คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 ความลับของตำนานยุทธ์
ลานกว้างตระกูลไป๋ตอนนี้กำลังอัดแน่นไปด้วยฝูงคนแน่นขนัด โดยมีคนสองกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่มแรกคือกลุ่มที่แต่งตัวคล้ายกับยุคสมัยโบราณ เสื้อคลุมตัวยาวสะพายอาวุธไว้ข้างกาย
อีกกลุ่มคือคนที่แต่งตัวราวกับคนยุคใหม่ ที่ใบหน้าอันแน่นไปด้วยความตื่นเต้น
หลินมู่ที่นั่งเงียบภายใต้ร่มเงาของอาคาร กำลังเรียนรู้ภาษาด้วยตนเองจากหนังสือปกสีแดง
ถึงแม้กระบวนการเรียนรู้จะเชื่องช้า แต่ความเข้าใจของชายหนุ่มกลับสามารถทำให้เขาเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
เพียงไม่นานเขาก็จำตัวอักษรได้มากกว่าร้อยตัวอักษร แต่ถึงอย่างงั้นเวลาอ่านออกเสียงชายหนุ่มก็ติดขัดเล็กน้อย
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเขาจะคุ้นชินกับภาษาใหม่ ถึงแม้จะพูดคุยด้วยภาษาจีนรู้เรื่องกับคนในท้องถิ่น
แต่ศัพท์สำเนียงกลับค่อนข้างต่าง หากเขาอยากกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับคนเหล่านี้โดยไม่มีจุดบอด
เขาจะต้องปรับสำเนียงของตนให้เข้ากับที่นี่ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ก้านธูปการตรวจเช็คและลงชื่อก็เสร็จเรียบร้อย
เหล่านักเรียนจากต่างภพถูกนำตัวมาส่งยังอาคารแห่งหนึ่ง “นี้คือที่ ที่พวกท่านจะใช้หลับนอน หรือรับประทานอาหาร หากต้องการสิ่งใดสามารถเรียกร้องกับผู้ดูแลหอได้เลย”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามพูดแนะนำอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไปมีเพียงหลินมู่และไป๋เทียเท่านั้นที่ได้รับห้องส่วนตัว
ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นห้องรวมอยู่ได้ประมาณสี่คน ภายในห้องมีเครื่องแต่งกายใหม่และตารางที่พวกเขาควรทำในวันนี้
ซึ่งแน่อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นอ่านไม่ออก ถึงจุดนี้เหล่าหนุ่มสาวที่ตื่นเต้นกับยุทธจักรก็กลับสู่ความเป็นจริง
นอกจากหลินมู่และไป๋เทียแล้วที่เหลือแทบอ่านไม่ออกเลย จุดนี้หลินมู่ไม่ได้สนใจความลำบากของคนเหล่านั้น
เขาเดินเข้าห้องของตนด้วยความเฉยเมย ต่างจากไป๋เทียที่เริ่มยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
จนกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่านักศึกษาในต่างภพ พวกเขาเริ่มตั้งกลุ่มศึกษาภาษาในโลกนี้อย่างจริงจัง
อีกฝั่งหนึ่งหลินมู่ที่เดินเข้ามาภายในห้องของตน สิ่งแรกที่เขาทำคือใช้น้ำอุ่นที่ถูกเตรียมไว้
เช็ดทำความสะอาดร่างกายและแต่งตัวด้วยชุดคลุมสีฟ้า ร่างของชายหนุ่มสะท้อนบนกระจกสำริด
ราวกับชุดนี้ถูกทำขึ้นมาให้เข้ากับเขาเป็นพิเศษ มันทั้งคล่องตัวและดูกลมกลืนเป็นอย่างมาก
หลินมู่เองก็รับรู้ถึงบางอย่าง เมื่อเขาสวมชุดคลุมตัวนี้เขารู้สึกถึงอาการที่เย็นสบาย และจิตใจผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ส่วนชุดนักศึกษาฤดูร้อนเขาก็พับเก็บไว้อย่างดี เมื่อจัดการตนเองเสร็จเขาก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้องพร้อมหนังสือปกสีแดง
ก็พบกับบรรยากาศของการศึกษาอย่างเร่งด่วน โดยมีไป๋เทียเป็นแกนนำ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
ไม่คิดว่าไม่กี่สิบนาทีไป๋เทียก็สามารถดึง ความเชื่อมั่นจากคนนับสิบให้มานับถือตนได้แล้วไม่ธรรมดาจริงๆ
ไป๋เทียเองก็สังเกตเห็นหลินมู่เช่นกัน เขาเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร “หลินมู่นายคืบหน้าถึงไหนแล้ว?”
