ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 มารกระบี่

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 65


       ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าเดินไม่ช้าไม่เร็วตรงไปยังห้องศึกษา ในระหว่างที่เขาเดินไปยังห้องศึกษา

    ณ หอคอยสัมผัสเมฆา ห้องบนจุดสูงสุดไป๋หยุนเฉินที่มองร่างของหลินมู่เบื้องล่าง เขามองชายหนุ่มด้วยสายตาอธิบายไม่ถูกพร้อมขมวดคิ้วแน่น 

     

       “หรือมันจะเป็นอย่างงั้น….” ชายชราพึมพำด้วยสีหน้าน่ากล้ว นี้ก็ร่วมสัปดาห์แล้วที่หลินมู่เริ่มฝึกฝน “เหมือนเจ้ามาก…” ชายชราพึมพำเมื่อมองร่างของชายหนุ่มเบื้องล่าง

    อีกฝ่ายไม่มีความพัฒนาใดๆเลย ต่างจากไป๋เทียลูกศิษย์สืบทอดของเขา เพียงสามวันก็กลายเป็นผู้ฝึกหัด

     

       เป็นความเร็วที่ไม่น่าเชื่อแม้แต่อัฉริยะของตระกูลไป๋ ยังต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกหัด

    ลูกศิษย์สืบทอดคนนี้เรียกได้ว่าเป็นปีศาจพรสวรรค์โดยแท้ แม้แต่คนอื่นๆอีกไม่กี่วันก็จะสัมผัสกับขอบเขตผู้ฝึกหัด

     

       ความเร็วในการพัฒนานี้ แม้แต่ไป๋หยุนเฉินในวัยเยาว์ยังไม่อาจเทียบ ขอเวลาเพียงไม่กี่สิบปี คาดว่าในกลุ่มห้าเกลียวคลื่นใหม่

    จะมีสักคนกลายเป็นจักรพรรดิยุทธ์ และคาดว่าอีกหลายสิบปีหนึ่งในนั้นก็จะกลายเป็นตำนานยุทธ์ แต่สำหรับหลินมู่ทำให้ไป๋หยุนเฉินกังวลอย่างมาก

     

       “เป็นพรสวรรค์ที่น่าสรรเสริญและน่าหวาดกลัว แต่เจ้ากลับไม่แสดงสิ่งใดออกมาเลย หรือเจ้าจะ…”

    ไป๋หยุนเฉินมองร่างของหลินมู่ที่หายลับเข้าไปในอาคาร โดยไม่พูดต่อ “ตัวอ่อนยุทธ์แท้ ก็แค่เรื่องที่ข้าพูดไปส่งๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าหลุดมือ เพราะเจ้าเหมือนเขามาก…”

     

       ไป๋หยุนเฉินขมวดคิ้วก่อนจะคลายออก “บางทีข้าอาจจะฟุ้งซ่านเกินไป….หวังว่าเขาจะไม่จบเช่นเจ้า” เสียงถอนหายใจของชายชราดังขึ้นในห้องชมวิว

    หลินมู่ที่เดินเข้ามาในห้องศึกษา เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นเป้าหมายของสายตาของคนจำนวนมาก

     

       บางคนมองเขาอย่างตกตะลึง บางคนมองเขาอย่างสมเพช และบางคนกำลังเยาะเย้ย 

    สายตาของพวกเขาพูดประมาณว่า ดูเจ้าสิ! ได้เป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ไป๋หยุนเฉินแล้วไง? แม้ฝึกฝนอย่างหนักก็ไม่มีอะไรคืบหน้า! เจ้ายังมีหน้าโผล่มาอีกหรือ? น่าสมเพชยิ่งนัก เจ้ามันทำให้พวกเราผิดหวัง!! 

     

       ซึ่งหลินมู่ก็ไม่ได้สนความคิดของคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาเหลือบมองไป๋เทียที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด ก่อนจะเดินไปนั่งยังตำแหน่งของตน

    แต่ละคนที่มองหลินมู่อย่างเย้ยหยัน เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจหรือมีปฎิกริยาใดๆ ก็หันกลับไปสนเรื่องของตนเพียงไม่นานตัวตนของหลินมู่ก็ถูกลืมจากพวกเขา

     

       เพียงไม่นานนัก อาวุโสเหลียงก็เดินเข้ามาภายในห้องศึกษา เขายังคงเป็นชายวัยกลางคนที่แปะรอยยิ้มไว้ตลอดเวลา

    “เอาหล่ะ วันนี้ข้าจะไม่สั่งสอนอะไรพวกเจ้านัก แต่ข้าจะเล่าเรื่องนึงที่เกิดขึ้นเมื่อสองร้อยกว่าปีให้ฟัง…”

