ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #60 : ตอนที่ 60 มีทรัพย์เข้ากระเป๋า

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 65


       ค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวยามเช้าก็มาเยือน ทั้งสามออกเดินทางตรงไปยังเมืองเหอตงต่อไป

    โดยระหว่างทางบังเอิญเจอกับกองคาราวานพ่อค้า ที่กำลังถูกหมียักษ์ขนเหล็กเข้าโจมตี หากปล่อยไว้อีกสักพัก ไม่นานหลังจากนั้นมนุษย์ทุกคนในคาราวาน ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หรือคนแก่ทุกคน จะต้องตกถึงท้องเจ้าหมีหลงฤดูตัวนี้แน่นอน

     

       ทั้งสองจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเข้าสังหารหมีหลงฤดูตัวนั้น แถมยังเป็นโอกาสดีสำหรับหลินมู่ ในการลองใช้ทักษะกระบี่สายฟ้าฟาด

    ในระหว่างสองมู่กำลังมะรุมมะตุ้ม กับหมีตัวมหึมาเจ้าลาซุยโก๋ ก็ยืนมองทั้งคู่อยู่ห่างๆ หากเกิดสถานการณ์อันตรายถึงแก่ชีวิต มันก็จะเผ่นหนีไปทันที

     

       แต่ก่อนไปแน่นอนว่า มันต้องไปคาบนายของมันออกมาก่อน ส่วนเจ้ามือเกาทัณฑ์ตาบอดผู้นั้น จะเป็นจะตายอย่างไรก็ปล่อยให้ฟ้าดินเป็นคนตัดสินใจ

    เพียงไม่นานหมีร่างใหญ่โตขนสีดำแข็งราวกับโลหะ ก็ล้มตึงลงพื้นจนทำให้กองหิมะแตกกระจาย เลือดสีแดงเปอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาสะบัดเลือดออกจากใบกระบี่สีขาว แล้วจึงเก็บมันเข้าฝัก

     

       “เจ้าหมีนี้ทนมือทนเท้ามิเบา หากเจออีกตัวสองตัวข้าอาจจะเจอแนวทาง ในการฝึกวิชา” หลินมู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับเขายังออกกระบี่ไม่สะใจอย่างไรอย่างงั้น

    เหล่าพ่อค้าและผู้คุ้มกัน ที่ได้ยินก็พากันส่ายหน้าเป็นพัลวัน ไม่เอาแล้วสัตว์อสูรดุร้ายเช่นนี้ แค่ตัวเดียวพวกเขาก็เกือบเป็นอาหารหมีหมดนี้แล้ว “สหาย เจ้าอย่าหวังเลยหากที่นี่มีหมีขนเหล็กอยู่ 1 ตัว แสดงว่าในหลายร้อยลี้รอบนี้ ไม่มีทางที่หมีขนเหล็กอีกตัว มันเป็นสัตว์อสูรที่ค่อนข้างรักสันโดษ นอกจากช่วงนั้นแล้วก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอ 2 ตัวขึ้นไป”

     

       เป็นจ้าวมู่หยูพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เดินไปดึงลูกเกาทัณฑ์ของตนออกจากร่างใหญ่โตนั้น “งั้นหรือ…แล้วเจ้าพอรู้ไหมว่าเจ้าหมีหนังหนาตัวนี้ หากเปรียบกับผู้ฝึกวรยุทธ์มันระดับเท่าใด?”

    มือเกาทัณฑ์ตาบอดที่ได้ยินคำพูดของสหาย ก็ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา “มันน่าจะมีอายุราวๆ 40 ถึง 50 ปีได้มั้ง คงเท่ากับพวกยอดยุทธ์ระดับล่างๆ ตัวมันก็ถือว่ามีสมบัติพอสมควร แต่สำหรับข้ากับเจ้าคงไร้ค่า ลมปราณที่ได้จากการกลั่นเลือดกลั่นกระดูก คงได้ไม่ถึง 3 ปี ไม่คุ้มค่าสมุนไพรเลยกินสมุนไพรเปล่าๆ ยังรวมลมปราณได้เยอะกว่าอีก แต่ถ้าหนังยังพอมีประโยชน์เล็กน้อย"

     

       ทั้งสองยืนคุยปรึกษากันและกัน ว่าจะเอาอย่างไรกับซากหมีพี่เบิ้มตัวนี้ดี ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังแทรกบทสนทนาขึ้นมา “ท่านยอดฝีมือทั้งสอง หากไม่รู้จะทำเช่นไร จะว่าอะไรหรือไม่ถ้าขายมันให้กับกองคาราวานของข้า?”