หลินมู่ที่ได้ยินคำถามของไป๋เทียก็หันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มาก เพราะเราไม่มีครูคอยสอนเลยได้แต่ดำน้ำเอาเอง แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยฉันก็สามารถใช้งานแบบงูงูปลาปลาแล้ว”
ในเสี้ยววินาทีนั้นสีหน้าของไป๋เทียเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ “งั้นหรอ….”
พวกเขาพูดคุยกันสักพักก่อนจะแยกไปทำเรื่องใครเรื่องมัน “นายหน้ากลัวกว่าที่ฉันคิดไว้อีก ฉันประเมินนายต่ำไปสินะ”
ไป๋เทียพึมพำขณะมองไปยังทิศทางที่หลินมู่เดินจากไป หลินมู่ที่เดินวนอยู่นานสุดท้ายเขาก็เจอกับห้องตำราทั่วไป
ถึงแม้จะมีแต่ตำราที่ไม่สำคัญสำหรับผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่สำหรับหลินมู่ที่ในตอนนี้ขาดแคลนข้อมูล
มันคือสมบัติอย่างที่อะไรก็เปรียบไม่ได้ เขาเริ่มเดินเลือกตำราที่เขาสนใจก่อนจะนั่งลงอ่านอย่างนิ่งสงบ
ภายในห้องตำราที่ไร้ผู้คน ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหมึกและกระดาษ มีเสียงพลิกหน้ากระดาษอย่างแผ่วเบาเป็นระยะ ที่เป็นเสียงที่อยู่คู่กับห้องตำราแห่งนี้มาแล้วสักพัก
บริเวณโต๊ะศึกษาตำราที่มีตำรากองสูงกันเป็นภูเขา มีร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้ากำลังพลิกหน้าตำราเพื่ออ่านเนื้อหาภายใน
“อย่างงี้นี่เอง…” ชายหนุ่มที่ศึกษาด้วยตนเองจนลืมเวลา เริ่มแสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
ตอนนี้จากกลิ่นอายของเด็กหนุ่มจากยุคปัจจุบัน ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายของบัณฑิตในยุคโบราณ
“ท่านหลินมู่ ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านต้องไปยังห้องศึกษาของอาวุโสเหลียงแล้ว..” เป็นชายชราธรรมดาผู้ดูแลห้องตำราแห่งนี้เขามาเตือนชายหนุ่ม
หลินมู่ที่ได้ยินว่าถึงเวลาแล้ว ก็ปิดตำราลงกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะจากไปเขาก็หันมาพูดกับชายชราว่าอย่าพึ่งเก็บโต๊ะของตน
หลังจากรับประทานข้าวเที่ยงแล้วตนจะกลับมาอีก ชายชราก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้น
เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกจากห้องตำรา ตรงไปห้องศึกษาของอาวุโสเหลียงที่อยู่อีกฝั่ง
ตั้งแต่วันแรจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาร่วมสัปดาห์แล้ว เขามีความรู้มากขึ้นจากตอนแรกมาก
โดยเฉพาะผู้ฝึกวรยุทธ์ ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาอาวุโสเหลียงก็สั่งสอนเกี่ยวกับผู้ฝึกวรยุทธ์
และเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนให้แก่พวกเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินมู่และไป๋เทียได้รับการปฎิบัติดีกว่าคนอื่นไปไกล