     

       เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องมานั่งเรียนให้ห้องเรียนที่น่าเบื่อ เหล่านักเรียนจากต่างภพก็หูผึ่งขึ้นมาทันที แต่ละคนนั่งตัวตรง

    เตรียมตัวฟังเรื่องเล่าจากปากของอาวุโสเหลียง หลินมู่ที่กำลังฝนหมึกเตรียมจดบางอย่างก็หยุดชะงัก เขาหันไปมองทางอาวุโสเหลียงเช่นคนอื่นๆ

     

       อาวุโสเหลียงที่เห็นว่าตนดึงความสนใจจากเด็กเหล่านี้ได้แล้ว ก็ยกยิ้มขึ้นสูง ไป๋เทียที่นั่งอยู่แถวหน้าทำเป็นไม่สนใจ 

    และอ่านตำราเคล็ดวิชาลับของอาจารย์ต่อไป ซึ่งอาวุโสเหลียงก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใดๆ เขาเริ่มเปิดปากด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม

     

       “เมื่อราวสองร้อยปีที่แล้ว มีผู้ฝึกฝนพเนจรสายมารผู้หนึ่ง ฝึกฝนเคล็ดวิชาชั่วร้ายเมื่อสำเร็จวิชา เขาก็ร่ายรำกระบี่กดขี่มนุษย์ราษฎรทั่วทิศ แม้จะฝึกฝนได้ไม่ถึงสามสิบปี แต่ตบะกลับล้ำลึก เพียงชั่วข้ามคืน เขาก็ได้รับสมญานาม มารกระบี่…”

    ตอนที่อาวุโสเหลียงเริ่มเล่าเรื่อง แต่ละคนก็เริ่มกลั่นหายใจ แม้แต่ไป๋เทียยังหยุดอ่านตำราลับและหันมาตั้งใจฟัง

     

       อาวุโสเหลียงจัดท่าทางเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ “มีวันหนึ่งมารกระบี่ ไปเยี่ยมเยือนเรือนตระกูลเหลียน เพื่อทำการค้าบางอย่าง แต่เมื่อประมุขตระกูลเหลียนในตอนนั้น ปฎิเสธอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่คบค้ากับมารร้าย ด้วยโทสะอัดแน่นเต็มอก พร้อมทั้งความอับอาย เขาก็ตะหวัดกระบี่สังหารคนทันที….”

    เมื่อมาถึงช่วงท้าย อาวุโสเหลียงจงใจขึ้นเสียงอย่างกระทันหัน ทำให้เหล่านักเรียนที่กลั่นหายใจอยู่ ต้องหายใจดังเฮือก

     

       “และน่าแปลกใจ ประมุขตระกูลเหลียนในยามนั้น เป็นถึงห้าผู้แกร่งกล้า และเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์หน้าใหม่ กลับถูกกระบี่สะบั้นศีรษะโดยไม่รู้ตัว แม้มารกระบี่จะอยู่เพียงขอบเขตราชายุทธ์เท่านั้น…”

    ทุกคนในห้องแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ราชายุทธ์ สังหาร จักรพรรดิยุทธ์ เนี่ยนะ บ้าไปแล้ว!!

     

       เพียงชั่วพริบตาภายในห้องศึกษาก็อัดแน่นไปด้วยคลื่นอารมณ์ ราวกับดินระเบิดที่อัดแน่นพร้อมปะทุตลอดเวลา

    “เพียงชั่วข้ามคืน ข่าวที่ว่าตระกูลเหลียนถูกมารกระบี่ สังหารหมู่บุคคลระดับสูงจนสิ้น ทำให้ตระกูลเหลียนฮวาขึ้นเป็นใหญ่แทน ในตอนนั้นสร้างความหวาดกลัวและตกตะลึง ให้แก่ทุกคนในยุทธจักรเป็นอย่างมาก”

     

       “ด้วยความหวาดระแวง ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยามนั้นอย่าง เป่ยเซียน จากตระกูลเป่ย เป็นแกนนำเหล่าผู้แกร่งกล้าอีกสามคนที่เหลือ ไล่สังหารมารกระบี่หลายพันลี้ เหตุการณ์ครั้งนั้นท่านประมุขก็ได้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน”

    เมื่อทุกคนในห้องโดยเฉพาะไป๋เทียได้ยินว่าไป๋หยุนเฉินก็ได้เข้าร่วมด้วย ก็อดแสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจแทนอาจารย์ตนมิได้

     