    หลินมู่และจ้าวมู่หยูหันไปสนใจอีกฝ่ายทันที อีกฝ่ายเป็นชายชราค่อนข้างมีเนื้อมีหนัง อุดมสมบูรณ์พอตัวเลย ไม่น่าล่ะเจ้าหมีนั้นถึงโจมตี เขาแต่งตัวดูมีฐานะคล้ายพอค้าชั้นสูง “แน่นอนว่าข้าจะจ่ายเงินให้พวกท่าน ที่ยืนมือเข้าช่วยเหลือ หากพวกท่านไม่ผ่านทางมา ข้าและคนของข้าคงตกลงไปในท้องหมีแล้วเป็นแน่ ขอบคุณท่านทั้งสองจริงๆ”

     

       พูดจบชายชราก็โค้งตัวให้ทั้งสอง เช่นเดียวกับผู้คุ้มกันและพ่อค้าที่มากับคาราวาน หลินมู่นิ่งเงียบสักพักก่อนจะพูดขึ้น “พวกท่านเงยหน้าขึ้นเถิด การพบพานถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง เรามาพูดเรื่องค้าขายกันดีกว่า” พ่อค้าชราที่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    “ขอบคุณท่านยอดฝีมือ” ชายชราป้องหมัดให้กับหลินมู่และจ้าวมู่หยู เช่นเดียวกัน หลินมู่กับจ้าวมู่หยูก็ป้องหมัดกลับเป็นการให้ความเคารพอีกฝ่าย

     

       “เอาหล่ะเราพิธีรีตรองมานานเกินไปแล้ว พวกข้าไม่ต้องการร่างของหมีตัวนี้ ท่านเชิญเสนอราคา” หลินมู่พูดออกไปตรงๆ โดยไม่คิดจะอ้อมค้อมใดๆ ทำเอามือเกาทัณฑ์ตาบอดผู้นั้น 

    แสดงสีหน้าเหรอหราประมาณว่า สหายเจ้าก็ตรงเกินไปเห็นทีทางค้าขายเจ้าคงไม่รุ่งแน่ๆ ชายชราทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะนำลูกคิดออกมีดีดคิดคำนวณ แล้วจึงพูดเสนอราคาออกมา

     

       “120 ตำลึงทอง กับอีก 50 เหรียญเงินสลักว่าอย่างไร?” จ้าวมู่หยูที่ได้ยินถึงกับสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะราคามันสูง แต่นี่แทบจะเป็นต้นทุนล่าสัตว์อสูร ที่มีตบะเกือบเทียบกับพวกยอดยุทธ์ชั้นนำเลยนะ จะไม่มากเกินไปสำหรับหมีหลงฤดูตัวนี้หรือ?

    ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอหลินมู่ก็สนอง ตอบตกลงไปทันทีไม่คิดแม้นสักเสี้ยววินาทีเดียว “เช่นนั้นการค้าถือเป็นอันตกลง ยินดีที่ได้ทำธุรกิจกับท่าน” หลินมู่กับพ่อค้าชราจับมือกันด้วยร้อยยิ้ม

     

       “เช่นเดียวกัน” ทั้งสองหัวเราะในลำคอเสมือนตนเป็นผู้ได้รับกำไรสูงสุด จ้าวมู่หยูแสดงสีหน้าเหรอหรากว่าเก่า เขาไม่เคยพบหรือได้ยิน การค้าขายที่ไร้การต่อรองแบบนี้มาก่อนเลย หลังจากนั้นสักพักก็มีคนนำถุงเงิน 3 ถุง มาส่งให้พวกเขา

    ถุงแรกคือเงินก้อนที่ใหญ่ที่สุด จากการขายร่างของหมีขนเหล็ก ถุงที่ 2 และ 3 คือเงินสินน้ำใจจากการช่วยชีวิต เป็นจำนวน 25 ตำลึงทอง

     

       หลินมู่รับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อได้รับของแล้วทั้งสองก็บอกลากันและกัน แล้วแยกไปทางใครทางมัน

