ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #64 : ตอนที่ 64 เลี่ยงไม่ได้

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 65


       ชายหนุ่มชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไร้ชีวิตภายในห้องบนเรือ เขาหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นจังหวะช้าเร็ว ตามแบบฉบับของเคล็ดกำหนดจิตกระบี่ของนิกายเจี้ยนเสินเฟิง

    บรรยากาศบนเรือค่อนข้างเงียบเหงา จากที่ได้ถามพวกลูกเรือมาเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าหากเป็นยามปกติ คนที่ขึ้นเรือโดยสารข้ามภูมิภาค จะมีเยอะมากกว่านี้ และ ดูมีชีวิตชีวา ไม่ใช่เงียบเหงาดุจเรือผีสิงเช่นนี้

     

       แม้บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีผู้ฝึกวรยุทธ์เดินทางไกลเท่าไหร่ แต่เหมือนคำพูดนี้จะใช้ไม่ได้ผล กับพวกมั่นใจในตบะของตนเอง 

    เพราะระหว่างทางที่เขาออกไปด้านนอก ก่อนจะกลับมายังห้องส่วนตัว เขาก็พบยอดยุทธ์ที่ตบะค่อนข้างลึกล้ำแล้วสองถึงสามคน มีจอมยุทธ์ที่มีตบะสูงส่งอยู่จำนวนหนึ่ง

     

       แถมสภาพของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนคนที่จะขึ้นเรือเดินทางไกล เหมือนมาสละชีพเสียมากกว่า ทั้งตื่นตัววิตกกังวลมากครบทุกรูปแบบ ผิดกับตนก่อนขึ้นเรือลิบลับ

    แต่ก็มีข้อดีเล็กน้อยเช่นกัน อย่างแรกคงเป็นเรื่องเสียงที่เงียบสงบอย่างมาก แม้หลินมู่จะไม่เคยขึ้นเรือโดยสารในสภาพปกติ ที่มีคนเดินไปมาบนเรือไม่ขาดสาย แต่เขาเดาได้เลยว่ามันต้องวุ่นวายมากแน่ๆ

     

       สาเหตุที่สงบเช่นนี้คงไม่พ้นอสูรปลาตัวนั้น ไม่มีใครอยากไปแหย่รังแตนหรอก หากมันเกิดรำคาญเสียงพวกตนที่อยู่บนเรือขึ้นมา นั้นคงเป็นจุดจบแล้วกระมัง

    แถมเรือก็แล่นออกมาจากท่าค่อนข้างไกลพอสมควร สำหรับยอดยุทธ์ขึ้นไประยะเท่านี้คงไม่เป็นอุปสรรค ถ้าหากจะใช้วิชาตัวเบาเพื่อกลับไปยังท่าเรือ

     

       แต่สำหรับจอมยุทธ์บางส่วนที่อยู่บนเรือแล้ว คงเป็นเรื่องยากหากจะกลับไปยังท่าเรือ พวกเขาจึงสงบปากสงบคำแม้แต่เสียงพูดคุยกันเองยังแผ่วเบาอย่างมาก

    แม้แต่กัปตันเรือยังถูกบรรยากาศบนเรือ ทำให้ปิดปากแน่นไม่ยอมพูดออกมาแม้คำเดียว ภายในใจหวังให้ผ่านไปถึงแม่น้ำทางตะวันตกโดยไม่ไปกระตุ้นเจ้าปลาตัวนั้น ภายในหัวสวดภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในชีวิตที่เขาไม่เคยสวดภาวนามาก่อน

     

       หลินมู่ที่ฝึกฝนอยู่ภายในห้องส่วนตัว ก็ขมวดคิ้วแน่นไม่มีกระจิตกระใจ มานั่งขัดเกลาจิตกระบี่อีกแล้ว ตั้งแต่เรือเริ่มแล่นออกจากท่า สัญชาตญาณของเขาก็ร้องเตือนบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเปิดประตู หวังจะออกไปสูดอากาศเล็กน้อย 

