ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #68 : ตอนที่ 68 ศาสนา

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 65


       พระชราจีวรขาวใช้ดวงตาสีฟ้าสดใส มองหนึ่งหนุ่มและหนึ่งแก่ด้วยความตั้งใจ ทั้งสองยังคงจ้องมองหน้ากันและกันภายในอ้อมแขนมีไหสุราที่ว่างเปล่า

    “สหายเฒ่า….ท่านยอมรับ……..คำขอบคุณของข้าได้…..ร้าวววว” ชายหนุ่มกึ่งเมากึ่งหมดสภาพ ใช้ตะเกียบคีบเม็ดถั่วคลุกเกลือใส่ปากอย่างทุลักทุเล แต่ถึงกระนั้นทุกคำพูดกลับยังชัดถ้อยชัดคำ

     

       ต่างจากฝ่ายตรงข้ามที่แทบคงสติไม่อยู่ ออกเสียงได้แค่ว่า 'เปรี้ยง' คล้ายเป็นการเลียนเสียงสายฟ้าฟาดของตนเอง

    “เปรี้ยง…เปรี้ยงเปรี้ยง…..” สิ้นเสียงเจียงซวีก็หน้าฟุบลงบนโต๊ะ หัวเราะฮึฮึด้วยน้ำเสียงสยองขวัญ แล้วหลับไปเพราะฤทธิ์สุรา “สหายเฒ่าท่านว่าไรนะ….” พระชราแทบกุมขมับสถานการณ์ตอนนี้ คล้ายเป็ดกับไก่คุยกันก็มิปาน

     

       ชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวอ่อนยังไม่ทันพูดจบประโยค ก็หน้าฟุบลงบนโต๊ะตามไปพร้อมกรนเสียงดัง ไม่หลงเหลือเสียงพูดคุยใดๆ_ เพราะน็อคไปแล้วไม่มีสติหลงเหลือมาพูดคุยใดๆกับใครอีก

    “ครอกกกกกกกก!!!” เพียงไม่กี่อึดใจเสียงกรนดังสนั่น เสมือนมีอัสนีกัมปนาทฟาดผ่าลงมาก็ดังขึ้น ต้นตอคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายวัยกลางคนที่นอนไปแล้วก่อนหน้านี้

     

       “อามิตตาพุทธ….” พระชราพนมมือพูดอามิตตาพุทธเสร็จ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะจัดเลี้ยงเดินผ่านร่างที่หมดสภาพมากมาย กลับไปท่องพระธรรมภายในห้องของตน

    ทิ้งซากอารยธรรมไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้พวกลูกเรือที่ไม่รู้ถูกฉีดเลือดไก่มาหรือเปล่า วิ่งมาเก็บกวาดสภาพอันเละเทะในครั้งนี้ บางส่วนก็แบกร่างของเหล่าจอมยุทธ์และยอดฝีมือที่จ่ายเงินสูงๆ กลับไปส่งถึงห้องนอน

     

       หากมีญาติพี่น้องพวกเขาก็จะปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการต่อ เจียงซวีต้องใช้ลูกเรือหลายสิบคน แบกกลับไปยังห้องส่วนตัว เมื่อไปถึงหน้าห้องพัก ก็มีชายหนุ่มอายุราวๆ 15-16 ปี เดินออกมารับช่วงต่อ

    ทางด้านหลินมู่ก็ยังคงเป็นลูกเรือหนุ่มผู้นั้นที่มารับผิดชอบ เขาแบกร่างของชายหนุ่มที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราเลิศรส กลับไปยังห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย เมื่อร่างนั้นถึงเตียงลูกเรือหนุ่มก็กลับออกไป จัดการซากอารยธรรมที่เหลือ

     

       ส่วนคนที่เหลือก็ปล่อยนอนเกลื่อนกลาดที่ดาดฟ้านั้นแหละ พวกเขาไม่มีกงการอะไรจะไปบริการถึงขั้นนั้น

    เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หลินมู่พึ่งได้สติลุกขึ้นนั่งตอนกลางดึก ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกอย่างหนัก นี้เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มจนเมามายหัวราน้ำเช่นนี้ 

     

       ชายหนุ่มนวดขมับตนเองเพื่อลดอาการปวดศีรษะ เมื่อสำรวจรอบตัวก็พบว่าเขากลับมา ยังห้องส่วนตัวบนเรือโดยสารแล้ว “อืม บริการดีจริงๆ” หลินมู่เดินไปยังโต๊ะที่มีของกองสุมกันเป็นภูเขา