    หลังจากกลุ่มของหลินมู่จากไป กลุ่มของพ่อค้าชราก็เริ่มชำแหละร่างของหมีขนเหล็กทันที ในระหว่างนั้นก็มีชายวัยกลางคน เข้ามาปรึกษากับพ่อค้าชราด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

     

       “ท่านพ่อ เหตุใดจึงตกลงซื้อหมีขนเหล็กตัวนั้น มาในราคาเช่นนั้น ท่านก็ได้ยินยอดฝีมือทั้งคู่พูดว่า มันไม่ค่อยมีประโยชน์แม้นทั้งตัวมันจะเป็นสมบัติก็ตาม ก็ไม่น่าได้ราคาสูงขนาดนั้นมัง” พ่อค้าชราที่ได้ยินก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม

    “เจ้าพูดถูกมันไม่มีประโยชน์ แต่นั้นสำหรับยอดฝีมือทั้งสอง หากเราสกัดเลือดกลั่นกระดูกของมัน แล้วนำไปวางขายในหอการค้า ต้องมีพวกลูกหลานผู้ฝึกวรยุทธ์ ต้องทุ่มราคาซื้อมันแน่นอน เพราะการเพิ่มลมปราณได้ปีสองปี มันมีประโยชน์มากสำหรับพวกไก่อ่อนเหล่านั้น แถมหนังและขนของมัน ก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการทำยุทธโธปกรณ์ เห็นไหมข้าจ่ายออกไปก้อนใหญ่ ก็ได้กลับคืนมาก้อนใหญ่เช่นกัน เจ้าอย่ามองในมุมสูงเพียงอย่างเดียว ให้มองจุดที่เจ้าอยู่และด้านล่างไว้ด้วย ยิ่งเจ้าเห็นมากโอกาสก็ยิ่งมาก”

     

       พ่อค้าชราตบบ่าผู้เป็นบุตรชาย ก่อนจะเดินออกไปมองคนงานที่กำลังซำแหละร่างของหมีขนเหล็ก ทางด้านหลินมู่กำลังปรึกษากับจ้าวมู่หยู เกี่ยวกับเงินขายร่างของหมีขนเหล็ก ด้วยสีหน้าค่อนข้างจริงจัง

    ว่าพวกเขาควรจะแบ่งมันอย่างไรดี “ข้า 5 ส่วน เจ้า 5 ส่วน แบ่งกันคนละครึ่ง ว่าไง?” หลินมู่เปิดข้อเสนอขึ้นมาโดยเขาและอีกฝ่ายได้ประโยชน์เท่าๆกัน 

     

       หากอยากให้มิตรภาพมั่นคง เรื่องเงินทองต้องชัดเจนและมีให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าพูดเรื่องเงินทองต่อหน้าเพื่อนหรือสหายไม่ได้ แต่หากมีเรื่องเงินๆทองๆมาเกี่ยว พวกเขาจำต้องจัดการให้ดี ไม่เช่นนั้นมิตรภาพอาจจะเกิดรอยร้าวเอาได้

    จ้าวมู่หยูขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้น “เจ้า 6 ข้า 4 เจ้าเป็นคนเจรจาขาย และ เป็นคนปิดฉากเจ้าต้องได้เยอะกว่า อีกอย่างข้าจะเอาตำลึงไปทำไมมากมาย เจ้าก็น่าจะรู้ข้าไม่มีอะไรใช้เก็บทองขนาดนั้นหรอก”

     

       หลินมู่แสดงสีหน้าขบคิดอีกครั้ง ก่อนจะเปิดข้อเสนออีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็ต่อลองกันไปมา สุดท้ายก็จบที่ หลินมู่ 6 จ้าวมู่หยู 4 พวกเขาแบ่งทรัพย์ที่เข้ากระเป๋าอย่างกระทันหันนี้ อย่างไม่มีความตะขิดตะขวงใดๆ

    ทั้งคู่ต่างแย้มยิ้ม โดยเจ้าลาซุยโก๋ก็แสดงสีหน้าออกมาประมาณว่า มันพึ่งเคยเห็นผู้เป็นนายมัน ที่แสดงท่าทีแบบนี้เป็นครั้งแรก เสร็จสิ้นการแบ่งทรัพย์ทั้งสามก็ตรงไปยังเมืองเหอตง ด้วยใบหน้าบานเป็นกระด้งจนสะดุดตา….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×