ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #58 : ตอนที่ 58 แผนการเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ย. 65


       หลังจากมาถึงเมืองหลินมู่ก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โดยฝากเจ้าซุยโก๋ให้โรงเตี๊ยมดูแลไว้ก่อน แล้วจึงออกไปซื้อของมาตุนไว้เพื่อการเดินทางระยะยาว

    โดยด้านข้างมีมือเกาทัณฑ์ตาบอด อย่างจ้าวมู่หยูตามมาติดๆ ดุจเป็นวิญญาณร้ายตามทวงแค้น โดยอีกฝ่ายแนะนำร้านขายของอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับอีกฝ่ายเคยอาศัยอยู่ในเมืองนี้ก็ไม่ปาน

     

       หลังจากเดินทางมาด้วยกันสักพัก ชายหนุ่มก็เริ่มลดความระวัง ในตัวอีกฝ่ายลงอีกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ไม่ระวังเลย

    ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เจ้าทำถูกแล้ว อยู่ต่างบ้านต่างเมืองต้องระวังตัวเข้าไว้ หากเดินทะเล่อทะล่าโดยไม่ระวังตัว หรือไม่มีความหวาดระแวงใดๆ กว่าจะรู้สึกตัวคงถึงวาระสุดท้ายแล้วกระมัง”

     

       อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะลากหลินมู่ไปยังร้านขายอาหารแห้ง แป้งและข้าวสารแห้ง “เจ้าไม่มีอะไรแนะนำ เกี่ยวกับท่าเรือ หรือ สถานที่ระหว่างทางไปตะวันตกหน่อยหรือ?” หลินมู่ถามขึ้นในขณะต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้านอยู่

    จ้าวมู่หยูที่ใช้ปลายนิ้วมือ จิ้มกระสอบข้าวสารก่อนจะตอบกลับมา “จะให้ข้าแนะนำอะไรล่ะ? เห็นอย่างนี้ข้าขึ้นเหนือล่องใต้มาหมดแล้วนะ เจ้าอยากรู้อะไรถามมาได้เลย” 

     

        หลินมู่หยิบเงินจ่ายค่าอาหารแห้ง และผลไม้ตากแห้งต่างๆ ก่อนจะหันมาพูดกับอีกฝ่าย “ในเมื่อเจ้าไปมาทั่วแล้ว เจ้าควรรู้ว่า ภูเขาที่ตั้งอยู่ยังจุดศูนย์กลางของทวีป มีตำนานเช่นไรกระมัง แล้วก็เรื่องท่าเรือโดยสารด้วย”

    จ้าวมู่หยูทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับมา “ข้าไม่ค่อยรู้เกี่ยวภูเขาลูกนั้นเท่าไหร่ รู้แค่ว่าภูเขาลูกนั้นมีคนของห้าตระกูลคอยหมุนเวียน เข้าไปดูแลกันคนนอก…….แม้แต่คนจากเมืองหลิวยังไม่อยากเข้าไปเหยียบเลย ส่วนเรื่องท่าเรือโดยสาร ถ้าเจ้าจะไปตะวันตกผ่านภาคกลาง ข้าขอแนะนำท่าเรือเซินยี่ซิงหลง เจ้าต้องจ่ายแค่ 4 ตำลึงทองในขั้นต่ำ เพื่อโดยสารเรือไปภาคกลาง และ ไปต่อเรือที่ท่าเทียบเรือไปยังตะวันตกต่อ”

     

        หลินมู่พยักหน้าเล็กน้อย มีอยู่จังหวะหนึ่งที่อีกฝ่ายลังเลบางอย่าง คล้ายปิดบังอะไรไว้ซึ่งหลินมู่ไม่เซ้าซี้ หลินมู่สนใจเรื่องภูเขาลูกนั้นมากกว่า 

    “เจ้าบอกว่าขั้นต่ำสินะ แล้วมันพาพวกม้าลาหรือสัตว์ขึ้นไปด้วยได้หรือไม่?” จ้าวมู่หยูส่ายหน้าเป็นคำตอบพร้อมพูดอธิบาย “มันเป็นแบบขั้นต่ำ แม้แต่ห้องส่วนตัวยังแคบอย่างมาก แค่พอให้ยืดแขนขาเล็กน้อยเท่านั้น หากเจ้าอยากพาเจ้าลาเทาตัวนั้นขึ้นไปด้วย ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 8 ตำลึงทอง ห้องจะดีขึ้นมาเล็กน้อย พอให้ยืดแขนยืดขาโดยไม่กลัวว่าหัวจะชนฝ้าเพดาน และ สามารถพาสัตว์เลี้ยง หรือ ม้าคู่ใจใดๆก็ตาม ขึ้นเรือโดยสารได้ แต่พวกมันจะต้องอยู่ในคอกใต้ท้องเรือตลอดการเดินทาง หากเกิดปัญหาเจ้าต้องเคลียร์กับทางเรือโดยสารเอาเอง”