       เมื่อบรรยากาศในห้องเริ่มพุ่งถึงขีดสุด อาวุโสเหลียงก็ยกน้ำชาดื่มดับกระหายก่อนจะเล่าต่อ

    “พวกเขาสับสังหารกันนับพันลี้ ตลอดหกวันห้าคืน เคล็ดวิชาน่าครั่นคร้ามสะท้านผืนดิน เขย่าท้องนภา ถูกแสดงออกมาจนสวรรค์เปลี่ยนสี ในรุ่งสางของวันที่หกมารกระบี่ก็จนมุมยังหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่ปัจจุบันเราเรียกว่าหุบเขาสำเร็จมาร เหล่าผู้แกร่งกล้าแลกชีวิตกับมารกระบี่ จนสามารถส่งร่างที่ไร้ชีวิตของอีกฝ่ายลงหุบเขา สี่ผู้แกร่งกล้าเองก็สาหัสเช่นกัน ตายหนึ่ง สาหัสหนึ่ง และ บาดเจ็บร้ายแรงสอง”

     

       ทุกคนในห้องแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่ออีกครั้ง นี้คือสิ่งที่ราชายุทธ์ทำได้หรือ?

    ต่อสู้กับจักรพรรดิยุทธ์ถึงสี่คนเป็นเวลาหกวัน แถมยังสามารถสังหารได้หนึ่งทำอีกหนึ่งบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อีกสองคนที่เหลือยังบาดเจ็บร้ายแรง 

     

       พูดได้แค่ว่า สมชื่ออย่างมารกระบี่ยิ่งนัก ทันใดนั้นอาวุโสเหลียงก็พูดต่อ “มีข่าวลือในยุทธจักรว่า จอมมารจากเขาร้อยอสูร ยื่นข้อเสนอให้ความช่วยเหลือมารกระบี่ แต่มารกระบี่ปฎิเสธแถมยังประลองฝีมือกันด้วย หากครั้งนั้นมารกระบี่ตอบรับ ข้าว่าเหล่าผู้แกร่งกล้าและประมุขของเรา คงอาจจะเป็นฝ่ายที่ดับสิ้นแทน”

    อาวุโสเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงพูดด้วยสีหน้าขบคิด พร้อมยกชาขึ้นดื่มปิดท้าย

     

       หลินมู่ที่นั่งฟังจนจบก็แสดงสีหน้าขบคิดเช่นกัน ว่ามารกระบี่คนนี้เป็นคนเช่นไร

    อย่างแรกคงเป็นพวกอารมณ์ร้อน จากช่วงต้นที่ลงมือสังหารประมุขตระกูลเหลียนเพียงเพราะอีกฝ่ายปฎิเสธที่จะค้าขาย

     

       อย่างที่สองคงเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีพอสมควร จากการปฎิเสธความช่วยเหลือจากจอมมาร หรือ การปฎิเสธการค้าของประมุขตระกูลเหลียน

    ซึ่งหลินมู่ฟังหูไว้หู เพราะอย่างไรเสียประวัติศาสตร์ก็เป็นผู้ชนะที่เขียนขึ้น

     

       จริงแท้แค่ไหนคงไม่อาจทราบได้ อาวุโสเหลียงพูดอีกสองสามประโยคก่อนจะจากไป 

    ก่อนจะออกจากห้องศึกษาอาวุโสเหลียงก็หันมาพูดว่า อีกไม่กี่วันพวกตนจะได้ออกไปเก็บประสบการณ์ที่หุบเขาสำเร็จมาร

     

       ทุกคนที่อยู่ในห้องเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ส่งเสียงดีอกดีใจอย่างมาก พวกเขาจะได้ออกไปข้างนอกบ้างเสียที

    ตลอดสัปดาห์คลุกตัวอยู่แต่หุบเขาเมฆา พวกเขาเบื่อจะตายแล้ว เมื่ออาวุโสเหลียงจากไปทุกคนก็เริ่มแยกย้าย

     

       หลินมู่เองก็ลุกขึ้นเตรียมจากไป แต่ตอนก้าวขาออกจากห้องเขาก็พบคนผู้นึงเข้า

    “อ้าวอ้าว นี้ไม่ใช่หลินมู่หรอเนี่ย ได้สวมถึงชุดคลุมไหมเมฆาแต่ตบะฝึกฝนกลับไม่ไม่พัฒนา เจ้าเตี้ยคิดว่าไง?”