    ทั้งของของเขาและของขวัญแทนคำขอบคุณ จากกัปตันเรือและผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งหลินมู่ก็รับมาพร้อมรอยยิ้มถึงใบหู กล้าให้เขาก็กล้ารับ ค้นไปค้นมาเขาก็เจอกับถุงเฉียนคุนเจ้าเก่า

     

       ที่ถูกกล่องไม้หอมราคาแพงมากมายทับจนบี้แบน เขาล่ะเวทนาเจ้าสมบัติวิเศษชิ้นนี้จริงๆ ไม่เพียงมีรูปร่างแบบถุงเก่าๆขาดๆที่หาได้ทั่วไป แต่ยังถูกของอย่างอื่นทับจนแบนแต๊ดแต๋จนเกือบเป็นแพนเค้กอยู่แล้ว

    ชายหนุ่มนำถุงเฉียนคุนมาห้อยไว้ข้างตัว ก่อนจะค้นหาของอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็พบกับตงหยูและเฮ่ยซาน หลินมู่นั่งลงบนพื้น ขณะล้วงมือหยิบขวดน้ำมันบำรุงอาวุธ พร้อมผ้าออกมาเช็ดถูกระบี่ทั้งสอง ศิษย์พี่ของตนยังตกอยู่ในห้วงนิทรา แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับตนไม่ทางตรงหรือทางอ้อม

     

       แต่เขาคิดว่าศิษย์พี่หลัวไม่ได้คิดร้ายกับตน อีกฝ่ายแค่มีเรื่องต้องคิดเขาไม่อยากใช้สายตาคนถ่อย มองศิษย์พี่ที่ไว้ใจตนผิด ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ไม่ยากและไม่ง่าย

    กลับกันการทำลายความสัมพันธ์นั้นง่ายดาย มันทั้งเปราะบาง และ แตกหักง่ายเสียยิ่งกว่าแก้ว หากไม่ถึงที่สุดเขาก็ยัฝจะเชื่อว่าศิษย์พี่ของตนนั้นเป็นคนดี 

     

       ใช้เวลาสักพักเขาก็ทำความสะอาดกระบี่ทั้งสองเสร็จ ชายหนุ่มเก็บกระบี่เข้าฝักพร้อมกับเก็บของเข้าถุงเฉียนคุน เขาหยิบกำไลทองเหลือง มาสวมไว้ที่ข้อมือข้อเท้าเช่นเดิม แล้วจึงเปิดประตูเดินออกไปนอกห้อง

    เดินไปตามทางเดินที่มืดสลัว มีแสงเทียนเล็กน้อยตามทางเป็นเพื่อน เมื่อมาถึงดาดฟ้าเรือ ก็พบกับเหล่าจอมยุทธ์บางส่วน ที่ถูกปล่อยให้นอนตากไอหนาวอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มยิ้มแห้งก่อนจะไปยืนยังจุดที่ไร้ผู้คน

     

       มองดวงจันทร์ทั้งสามดวงที่เกือบจะลับขอบฟ้าไปแล้ว “อามิตตาพุทธ…” เสียงของพระชราดังขึ้นดึงความสนใจ ของหลินมู่ให้หันไปหาอีกฝ่าย “คารวะไต้ซือ…” 

    พระชราที่ได้ยินคำพูดที่ให้เกียรติตนมาก ก็ยิ้มน้อยๆพร้อมกับพนมมือ “อามิตตาพุทธ ประสกจะเรียกอาตมาเช่นไรมิสำคัญ สำคัญที่ว่าประสกแสวงหาสิ่งใด แรกเริ่มเดิมทีอาตมาก็ไม่ได้มีความสามารถ หรือ อภินิหาร จนสามารถถูกเรียกว่าไต้ซือได้ ประสกโปรดเรียกอาตมาตามใจประสกเถิด”

     

       หลินมู่ป้องหมัดขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นผู้น้อยขอเรียกท่านว่า ภิกษุเฒ่า จะได้หรือไม่?” พระชรายิ้มประมาณว่า จะเรียกอาตมาเช่นไรขึ้นอยู่กับประสกเลย

    หลินมู่ที่ได้รับการยืนยันจากสายตา ก็ป้องหมัดเป็นการขอบคุณอีกครั้ง “ประสก คล้ายมีเรื่องคาใจโปรดพูด…” หลินมู่แสดงสีหน้าตกตะลึงก่อนจะเปลี่ยนกลับมานิ่งสงบ เขานิ่งเงียบขบคิดถ้อยคำให้ละเอียดถี่ถ้วน

     

