ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #69 : ตอนที่ 69 ถามกระบี่กับตนเอง

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 65


       เมื่อตะวันสาดแสง เหล่าคนที่ถูกปล่อยให้นอนตากไอหนาวและน้ำค้าง ก็เริ่มได้สติลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตางุนงง แสดงสีหน้าราวกับว่านี่ตนตื่นจากฝันแล้วหรือ?

    ไม่นานนักบางส่วนก็พากันลุกขึ้นยืน เดินกลับไปยังห้องส่วนตัว หรือบางคนที่พักในห้องส่วนรวมก็เดินจากไป แต่ละคนกุมขมับของตนเองจากอาการเมาค้าง

     

       ชายหนุ่มสะพายกระบี่ในชุดคลุมเขียวอ่อนสวมเกี๋ยะ เดินมาตามเส้นทางที่ตนถามมาจากลูกเรือ เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูสักพัก เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขามาถูกชายหนุ่มก็เอื้อมมือเคาะประตูทันที

    ก็อก! ก็อก!! มีการตอบสนองจากด้านในเพียงเล็กน้อย ระหว่างรอคนมาเปิดประตู ชายหนุ่มก็แง้มตาขึ้นมาเล็กน้อย มองมือขวาที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ภายในแวงตาขบคิดการออกกระบี่ครั้งสุดท้ายเมื่อวันก่อน

     

       หลังจากได้รับข้อมูลจากการสนทนา กับภิกษุเฒ่าหลินมู่ก็กลับไปยังห้องส่วนตัว นั่งทบทวนการกระทำของตนเอง จากเหตุการณ์ต่อสู้เมื่อวาน

    หลังจากทบทวนได้ไม่นานเขาก็รู้สึกตะหงิดใจบางอย่าง จนสุดท้ายก็เลือกที่จะมาถามคำถามหนึ่งกับยอดฝีมือ ซึ่งยอดฝีมือนอกจากพระชราที่เขารู้จัก ก็มีเพียงเจียงซวีนั้นจึงเป็นสาเหตุทำให้เขามาที่นี้ เพราะเขาไม่ต้องการรบกวนพระชรา

     

       ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็น ห้องหรูราคาแพงที่มีขนาดกว้างขวาง ชายหนุ่มปิดตาลงอย่างรวดเร็ว หันไปสังเกตผู้มาเปิดประตู ผู้เดินมาเปิดประตูคือเด็กหนุ่ม อายุราว 15-16 ปี แต่งตัวดูดีมีชาติสกุล ภายในแววตาของเด็กหนุ่มแฝงไว้ด้วยความแปลกใจ ตกใจ และ สงสัย เขามองหลินมู่ที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความระแวงเล็กน้อย

     “เจ้าคงเป็นหลานหรือลูกชายของ สหายเฒ่าเจียงซวีกระมัง ขอรบกวนได้หรือไม่?” หลินมู่แสดงรอยยิ้มเป็นมิตรที่สุดพร้อมพูดขออนุญาติอย่างสุภาพ เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าชั่งใจสักพัก ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างยินดี “แน่นอน!! ท่านจะอยู่คุยกับท่านปู่ทั้งวันเลยก็ได้ พี่ชายเข้ามาก่อนสิ ข้าขอไปตามท่านปู่ก่อน"

     

       พูดจบอีกฝ่ายก็วิ่งหายไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งหลินมู่ให้ยืนอ้ำอึ้งอยู่หน้าประตูอย่างทำอะไรไม่ถูก ด้านในห้องมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของอีกฝ่าย คล้ายจะพยายามปลุกสหายเฒ่าให้มารับแขก

    ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้านในพร้อมปิดประตูตามหลัง เมื่อมาถึงห้องรับแขกเขาก็เดินไปนั่งยังเก้าอี้ ทำตัวเป็นแขกที่ดีรอเจ้าบ้านที่น่าจะยังไม่สร่างเมาออกมาต้อนรับ

     

       ใช้เวลาราวหนึ่งถ้วยชา ร่างที่คุ้นเคยในชุดคลุมขาวเปิดท่อนบน เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย “ข้าก็คิดว่าใคร เป็นเจ้านี่เองสหายน้อยรู้ตัวไหมว่า เจ้ารบกวนเวลานอนของข้า?”

    เจียงซวีเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม พร้อมฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาว “ขอโทษ ข้ามาโดยไม่บอกกล่าวเอง เดี๋ยวครั้งหน้าข้าจะวานให้ลูกเรือมาส่งข่าวสักเล็กน้อย ก่อนจะมาเคาะประตูห้องท่านละกัน”

     

       เจียงซวีตบขาตัวเองพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่ต่างอะไรจากตอนนี้เลยนะ หากเจ้าโผล่พรวดมาทันทีหลังจากลูกเรือคนนั้นแจ้งข่าวเสร็จ เจ้าหลานชายตัวน้อยของข้าที่ตกใจง่าย คงหัวใจเต้นเร็วราวกับกองสายฟ้า จะไม่ตกใจจนตายเลยรึไง ฮ่าฮ่าฮ่า”

    หลินมู่ยิ้มแย้มก่อนจะพูดขึ้นมา “ข้าก็กะจะทำเช่นนั้น” เจียงซวีที่ได้ยินก็ขำก๊ากอีกครั้ง “นานแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้มีสหายต่างวัยพูดคุยถูกคอเช่นนี้ สหายในวัยข้าเปลี่ยนกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์หมดแล้ว จะสังสรรค์ในวงเหล้าทีคิดแผนตลบหลังกันเป็นว่าเล่น ข้าล่ะหน่ายจริงๆ”

     

        หลินมู่สังเกตเจียงซวีผู้นี้อีกครั้ง แม้ภายนอกจะดูเป็นชายวัยกลางคน ที่มีอายุประมาณ 40-45 ปี แต่ความจริงแล้ว คงเฉียดร้อยปีได้กระมัง

    พวกเขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระสักพัก ก่อนเด็กหนุ่มจะเดินมาพร้อมถาดน้ำชา ส่งกลิ่นอายผ่อนคลายราวกับป่ายามวสันต์ฤดู ที่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมทั่วผืนป่า

     

       “สหายน้อยลองดื่มชาบุพผานี้ดูสิ เป็นชาขึ้นชื่อจากทางเหนือ ราคา 15 ตำลึงทอง ต่อ 1 จิน แต่นั้นสำหรับของปกติ แต่ชาที่ข้าใช้ต้อนรับเจ้าคือของชั้นสูง ราคา 50 ตำลึงทอง ต่อ 1 เหลียง เจ้าลองจิบดูสิ”

    หลินมู่ยิ้มพร้อมพูดขึ้นมา “คงเป็นบุญวาสนาของลิ้นข้าแล้วสิ” เจียงซวีฉีกยิ้มพร้อมรินชาให้อีกฝ่าย หลินมู่ยกถ้วยชาขึ้นมาแกว่งเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นมาจิบเล็กน้อย กลิ่นหอมละมุนของใบชาตลบอบอวลในช่องปาก

     

       ตามมาด้วยกลิ่นดอกไม้พร้อมทั้งรสชาติละมุน ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนชาชนิดอื่น “ดีมาก เหมือนข้ากำลังดื่มชาในวสันต์ฤดูเลย” เจียงซวีที่รินชาให้ตนเองก็ฉีกยิ้ม นี้เป็นใบชาที่เขาเก็บรักษาเป็นอย่างดี ยากจะเอาออกมาต้อนรับใคร

    การที่หลินมู่ได้ดื่มชานี้ ก็แสดงว่าเขามองอีกฝ่าย เป็นสหายคนหนึ่งในยุทธจักรที่ควรคบหา ไม่ใช่พวกผู้ฝึกฝนที่มักจะเจอหน้ากัรเพียงครั้งเดียวในยุทธจักรตลอดชีวิต 

     

       “เอาหล่ะสหายน้อย เจ้ามาหาข้าทำไม? หากมาเรื่องคำขอบคุณคงไม่ต้องกระมัง เพราะข้าเมามายจนคอพับไปแล้วเมื่อคืน….” เจียงซวีหรี่ตามองมาทางหลินมู่ 

    ดวงตาสีทองคู่นั้นมองสำรวจชายหนุ่มขึ้นลง พยายามจับจุดสังเกตบางอย่าง หลินมู่วางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบาแล้วจึงพูดขึ้นมา “ข้ามาถามกระบี่จากท่าน….” เจียงซวีมุมปากกระตุกถี่ยิบ ไม่ทันจะให้ชายหนุ่มพูดจบ อีกฝ่ายก็โพล่งออกมาทันที “บัดซบ!! เจ้ามาถามกระบี่กับผู้ใช้วิชาหมัดอย่างข้าเนี่ยนะ!!? เจ้าสมองฝ่อแล้วใช่หรือไม่?”