พวกเขาทั้งสองถูกสั่งสอนโดยไป๋หยุนเฉินโดยตรง ทั้งเคล็ดวิชาฝึกฝนจุดสำคัญในการรวมปราณ
ถูกถ่ายทอดพวกเขาให้อย่างไม่กัก เพียงสามวันไป๋เทียก็สามารถรวมลมปราณได้ 1 ปี ก้าวเข้าสู่ขอบเขตผู้ฝึกหัด
ต่างจากเขาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพใดๆ ขนาดคนอื่นที่อยู่ตระกูลไป๋ยังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
คาดว่าอีกไม่นานพวกเขาคงก้าวเข้าสู่ขอบเขตผู้ฝึกหัด ทำให้หลินมู่ช่วงนี้เป็นข่าวพอสมควรว่าตัวอ่อนยุทธ์แท้อาจจะเป็นของปลอม
ซึ่งชายหนุ่มไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว หลินมู่จมอยู่กับความคิดของตนเองขบคิดเกี่ยวกับผู้ฝึกวรยุทธ์
โดยระดับของฝึกฝนมีทั้งหมด 9 ขอบเขต โดยแบ่งแยกโดยลมปราณในร่างกาย ลมปราณ 1-2 ปี คือขอบเขต ผู้ฝึกหัด
โดยไป๋เทียและศิษย์สืบทอดของห้าผู้แกร่งกล้าที่เหลือ สามารถก้าวถึงภายในไม่กี่วัน ทำให้พวกเขาถูกเรียกว่าห้าเกลียวคลื่น
ต่อไปคือขอบเขตของ เยี่ยมยุทธ์ โดยการจะไปถึงต้องมีลมปราณ 3-4 ปี นี้คือระดับพื้นฐานของคนรุ่นใหม่หลังจากเริ่มฝึกฝนไม่กี่ปี
ในโลกใบนี้การจะกลายเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่มีแค่ตำราเคล็ดวิชา ยังต้องมีอายุถึงเกณฑ์ที่กำหนดด้วย โดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถเริ่มฝึกฝนได้ในช่วงวัย 15 ปี
ซึ่งโดยปกติเคล็ดวิชาฝึกฝนไม่ใช่ของที่หาง่ายๆ แม้จะมีพรสวรรค์ก็ใช่ว่าจะมีเคล็ดวิชาฝึกฝน
เคล็ดวิชาใดวิชาหนึ่งมักถูกผูกมัดอยู่กับบางตระกูล จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่บุคคลทั่วไปจะได้เคล็ดวิชามาครอบครอง
ต่อจาก เยี่ยมยุทธ์ คือ จอมยุทธ์ โดยจะไปถึงโดยเก็บสั่งสมลมปราณ 5-10 ปี เมื่อมาถึงขอบเขตนี้พวกเขาถือว่าเป็นคนในยุทธจักรอย่างแท้จริง
สามารถท่องไปทั่วทวีปหากไม่แส่หาความตาย ก็สามารถเดินทางได้ย่างปลอดภัย
ขอบเขตถัดจาก จอมยุทธ์ คือ ยอดยุทธ์ ลมปราณที่ต้องการคือ 11-25 ปี พวกเขาถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในยุทธจักรระดับหนึ่ง
เป็นตัวตนที่ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์พเนจรต้องหลีกเลี่ยง แม้แต่ตระกูลผู้ฝึกฝนเล็กๆบางตระกูลยังต้องให้เกียรติบุคคลระดับนี้
แต่สำหรับห้าตระกูลมหาอำนาจแล้ว ยอดยุทธ์ก็ไม่ต่างอะไรจากหัวใช้เท้า โดยพื้นฐาน ยอดยุทธ์ คือจุดตัดระหว่างผู้มีอำนาจและผู้อ่อนแอ
ต่อจากนั้นคือ เจ้ายุทธ์ โดยมีลมปราณในร่างกาย 26-50 ปี นี้คือตัวตนระดับสูงอย่างแท้จริง
บุคคลระดับนี้มักจะเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีตระกูลหนุนหลัง มีอยู่บ้างที่ผู้ฝึกฝนพเนจรจะมาถึงระดับนี้