       โดยด้านข้างมีพระชรายืนเคียงข้าง อย่างไม่รีบร้อนใช้ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง มองดวงจันทร์ทั้งสามดวงที่ค่อยๆลับขอบฟ้าจากไป จนในที่สุดเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา

    “ภิกษุเฒ่า ข้ามีเรื่องสงสัยเหตุใด….” หลินมู่ยังไม่ทันพูดจบ พระชราก็หันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นมา “ประสก คงจะถามอาตมา ว่าเหตุใดที่แห่งนี้มีพุทธศาสนากระมัง?” หลินมู่พยักหน้าเป็นคำตอบ

     

       บรรยากาศตกลงสู่ความเงียบงัน พระชราทำสีหน้าขบคิดคล้ายคิดบางสิ่งอยู่ พักสักเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ช้าไม่เร็ว อธิบายต้นกำเนิดให้หลินมู่ฟังเท่าที่พระชรา ทราบมาจากคัมภีร์พุทธศาสนา

    หลินมู่ทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดี รับฟังอย่างไม่ตกหล่นสักคำ จนพอจะปะติดปะต่อความจริงบางส่วนขึ้นมา แม้พุทธศาสนาจะอยู่ที่นี้มาแล้วพันปี แต่ก็ไม่ได้โด่งดังหรือรู้จักอย่างแพร่หลาย

     

       มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นับถือ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนทางตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นที่ตั้งของวัดแห่งเดียวในทวีปนี้ “อาตมาหวังไว้ว่า สักวันจะได้ไปเยือนมหาทวีปไคหมิง ที่ถูกบันทึกอยู่ภายในตำราเก่าแก่ ที่ว่ากันว่าพุทธศาสนาเฟื่องฟูจนขีดสุด” 

    พระชราหลับตาลงคล้ายพยายามจินตนาการ ภาพของมหาทวีปไคหมิง ที่ตรงตามจินตนาการของตนมากที่สุด “การที่ประสกรู้ว่าอาตมาบำเพ็ญสายพุทธศาสนา ประสกคงไม่ใช่ผู้คนของทวีปแห่งนี้กระมัง…”

     

       หลินมู่พยักหน้าก่อนจะตอบไปอย่างแผ่วเบา “ข้ามีความเกี่ยวข้องเล็กน้อย กับมหาทวีปเจี้ยน…” ชายหนุ่มพูดถึงตรงนี้ก็ปิดปากลงไม่พูดสิ่งใดอีก พระชราก็ไม่ถามซักไซ้ต่อเพียงยืนนิ่งๆ หันหลังไปมองแสงแรกที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า

    ชายหนุ่มกำลังขบคิดบางอย่าง ในเมื่อที่แห่งนี้มีศาสนาแล้วมันควรจะมีศาสนาอื่นหรือไม่? คล้ายพระชราสามารถอ่านความคิดของชายหนุ่มได้ เขาเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ตั้งใจ

     

       “นอกจากพุทธศาสนาในทวีปนี้ มีสี่อย่างที่คนทั่วไปที่นี้นับถือ ต้นหลิวบรรพต เง็กเซียนฮ่องเต้ เทพบนสวรรค์ชั้นฟ้า และ องค์เทียนโฮว… ในคัมภีร์โบราณมีการกล่าวไว้เล็กน้อย ว่าด้านนอกทวีปนอกจากพุทธศาสนาแล้ว ยังมี ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า รวมถึง เทพบนสวรรค์ชั้นฟ้า และ องค์เทียนโฮว ที่ผู้คนนับถือบูชา….”

    พึมพำจบพระชราก็เดินจากไปทิ้งให้หลินมู่ ยืนรับแสงตะวันแรกเพียงคนเดียว ชายหนุ่มยิ้มแห้งเหมือนที่แห่งนี้ไม่ง่ายอย่างที่ตนคิด พิภพสุสานเทพเจ้า มีมหาทวีปทั้ง 9

     

       ในมหาทวีปทั้ง 9 มีหนึ่งเป็นของเซียนกระบี่ แสดงว่าสายอื่นๆต้องครอบครองมหาทวีป 1 แห่ง มหาทวีปไคหมิงคือพุทธศาสนา มหาทวีปซีซีที่ศิษย์พี่เคยพูดออกมา น่าจะเป็นของขงจื๊อ

    ยังเหลือเต๋าแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ เพราะอย่างไรก็ต้องเป็นหนึ่งในมหาทวีป อีก 6 ทวีปที่เหลือ จนตะวันสาดแสงบนร่างชายหนุ่มจึงม้วนตัว เดินจากไป….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×