     

       เจียงซวีแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา ไม่ใช่ว่าสุราเมื่อคืนทำสมองอีกฝ่าย เหลวเป็นน้ำหมดแล้วนะ “ไม่ใช่ข้าไม่ได้หมายถึงถามกระบี่แบบนั้น ข้าจะมาถามสหายเฒ่าว่า การออกกระบี่ของข้าเป็นเช่นไร…”

    เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม สหายเฒ่าก็ยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง ก่อนจะแสดงท่าทีครุ่นคิดถึงภาพเมื่อวาน เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ก่อนจะพูดขึ้นมา “หากถามกระบี่ของเจ้าจากข้า….จะพูดไงดีล่ะ มันให้ความรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้จะดูไหลลื่นรวดเร็วฉับไวเด็ดขาด แต่ส่วนหนึ่งที่เจ้าแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็พร่ำบอกว่ามันไม่ใช่ มีเพียงตอนสุดท้ายที่เจ้าฝ่าการป้องกันของเจ้าปลานั้นได้ ข้าถึงรูัสึกว่านั้นแหละคือตัวเจ้า ไม่ว่าเจ้ายึดติดกับอะไรหรือสิ่งใดปล่อยมันไป…และเป็นตัวเจ้าในปัจจุบัน”

     

       หลินมู่ปิดปากเงียบก่อนจะลุกขึ้นยืน “ขอบคุณสหายเฒ่า ข้าได้รับคำตอบแล้ว ขอบคุณสำหรับชาชั้นดี” หลินมู่ยิ้มพร้อมป้องมือให้อีกฝ่าย แต่ก่อนจะจากไปเจียงซวีก็ห้ามเขาไว้ก่อน

    “อย่าพึ่งไปสิ ข้ามีของจะมอบให้เจ้าเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินหายไป สักพักก็กลับมาพร้อมตำราสีซีดอันหนึ่ง “นี้คือตำราฝึกกระบี่ที่ข้าเก็บได้เมื่อตอนยังเยาว์ มันไม่มีประโยชน์กับข้าฉะนั้นข้ามอบให้เจ้าจะดีกว่า”

     

       หลินมู่เอื้อมมือไปรับตำรากระบี่มา พร้อมกับแสดงรอยยิ้มก่อนจะพูดติดตลกออกมา “สหายเฒ่าเจ้าคงไม้รู้ว่าข้าเป็นคนตาบอด ข้าจะอ่านตำราอย่างไร” เจียงซวีที่ได้ยินเช่นนั้นก็เดาะลิ้น “บัดซบ หากเจ้าเป็นคนตาบอด แล้วฝึกกระบี่โดยไม่มีคนอ่านตำราให้ฟัง จนมาถึงระดับนี้ข้าคงพูดได้อย่างกระดากปากว่า โอ้ นี่ข้ามีสุดยอดอัจฉริยะกระบี่ เป็นสหายในยุทธจักร ช่างยอดเยี่ยม~ งี้หรอ? เรื่องเจ้าตาบอดโทษทีข้าไม่เชื่อ”

    หลินมู่หัวเราะแห้งแล้วพูดขึ้นมา “ข้าไม่มีอะไรจะมอบให้ท่านเลยนะ” เจียงซวีที่ได้ยินก็ยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร ข้ามอบให้เจ้าไม่ได้ต้องการของตอบแทนแต่แรก แต่ขอให้เจ้ามาร่ำสุรากับข้าเมื่อเจ้าไปแวะทางเหนือสักครั้…”

     

       ยังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ดังลอดออกมา “ท่านปู่!! ท่านพ่อบอกว่าท่านควรดื่มให้น้อยลงหน่อย!! ข้าถูกท่านพ่อเตือนให้ดูแลเรื่องการดื่มของท่านมา เมื่อคืนจ้าอนุโลมให้เฉยๆหรอกนะ!!"

