ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #61 : ตอนที่ 61 คลื่นใต้น้ำในยุทธจักร

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 65


       เวลาผ่านพ้นไปอีกวันกว่า กลุ่มเดินทางเฉพาะกิจอย่าง มือกระบี่ มือเกาทัณฑ์ และ ลาเทาลายด่าง ก็มาถึงยังจุดหมายปลายทาง อย่างเมื่อเหอตงอันเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด ทางทิศตะวันออก

    ที่มีเรือโดยสารหรือเรือการค้าเข้าออกท่าเรือไม่ขาดสาย ชายหนุ่มในชุดคลุมเทายืนมองไปด้านล่าง จากด้านบนของท่าเรือ ภายในหัวขบคิดอย่างประหลาดใจ

     

       ‘แม่น้ำและทะเลสาบ ของโลกแห่งนี้ใหญ่โตจนหน้าประหลาดใจ นี้ไม่ต่างอะไรจากทะเลเลยกระมัง…’ เขาใช้สายตาในมุมมองพิเศษของตน 

    มองไปยังทะเลสาบใหญ่โตสุดลูกหูลูกตา ราวกับเป็นน่านน้ำที่เชื่อมต่อไปยังทะเลด้านนอก “สหาย เจ้าชอบฟังเสียงคลื่นงั้นหรือ?” จ้าวมู่หยูที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างสงสัย

     

       ภายในมือมีผลไม้ตามฤดูกาล หลินมู่ส่ายหน้าก่อนจะเปิดปากพูด “ปล่าว แค่กำลังคิดบางอย่าง”

    พูดจบเขาก็จูงเจ้าซุยโก๋เดินไปตามถนนใหญ่ โดยมีมือเกาทัณฑ์เดินตามมา ระหว่างทางมีผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจรมากมาย หลายขอบเขต แค่จอมยุทธ์ก็เห็นได้ร่วมร้อยคนแล้ว

     

       แม้แต่ยอดยุทธ์หรือเจ้ายุทธ์ ที่หาตัวได้ยากยังสามารถพบเห็นได้ สองถึงสามคนระหว่างเดินอยู่บนถนนสายใหญ่ ไม่เสียชื่อเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเลย

    มีผู้ฝึกวรยุทธ์จากทั่วทวีป เดินชุกชุมกันไปมาเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว หลากภาษาประจำถิ่นดังไม่หยุด ราวกับที่แห่งนี้เป็นตลาดสดยามเช้าตรู่ก็มิปาน

     

       “สหาย เจ้าจะไปซื้อป้ายขึ้นเรือก่อน หรือ ไปโรงเตี๊ยมก่อน?” จ้าวมู่หยูถามขึ้นอย่างสงสัย พลางกัดและลิ้มรสผลไม้หวานฉ่ำภายในมือไปด้วย

    หลินมู่แสดงสีหน้าขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงพูดขึ้น “ไปซื้อป้ายก่อนดีกว่า เจ้านำทางไปเลยข้าไม่คุ้นทาง” จ้าวมู่หยูพยักหน้า ก่อนจะโยนผลไม้เข้าปากแล้วจึงเดินนำไป

     

       จนพวกเขามาหยุดอยู่หน้าอาคารหรูหราแห่งหนึ่ง ที่หน้าประตูใหญ่ติดป้ายตัวอักษรทองคำว่า'เซิงยี่ซิงหลง' 

    แค่ยืนอยู่ด้านนอกก็สัมผัสได้ถึง ความยิ่งใหญ่และร่ำรวยของที่นี่ได้ไม่ยาก ระหว่างทางมายังเมืองเหอตง หลินมู่ก็ได้ฟังจากปากของจ้าวมู่หยูอีกนิดหน่อย

     

       จนรู้ว่าเซิงยี่ซิงหลงคือหอการค้าที่ค่อนข้างมีอิทธิพล พวกเขากระจายตัวอยู่ทั่วทวีป โดยมีสำนักงานใหญ่ที่ทางทิศใต้ 

    มีตระกูลไป๋และตระกูลกู่คอยหนุนอยู่ หากจะหาเรื่องกับหอการค้านี้จริงๆ ก็แนะนำว่าอย่าหาเรื่องทางทิศตะวันออก หรือ ทิศใต้เด็ดขาด เพราะทั้งสองทิศนี้คืออาณาเขตของตระกูลมหาอำนาจ

     

       หากก่อเรื่องทางทิศอื่นอาจจะพอมีโอกาศรอดชีวิต แต่หากก่อเรื่องในทิศตะวันออก หรือ ทิศใต้ คนผู้นั้นก็จะโดนคนของสองตระกูลหมายหัว

    ต้องใช้ชีวิตหลบๆซ้อนๆ วันดีคืนดีก้าวขาไปยังอาณาเขตของตระกูลอื่น อาจจะถูกจับตัวส่งมาเพื่อใช้เพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล จึงไม่ค่อยมีใครอยากตอแยหอการค้านี้นัก

