจึงคาดหวังทางโลก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วประสกก็จะได้พบปลายทาง เชื่อมั่นและมีความหวังเสมอ…..อามิตตาพุทธ อาตมาพูดได้เพียงเท่านี้ที่เหลือประสกจำต้องคิดเอาเอง"

     

       พูดจบพระชราก็ลุกขึ้นยืนเดินห่างจากไป ระหว่างนั้นก็มีน้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นเป็นระยะว่า อามิตตาพุทธ ตามมาด้วย จงเชื่อมั่นในตนเอง ชายหนุ่มที่นอนแผ่บนพื้นกำลังขบคิดกับตนเอง

    โดยด้านข้างมีสหายเฒ่ายืนเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่เป็นเพื่อนในอากาศที่หวาดเย็น หนึ่งยืนมองคลื่นริ้วทะเลสาบ หนึ่งขบคิดมองจิตใจของตนเอง แม้จะไร้ศัพท์สำนวน แต่ทั้งสองก็เข้าใจกันและกัน นี้คือยุทธจักรหากเจอสหายที่แท้จริง สหายก็จะยืนเคียงข้างจนกว่าจะผ่านเคราะห์ภัย เพราะพวกเขาถือว่าเป็นสหายกัน…

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×