    เจียงซวีคล้ายคันมืออยากตีหลานชายตนสักป้าบ หลินมู่ที่เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ น่าจะชะตาเกือบขาดแล้ว ก็บอกลาปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการเรื่องในครอบครัวไป 

     

       เมื่อออกมาเดินตามทางเดิน ชายหนุ่มก็สอดแขนไว้ในแขนเสื้อเดินไปตามทางเดิน ภายในหัวจบคิดถึงคำพูดของสหายเฒ่า ‘ไม่ว่าเจ้ายึดติดกับอะไรหรือสิ่งใดปล่อยมันไป…และเป็นตัวเจ้าในปัจจุบัน’ ส่วนตำราเล่มนั้นเขาเก็บไว้ในถุงเฉียนคุนอย่างดี

    ร่างในชุดคลุมเขียวอ่อนยืนนิ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองเงาสะท้อนตนเองบนผิวน้ำ “ด่านมหามรรคาแรกของข้า คือ กลัวจะแข็งแกร่ง ด่านครั้งนี้คงจะเป็น ที่ข้ายึดติดสินะ….” หลินมู่พึมพำแผ่วเบา

     

       เปิดตามองเงาสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำ ดวงตาสีหมึกที่มีประกายระยิบระยับ เสมือนท้องฟ้ายามรัตติกาลที่อัดแน่นด้วยหมู่ดาว สายตาทั้งสองสอดประสานกันและกัน

    ทำให้รอบข้างคล้ายหยุดนิ่ง ด่านมหามรรคา แรกเริ่มเดิมทีผู้ฝึกตนจะต้องเจอกันทุกคน มากน้อยยากง่ายต่างกันไปตามบุคคล แต่คนที่เจอการเคาะด่านสองครั้งติด ในปฐพีที่ 1 นี้ไม่ใช่เรื่องปกติ

     

       ยิ่งด่านในมหามรรคามีเยอะ ก็แสดงว่าผู้ฝึกตนผู้นั้นมีเรื่องทางโลกมากมาย โดยส่วนใหญ่แล้วการเคาะด่านจะไปอยู่ที่ปฐพีที่ 2 มีบ้างที่จะมีคนเคาะด่านตอนอยู่ ปฐพีที่ 1

    การเคาะด่านเปลี่ยนชีวิตจริงๆ จะอยู่ที่ปฐพีที่ 3 ตอนจะก้าวเป็น นภาที่ 1 ทุกด่านคือการถามใจของผู้ฝึกตน พวกเขาจะทำเช่นไร จะตัดทิ้งเก็บไว้หรือไม่สนใจ ขึ้นอยู่กับทางเลือกของพวกเขา มหามรรคายาวไกลแต่จะเดินไปถึงไหนก็อยู่ที่ตัวของผู้ฝึกตน

     

       สำหรับหลินมู่ที่เจอกับการเคาะด่านสองครั้งติด ก็เป็นเรื่องหนักใจและยากจะผ่านไปได้ เขายังต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพื่อปรับตัวกับการเคาะด่านครั้งแรกเสร็จ จึงหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขา จะต้องหยุดนิ่งอีกสักพัก

    ใช่เขายึดติดกับตนเอง เขาละทิ้งความกลัวที่จะแข็งแกร่งไปแล้ว แต่เขาหวั่นว่าตนเองจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หลินมู่ที่ครอบครัวตนเองรู้จัก

     

       “มหามรรคายาวไกล แต่ความชื่อตรงต่อกระบี่ของข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง…” ชายหนุ่มพึมพำเสร็จก็เอื้อมมือไปกุมด้ามกระบี่ กระโดดออกไปก่อนจะออกกระบี่ 

    มีเรื่องทุกใจใช้กระบี่ตัดมันทิ้งก็สิ้นเรื่อง เขาจะใช้การออกกระบี่เพื่อถามใจตนเอง จนกว่าจะถามใจตนเองแล้วไม่เสียใจ นั้นแหละคือคำตอบ ร่างในชุดคลุมเขียวอ่อนกระโดดไปตามโขดหิน ทุกการฟันกระบี่ออกไป เขาจะถามใจตนเอง หากยังเสียใจก็ออกกระบี่ต่อไป จนกว่าใจตนจะไม่เสียใจ จนกว่าเขาจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×