     

       ยกเว้น พรรคมาร และ เมืองหลิวบรรพต ที่มีศักดิ์และอำนาจเทียบเท่า กับเหล่าตระกูลมหาอำนาจ ขั้วอำนาจเหล่านี้คอยค้ำจุนยุทธจักรแห่งนี้ไปมา

    แต่ทุกคนในทวีปต่างรู้ดี ว่าอีกไม่นานพรรคมารก็จะสร้างเรื่องใหญ่โตขึ้นมาอีกครั้ง เหลือเพียงเวลาเท่านั้นที่ว่ามันจะปะทุขึ้นมาตอนไหน พรรคมารในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากถังดินระเบิด

     

       ที่จะหล่นใส่หัวขั้วอำนาจอื่นๆตอนไหนก็ได้ แม้แต่ตระกูลต้าเจียงที่ว่ากันว่า สามารถทำนายอนาคตได้ยังไม่อาจบอกได้ว่า กลียุคของทวีปที่พรรคมารจะก่อขึ้นจะมาถึงเมื่อใด

    พวกเขาจึงได้แต่เตรียมตัวและภาวนาว่า พรรคมารจะไม่ลงมือเร็วๆนี้ หากถามว่าเหตุใดห้าตระกูลและเมืองหลิวบรรพต ไม่ผนึกกำลังร่วมกันโค่นพรรคมาร ที่ตั้งอยู่บนภูเขาร้อยอสูร?

     

       คงพูดได้แค่ว่าพวกเขาหวาดกลัว หวาดกลัวผู้ปกครองภูเขาร้อยอสูรแห่งนั้น ไม่มีใครในยุทธจักรที่ไม่รู้จักเขา 'จอมมาร' ตัวตนที่มีอายุยืนยาวมากกว่า 600 ปี ก้าวข้ามอายุขัยของตำนานยุทธ์ไปอย่างสิ้นเชิง

    ลือกันว่าจอมมารผู้นั้นที่ปิดด่านอยู่บนเขาร้อยอสูร สามารถข้ามขอบเขตจนกลายเป็นตำนานยุทธ์ได้แล้ว จริงแท้แค่ไหนไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีหน้าไหนกล้าไปกระตุกหนวดเสือที่ถ้ำเสือ

     

       จนปัจจุบันกลายเป็นการคุมเชิงของสามฝ่าย พรรคมาร ห้าตระกูลมหาอำนาจ และ เมืองหลิวบรรพต เพียงมีการกระตุ้นเล็กๆน้อยๆ สงครามนองเลือดก็จะปะทุขึ้นทันที

    ยุทธจักรพักหลังมานี้จึงค่อนข้างตึงเครียด ต่างจากหลินมู่ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า ตนกำลังเดินอยู่บนกระดานหมาก ที่กำลังจะเกิดสงครามนองเลือดครั้งใหญ่ ที่แม้แต่ห้าตระกูลก็ยังมีโอกาสล้มสลาย หากประมาทอาจจะถึงคราวที่ฝ่ายมารครองทวีป

     

       แม้แต่เมืองหลิวก็ยังไม่สามารถทำเป็นเล่น กับเหตุการณ์นี้ได้ หากไม่ระวังต้นหลิวบรรพตที่ใจกลางเมือง อาจจะถูกโค่นลงมาเป็นอันสิ้นสุด เมืองแห่งช่างฝีมือไปโดนปริยาย 

    แม้นช่วงนี้จะไม่มีข่าวคราวของผู้ฝึกวรยุทธ์ฝ่ายมาร มากนัก หากไม่นับเรื่องที่พึ่งเกิด หรือ เรื่องที่ขุนพลมารก่อขึ้นเมื่อ 1 เดือนก่อน แต่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นที่ตั้งของภูเขาร้อยอสูร กลับมีการเคลื่อนไหวอยู่แทบตลอดเวลา จนทำให้ชายแดนที่มีเมืองของ ตระกูลต้าเจียง และ ตระกูลกู่ ต้องเพิ่มกำลังเฝ้าระวังขึ้นหลายต่อหลายเท่า

     

       ยังไม่นับเรื่องของตระกูลหยินหยาง ผู้ครองทางตะวันตกที่เกิดสงครามภายในทั้ง สายเหลียน และ สายเหลียนฮวา จนทำเอาชาวบ้านและข้ารับใช้อยู่ไม่เป็นสุข

    แม้แต่ตระกูลไป๋ยังพึ่งเกิดเรื่องใหญ่ อย่างประมุขตระกูลอย่างไป๋หยุนเฉิน ที่เกิดคลุ้มคลั่งสังหารอาวุโสใหญ่ตายไปตั้ง 1 คน นั้นเป็นการสูญเสียราชันย์ยุทธ์ ไปตั้ง 1 คนเลยนะ นั้นหมายความว่าฝ่ายธรรมะสูญเสียขุมกำลังระดับสูง ไปก่อนจะเกิดกลียุคเสียอีก แถมเขายังเกือบปลิดชีพบุตรชายและภรรยาของตน ต้นสายปลายเหตุที่หลุดออกมาภายนอกมีแค่ว่า