    ด้านนอกทางเดินมีเพียงความว่างเปล่า แม้แต่ลูกเรือสักคนก็ยังไม่มีให้เห็น ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ ก้าวเดินอย่างแผ่นเบาไปตามทางเดิน เพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ หวังสูดอากาศเพื่อกลบความตื่นตัวที่อยู่ภายในใจ

     

       เมื่อขึ้นมายังดาดฟ้าเรือ ชายหนุ่มก็สูดอากาศไปฟอดใหญ่ แล้วจึงหันไปสนใจบริเวณโดยรอบ บนดาดฟ้าเรือมีบริเวณกว้างขวางกลับว่างเปล่าไร้วี่แววผู้คน

    แต่ก็ไม่ได้ไร้ผู้คนเสียทีเดียว ยังคงมีอีก 2 คน ที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ คนแรกคือ ผู้ฝึกวรยุทธ์ร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมสีฟ้าสดใส ปักลวดลายสายฟ้าสีทองละลานตา ผมสีดำยาวราว ไว้หนวดเคราใบหน้าค่อนข้างดุดัน คาดเดาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว อีกฝ่ายน่าจะมีอายุราวช่วง 40 ถึง 45 ปี

     

       เขาใช้สายตาจ้องมองผิวน้ำทางกราบเรือซ้าย ดวงตาสีทองคมกริบ เสมือนนกนักล่ากำลังตื่นตัวสุดขีด กำปั้นทั้งสองข้างกำแน่น ลมปราณเริ่มหมุนวนรอบตัวอย่างไร้รูปแบบ บนตัวไม่พกอาวุธใดๆเลย

    คาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ใช้วิชาหมัดหรือฝ่ามือ อีกคนที่ยืนอยู่ค่อนข้างทำให้ชายหนุ่มแปลกใจพอสมควร 

     

       ที่ยืนคู่กับอีกฝ่ายคือ พระหัวล้านเกลี้ยงเกลา ใช่นั้นคือพระไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีพระอยู่ในทวีปนี้ด้วย ในทวีปที่วัดกันเรื่องความแข็งแกร่งเพียวๆ ที่เรื่องเวรกรรมไม่เคยอยู่ในสายตาเนี่ยนะ?

    อีกฝ่ายเป็นพระชราตัวค่อนข้างสูง หลังค่อมมาข้างหน้าเล็กน้อย มือข้างขวาถือสร้อยลูกประคำ มือข้างซ้ายยกขึ้นเสมือนพนมมือข้างเดียว สวมจีวรขาวดูสะอาดตาทำปากขมุบขมิบ คล้ายจะกำลังสวดบางสิ่ง ดวงตาใสกระจ่างราวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส จ้องมองไปทางผิวน้ำเช่นกัน

     

       เป็นจังหวะเดียวกันที่หลินมู่สำรวจอีกฝ่ายเสร็จ ในตอนแรกที่ทั้งสองให้ความสนใจทางกราบเรือซ้าย ก็หันมามองหลินมู่อย่างพร้อมเพรียง

    เกิดเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างทั้งสาม แต่ก็คงอยู่ไม่นานนักหลินมู่ทำลายบรรยากาศนี้ลง โดยการป้องหมัดให้อาวุโสทั้งสอง 

     

       ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมฟ้าพยักหน้า แล้วจึงหันไปสนใจทางกราบเรืออีกครั้ง พระชราในจีวรขาวยกยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “อามิตตาพุทธ…”

    แม้เสียงจะแผ่วเบาแต่กลับดังชัดเจน ราวกับพระชราจีวรขาวผู้นั้น มาพูดอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม สิ้นเสียงของพระชราก็หันไปสนใจกราบเรือทางด้านซ้ายเช่นเดิม

     

       แรกเริ่มเดิมทีชายหนุ่มแค่จะออกมาสูดอากาศ กะจะย้อนกลับไปนั่งในห้องของตน แต่ไม่รู้อะไรดลบันดาลใจให้เขาหันไปสนใจทางกราบเรือซ้ายเช่นเดียวกับทั้งสอง

    มันมีเพียงผิวน้ำที่เงียบสงบสุดลูกหูลูกตา แต่ภายในใจลึกๆกลับเตือนว่ามันไม่ปกติ ถึงจะไม่เห็นอะไรเลย ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วแน่นจนแทบผูกกันเป็นปม 