     

       เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและดูถูก เขาสวมใส่ชุดคลุมสีฟ้ามาพร้อมกับลูกสมุนหนึ่งคน

    นี่คือไป๋หลานหลง บุตรชายคนเดียวของประมุขไป๋หยุนเฉิน บอกได้แค่ว่าน่าตกตะลึงแก่ขนาดนั้นยังทำบุตรสร้างทายาทได้อีก

     

       หลินมู่เองก็หมดคำจะพูดเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เจ้าเตี้ยที่ไป๋หลานหลงเรียกก็หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดขึ้น

    “ฮ่าฮ่านายน้อยก็พูดเกินไป ท่านหลินมู่อาจจะเก็บความลับอยู่ก็ได้” เจ้าเตี้ยตอบกลับ แม้จะเรียกว่าเจ้าเตี้ยแต่อีกฝ่ายกลับสูงเลยหนึ่งช่วงหัวของไป๋หลานหลง

     

       เรียกได้ว่าสวนทางกับชื่อเรียกอย่างสิ้นเชิง “เอ๋~ หลินมู่แกเก็บความลับอะไรไว้หรอ?” เป็นเจ้าเตี้ยอีกครั้งที่พูดด้วยน้ำเสียงคาดเดาไม่ได้

    “ความลับที่ว่าตนพรสวรรค์ในการฝึกฝนยาำแยาหย่างมากไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ไป๋หลานหลงที่ได้ยินก็หัวเราะชอบใจไม่ได้

     

       ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พอแล้วหลานหลง อาจารย์บอกนายมาพาข้าไปหาใช่ไหม” ไป๋เทียเดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำลายสถานการณ์น่าอึดอัดได้ทันที

    “ครับท่านพี่ไป๋เทีย ท่านพ่อให้ข้ามาตามท่านไปหา” ไป๋เทียพยักหน้าก่อนจะส่งสายตาประมาณว่านำทางไป ก่อนจะจากไปไป๋เทียหันมาพยักหน้าทักทายหลินมู่ หลินมู่ก็ทักทายกลับเช่นกันก่อนจะแยกกันไป

     

       หลินมู่ยืนอยู่หน้าห้องศึกษาสักพัก ก่อนจะม้วนตัวตรงไปยังโรงอาหารรวมเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง

    แล้วเขาจึงตรงกลับไปยังห้องตำราอีกครั้ง เมื่อนั่งลงเขาก็มองมือของตนเองอย่างขบคิด

     

       “ทำไมตบะลมปราณของเราถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยล่ะ….” ไม่ใช่แค่ไป๋หยุนเฉินที่ร้อนรน

    แม้แต่ตัวของหลินมู่เองก็เช่นกัน แม้เขาจะฝึกฝนวรยุทธ์ทุกวันกินสมุนไพรบำรุงที่ไป๋หยุนเฉินและตระกูลไป๋หาให้ โดยเฉพาะอาจารย์ของเขาอย่างไป๋หยุนเฉิน ที่เหมือนดูแลเขาเป็นพิเศษ

     

       ขนาดชุดคลุมสีฟ้าที่เขามารู้ภายหลังว่ามันคือชุดคลุมที่ถักจากไหมเมฆายังมอบให้ แม้จะถูกสนับสนุนมากขนาดนั้น

    ตบะของเขาก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพใดๆ เขายังคงเป็นหลินมู่เด็กมัธยมปลายจากโลกเช่นเคย 

     

       “มันเพราะอะไรกันแน่…” หลินมู่เริ่มศึกษาหาต้นเหตุที่ตนฝึกฝนไม่ได้อย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ทุกครั้งที่ฝึกฝนราวกับช่องลมปราณตีบตันไม่อาจไปต่อ

    หรือเขายังพยายามไม่พอ อาจจะเป็นไปได้ คิดได้เช่นนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องของตน

     

       เริ่มเก็บตัวฝึกฝนคนเดียวเงียบๆ ตอนนี้สถานะของเขาสุ่มเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะบนตัวมีเผือกร้อนอย่างชุดคลุมไหมเมฆา

    หากไป๋หยุนเฉินเห็นว่าเขาไร้ประโยชน์ อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา กับเขาที่ต้องทำให้ชุดไหมเมฆาไร้ประโยชน์ไปถึงสองตัว เขาต้องรีบทำให้สถานะของตนมั่นคง

     

       ไม่อาจทำเป็นไม่ยี่หระและเฉยเมยต่อได้แล้ว เขาต้องพยายามสุดความสามารถ อย่างน้อยเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆของตนเอง

    แม้จะถูกดูถูกก็ช่างมันปะไร ขอแค่มีชีวิตรอดแค่นั้นก็พอแล้ว สักวันเขาจะกลับไป! จะต้องกลับไปให้ได้!!

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×