     

       มีศิษย์คนหนึ่งที่ประมุขตระกูลไป๋ชื่นชอบอย่างมาก แต่กลับถูกบุตรชายของตนสังหาร โดยการถีบลงเหวที่หุบเขาสำเร็จมาร ตอนออกไปเก็บประสบการณ์ คราแรกที่ข่าวลือนี้ออกมา เหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจรหรือกองกำลังใหญ่ๆ ต่างมองหน้ากันและกัน ลนสีหน้าแปะคำว่าไม่อยากจะเชื่อ

    พวกเขาพูดได้แค่ว่า มันจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่? แค่ศิษย์คนหนึ่งมันจะสำคัญมากกว่าบุตรชายแท้ๆของตนเลยหรือ? 

       

       ยังไม่นับเรื่องที่ตระกูลต้าเจียงคอยยุยง และ ทำอะไรต่างๆมากมายภายในเงามืดลับๆ จนเกิดเรื่องมากมายจนความสงบของทวีปเริ่มกลับหัวกลับหางโดยไม่มีใครรู้ เช่นการยุยงให้จูเฉียวมาทางตะวันออก หรือการคอยส่งคนออกมาตามคุ้มกันชายหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่มีใครรู้

    จนมีเพียงตระกูลเป่ยที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่ยังคงอยู่ในความสงบต่างจากตระกูลอื่นๆ แม้แต่เมืองหลิวบรรพตที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่เกิดเรื่องประหลาดอย่างช่างหลอมใหญ่ ส่งลูกศิษย์ของตนออกไปตามหาบางอย่าง จนเกิดเป็นเรื่องวุ่นวายมากมายทั่วทวีป

     

       แม้แต่พักหลังมานี้ เรื่องที่ลูกศิษย์ช่างหลอมผู้นั้นก่อ เยอะกว่าเรื่องที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ฝ่ายมารเสียอีก โดยที่หลินมู่ไม่รู้ตัวเลยว่าทวีปกำลังตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยง

    แม้นผู้คนจะค่อนข้างตึงเครียด แต่เขากลับคิดว่านี่เป็นบรรยากาศปกติของยุทธจักร จึงมองข้ามบรรยากาศเหล่านั้นไป หลินมู่จ่ายค่าขึ้นเรือ 8 ตำลึงทอง ก็ได้รับป้ายไม้เรือโดยสาร ที่ตรงไปยังภาคกลางเพื่อต่อเรือไปยังตะวันตกมาครอง

     

       เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครอยากจะเดินทางไกลเท่าไหร่นัก หลินมู่จึงได้คิวเดินเรือในอีก 3 วัน ต่างจากจ้าวมู่หยูที่กว่าจะหาเรือไปทางทิศเหนือได้ ต้องเสียถึง 20 ตำลึงทอง เพราะไม่นานมานี้

    ทางทิศเหนือหรือจะให้ถูกก็คือตะวันออกเฉียงเหนือ มีกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธ์ฝ่ายมาร พึ่งบุกถล่มเมืองใหญ่หายไป 2 เมือง โดยมีผู้ชีวิตรวมแล้วกว่า 479,000 กว่าราย เปลี่ยนเมืองทั้งสองเป็นทะเลเลือด จนเรือโดยสารทั้งหมดถูกระงับการเดินทาง

     

       มีเพียงเรือเสบียงของหอการค้าเท่านั้นที่ยังคงเดินเรืออยู่ ทีแรกจ้าวมู่หยูเหมือนจะได้ไม่เที่ยวเรือ แต่เขาหยิบป้ายหยกบางอย่างออกมา จนพนักงานสาวแทบหลุดปากตะโกนออกมาเพราะความตกใจ

    แต่มือเกาทัณฑ์พูดเตือนไว้ก่อน นางจึงไม่ร้องออกมา สุดท้ายจ้าวมู่หยูก็ได้ติดเรือเสบียงไปยังทิศเหนือ ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน หลินมู่เข้าพักรอเวลาออกเรือที่ห้องพักของหอการค้า

     

       จ้าวมู่หยูแยกตัวออกไปทำเรื่องส่วนตัว หลินมู่เดินลงมาดื่มชาที่โรงชาของหอการค้า เพื่อรับฟังข่าวสารของยุทธจักรไปในตัว

    ว่าช่วงนี้ตนต้องระวังอะไรบ้าง หรือมีข่าวอะไรที่ตนต้องให้ความสนใจ โดยมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขา จากระยะไกลอยู่เงียบๆ….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×