     

       ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มที่รู้สึกถึงความแปลกประหลาด ทั้งสองที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน นอกจากพอจะรับรู้ทิศทางเล็กน้อยแล้ว นอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีกเลย

    อาจจะเป็นอสูรปลาตัวนั้นที่อยู่ใต้ผิวน้ำก็ได้ แม้นี้จะเป็นฤดูเหมันต์แต่ทะเลสาบกลับ ไม่จับตัวกันกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง แค่นั้นว่าแปลกประหลาดแล้ว แต่ปลาที่ควรเป็นสัตว์เลือดเย็น

     

       ในอากาศเช่นนี้กิจกรรมของมันควรจะน้อยถึงน้อยมากสิ แม้สัญชาตญาณลึกๆจะเตือนว่าอันตราย แต่กลับไม่สามารถระบุได้เลยว่าอันตรายที่ว่ามันจะมาตอนไหน

    นอกจากจะคาดเดาว่าเป็นอสูรปลาตัวนั้น ทุกอย่างก็ดูสงบดีไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่า เจ้าปลาตัวนั้นอยู่แถวนี้หรือมันกำลังแฝงตัวอยู่กับคลื่นน้ำกันแน่ แม้มุมมองของหลินมู่จะค่อนข้างพิเศษ แต่การจะให้หาสิ่งแปลกประหลาดภายใต้ผิวน้ำนี้ก็ยังค่อนข้างยากพอสมควร

     

       “มาแล้ว!!” ตู้ม!! สิ้นเสียงของชายวัยกลางสวมชุดคลุมฟ้า ร่างอันใหญ่โตพุ่งตรงขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบ จนผิวน้ำระเบิดออกน้ำสาดกระจาย มาพร้อมร่างอันใหญ่โตที่พุ่งขึ้นมาจากน้ำ โดดข้ามตัวเรือโดยสารไปอย่างน่าอัศจรรย์ ขนาดตัวของมันใหญ่เกือบสองเท่าของตัวเรือ

    เกล็ดสีขาวสลับแดงเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์ ดวงตาสีมรกตจับจ้องมายังร่างเล็กๆบนดาดฟ้าเรือ อัดแน่นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่หาสาเหตุไม่ได้ มันทิ้งร่างลงยังอีกฝากฝั่งของเรือ ทำให้เรือสั่นสะเทือนอีกครั้ง

     

       สะเก็ดน้ำแตกกระจายตัวเรือโอนเอน คล้ายจะอับปางลงตรงนี้ “อามิตตาพุทธ เหมือนจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ” พระชราจีวรขาวพูดด้วยน้ำเสียงท้อใจ

    “เจ้าเฒ่า บ่นไปก็ไม่ช่วยให้เรารอดจากเจ้าปลานั้นหรอก เตรียมสู้ได้แล้ว!!” ชายวัยกลางคนคำรามเสียงดังสนั่น ราวกับอัสนีกัมปนาท เขาดีดตัวขึ้นไปบนอากาศ กำหมัดแน่นทิ้งตัวเข้าใส่เงาใต้ผิวน้ำ ที่พึ่งกลับตัวพุ่งขึ้นมา

     

       “ลองชิมหมัดอัสนีของข้าหน่อยเป็นไง!!” เขาคำรามอย่างดุร้าย พร้อมกับเกิดประกายสายฟ้าอัดแน่นที่กำปั้น ปัง!! หมัดอัสนีของชายวัยกลางคน

    ชกลงบนผิวน้ำจนทำให้มันระเบิดออก เสียงอัสนีกัมปนาทดั่งสนั่นไปทั่วบริเวณ สร้างคลื่นน้ำสูงหลายสิบเมตร กระจายออกไปจากจุดศูนย์กลางที่เกิดการปะทะ “อามิตตาพุทธ…”

     

       พระชรายกมือข้างซ้ายขึ้นมา ก่อนจะกางมันออกแล้วกวาดออกไป บังเกิดเป็นฝ่ามือลมปราณยักษ์สีทองอร่าม ตบคลื่นจนแตกกระจายทำให้เรือรอดพ้นจากการอับปาง ร่างสวมชุดคลุมฟ้าร่อนลงบนดาดฟ้าเรือที่โคลงเคลง

    สีหน้ามืดทะมึนเสียยิ่งกว่าเก่า เดาจากสีหน้าหมัดเมื่อกี้คงไม่โดน หรืออาจจะโดนแต่ไม่เป็นดั่งหวัง “สหายน้อยที่สะพายกระบี่ตรงนั้นนะ ลงมือได้แล้วหากชักช้าเราจะได้เป็นอาหารปลาแน่!!”