แต่มีน้อยจนนับนิ้วได้ พวกเขามักประจำอยู่แถวเมืองการค้าของตระกูล เป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย
เปรียบเสมือนเจ้าเหนือหัวในแถบนั้นก็ไม่ปาน ต่อจากนั้นคือ ราชายุทธ์ ลมปราณ 51-75 ปี
บุคคลเหล่านี้คืออาวุโสในตระกูลระดับสูง เพียงในห้าตระกูลมหาอำนาจก็มีจำนวนมาก
อาวุโสเหลียงคือหนึ่งในนั้น โดยตระกูลไป๋มีอาวุโสอยู่ประมาณ 12 คน อีกสี่ตระกูลที่เหลือก็ไม่ต่างจากนี้มากนัก
ไม่ต้องพูดถึงจำนวนเจ้ายุทธ์ในห้าตระกูลเลย มีเกินร้อยเป็นอย่างต่ำ ทำให้เห็นว่าอำนาจของห้าตระกูลเทียมฟ้าแค่ไหน
ถัดไปคือ ราชันย์ยุทธ์ นี้คือระดับอาวุโสใหญ่ หรือ บรรพชนของบางตระกูล บางตระกูลนี้คือระดับประมุข มีพลังน่าครั่นคร้าม
สามารถแยกเหล็กหรือภูเขาขนาดเล็กด้วยมือเปล่า พลิกทะเลสาบเดินทางไกลหลายร้อยลี้ด้วยการก้าวเดินเพียงครั้งเดียว
เป็นขอบเขตที่เกือบหลุดคำว่ามนุษย์ไปแล้ว ต่อจากนี้คือระดับที่มีเพียง 6 คนบนทวีป
นั้นก็คือขอบเขต จักรพรรดิยุทธ์ ด้วยลมปราณ 100 ปีขึ้นไป พวกเขาสามารถกลายเป็นกฎสูงสุดของทวีปนั้น
โบกมือเรียกฝน สะบัดมือไล่สิ่งอัปมงคล นี่คือขอบเขตของสิ่งมีชีวิตครึ่งทางของคำว่าเหนือธรรมชาติ
แต่สำหรับหลินมู่แล้วจักรพรรดิยุทธ์นั้นดูปลอมเกินไป ถึงแม้จะเป็นความจริงแต่นั้นก็ไม่ทรงพลังพอจะทำให้เขากลับไปฝั่งนั้น
สุดท้ายคือตำนานยุทธ์ ไม่ทราบแน่ชัดว่าต้องบ่มเพาะนานเท่าใดถึงไปถึง แต่มีการสัญนิษฐานว่า ต้องใช้ประมาณ 300 ปี
จึงจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธ์ ด้วยอายุขัยยาวนานถึง 500 ปี
นอกจากนั้นก็ไม่มีบันทึกไว้ นอกจากไปถึงด้วยตัวเองเขาถึงจะได้รับรู้
ทำให้หลายวันมานี้หลินมู่หมกตัวอยู่ภายในห้องตำราอย่างเดียว แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
แค่สิ่งที่เขารู้ก็คือ ตำนานยุทธ์ ก็ไม่อาจทำให้เขากลับไปยังฝากฝั่งนั้น และภายในบันทึกของตระกูลไป๋ ตำนานยุทธ์ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการฝึกฝน มันมีกล่าวไว้เพียงแค่บรรทัดเดียว หลังจากนั้นราวกับถูกลบทิ้งไม่เหลืออะไรเลย
มีจุดน่าสงสัยมากมาย ราวกับพวกเขาพยายามปิดบังบางอย่าง บางสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความลับ หลังขอบเขต ตำนานยุทธ์…
“ตำนานยุทธ์ ซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่….” หลินมู่แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสีหน้าขบคิด
“เรามัวกังวลอะไรอยู่เนี่ย แค่ผู้ฝึกหัดยังไม่ถึงเลย จะปวดหัวกับอนาคตอันยาวไกลไปทำไม…”
หลินมู่ส่ายหัวไล่ความคิดของตนทิ้งไป ก่อนจะออกเดินไปยังห้องศึกษาต่อไป
ความคิดเห็น