     

       พูดเสร็จอีกฝ่ายก็กระโดดออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้บนตัวถูกห้อมล้อมไปด้วยสายฟ้าระยิบระยับ พุ่งเข้าหาเงาใต้ผิวน้ำนั้น “อามิตตาพุทธ…” พระชราช้อนมือขึ้นอากาศ สร้างฝ่ามือลมปราณขึ้นมาอีกครั้ง

    ครั้งนี้ฝ่ามือนั้นงัดตัวอสูรตัวนั้นขึ้นมาจากใต้น้ำ ทำให้มันลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะมีกำปั้นสายฟ้าที่ก่อตัวจากลมปราณต่อยให้มันลอยขึ้น หลินมู่ที่ถูกบอกให้ลงมือก็กระโดดขึ้นไป

     

       เอื้อมมือไปกุมด้ามของตงหยูเมื่อถึงระยะ กระบี่ก็ถูกดึงออกจากฝักจนเกิดเป็นแสงสว่างแสบตา บดบังวิสัยทัศน์ของสายตาทุกคู่ที่มองมา เพล้ง!!! คมกระบี่สัมผัสกับเกล็ดสีขาวสลับแดงของอีกฝ่าย

    ราวกับฟันใส่แผ่นเหล็กไม่ใช่ฟันใส่เกล็ดปลา ชายหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมกับดีดตัวกลับมายืนบนเรืออีกครั้ง “เหมือนจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแล้วสิ” หลินมู่พึมพำด้วยสีหน้าหนักใจ พระชราก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน “เดรัจฉานตัวนี้ เกล็ดของมันแข็งมาก อาจจะเกินขอบเขตที่อาตมา และ พวกประสก จะรับมือได้โดยไร้ความเสีย”

     

       ร่างในชุดคลุมฟ้าลงมายืนบนพื้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ หมัดลมปราณเมื่อกี้ยังไม่ทำให้มันสะทกสะท้านสักนิด

    อสูรตัวนั้นพลิกตัวกลางอากาศทิ้งตัวลงมาหวัง บนขยี้เรือโดยสารจากน้ำหนักตัวของมัน “บัดซบ!! คิดว่าข้าผู้อาวุโสกลัวเจ้ารึไง!?” พูดจบร่างในชุดคลุมฟ้าก็กระโดดขึ้นไป ใช้หมัดอัศนีต่อยเบี่ยงเส้นทางของมันไปทางอื่น ปัง!!! 

     

       แรงสะเทือนของการโจมตีนี้กระเทือนแก้วหู ของทุกสิ่งมีชีวิตบนเรือไม่เว้นแม้แต่สัตว์ใต้ท้องเรือ หรือ ปลาตัวเล็กตัวน้อยใต้ผิวน้ำ บางตัวเริ่มหมดสภาพเพราะผลกระทบของการต่อสู้ 

    ร่างใหญ่โตตกลงไปข้างเรือ สร้างคลื่นกระแทกจนเรือลอยออกไปไกล หลินมู่กุมกระบี่ในมือแน่นเตรียมออกกระบี่อีกครั้ง “เหมือนก่อนจะไปภาคกลาง ต้องผ่านไอ้ปลาคาร์ฟนี้ก่อนสินะ” ชายหนุ่มตั้งท่าเตรียมต่อสู้เต็มที่ ใช้สัมผัสพิเศษสำรวจบริเวณผิวน้ำ เตรียมตอบโต้การโจมตีสวนกลับ ไอ้ปลาคาร์ฟอารมณ์เสียตัวนั้น

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×