     

        หลินมู่ดีดลูกคิดคำนวณในใจ ก่อนสีหน้าจะมืดมนลงเล็กน้อย ขาไปและขากลับต้องเสียอย่างน้อยๆ 16 ตำลึงทอง สำหรับหลินมู่ผู้ไม่มีรายได้ขาเข้าแล้ว ทุกครั้งที่จ่ายก้อนเงินออกไป

    ก็เหมือนทำลายรากฐานตนเอง เพราะในบัญชีไม่มีเงินขาเข้ามีแต่ขาออก หากเป็นอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆคงล้มละลายหมดตัวในไม่ช้าก็เร็ว “สหายหลิน ทำไมจังหวะหายใจเพี้ยนไปล่ะ มีเรื่องกลุ้มใจหรือ?”

     

       เป็นจ้าวมู่หยูที่ถามขึ้นอย่างสงสัย พร้อมพยายามแง่หูฟังชัดอีกครั้ง “ไม่มีอะไร…” หลินมู่ตอบปัดๆไป ก่อนจะหันไปซื้อของอย่างอื่นมาเพิ่มเติม

    กว่าจะได้กลับไปยังโรงเตี๊ยมก็เป็นเวลามืดค่ำ หลินมู่เดินเข้าห้องพักของตนเอง โดยปล่อยให้มือเกาทัณฑ์ผู้นี้ ยืนโบกมือให้อากาศ อีกฝ่ายยกยิ้มน้อยพร้อมกับพึมพำกำตนเอง “เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ…” สิ้นเสียงเขาก็เดินเข้าห้องของตนเองไป

     

       หลังจากเข้ามาภายในห้อง หลินมู่ก็เริ่มวางแผนเดินทางทันที อย่างน้อยต้องลดค่าใช้จ่ายลงอีกเล็กน้อย สุราตัดทิ้งไปได้เลยแม้ช่วงนี้จะเริ่มดื่มแล้ว แต่อะไรตัดทิ้งไปได้ก็ตัดทิ้งไป

    จากที่เพิ่งเติมในโรงเตี๊ยมมา หากจิบแบบเล็กน้อยน่าจะอยู่ได้หลายเดือน ยังไม่นับไหเหล้าที่ได้จากหัวหน้าหมู่บ้านฉาซาน ที่ยังเหลืออยู่อีกไห จำนวนแค่นี้น่าจะพอแก่การเดินทาง

     

       เรื่องตุนสุรามอมเมาตนเองเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดในสถานการณ์ บัญชีการเงินที่มีแต่ขาออกขาเข้าไม่มีนี้ก่อน จากสถานการณ์ของชายหนุ่มในตอนนี้หรือหลังจากนี้ เขาจะต้องเดินไปมาทั่วทวีปเพื่อหาข้อมูล

    การันตีแน่นอนว่านอนกลางดินกินกลางทราย เรื่องการหาเงินเข้ากระเป๋าจึงค่อนข้างยาก แต่การใช้เงินกลับมีมาไม่ขาดสาย “หรือเราต้องไปถล่มป้อมโจร พยุงความยุติธรรมดี…ไม่อ่ะ ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่เรียกทำเพื่อความยุติธรรม แต่เห็นแก่เงินหากกว่า ว่าแต่เราจะคิดมากทำไมในเมื่อเราก็ไม่มีหน้าตาอะไรอยู่แล้ว….."

     

       คิดได้เช่นนั้นก็เริ่มวางแผนตีป้อมโจร เพื่อหาเงินมาอุดกำแพงบ้านที่เป็นรูโหว่ของตน แต่กว่าจะได้ตีคงต้องรอถึงตะวันตก

    ที่เขาว่ากันว่าโจรชุกชุมก่อน จึงจะลงมือได้เพราะแถบตะวันออก ไม่ค่อยมีโจรเสียเท่าไหร่ ถึงมีก็เป็นโจรตัวเล็กตัวน้อย ถ้าจะบุกไปถล่มก็ต้องเล็งตัวใหญ่ๆเลยสิ วางแผนหาเงินเข้ากระเป๋าเสร็จ เขาก็เริ่มทำความสะอาดตงหยูและเฮ่ยซาน

     

       แล้วจึงนำหินอัปมงคลที่ไม่ได้สูดอากาศ มาแล้วหลายวันออกมาขัดเกลาจิตกระบี่ นั่งกำหนดจิตกับตนเองจนถึงยามเช้าตรู่ ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมจูงเจ้าซุยโก๋

    ที่ดูมีความสุขเพราะสัมภาระที่มันแบกอยู่ มีของมากมายเหลือเกินจนมันอดไม่ได้ ที่แสดงท่าทีดีอกดีใจ และแน่นอน ยังมีมือเกาทัณฑ์ผู้นั้นที่ตามมาด้วยเช่นเดิม

     

       ระหว่างทางเดินออกจากเมือง หลินมู่ก็สังเกตเห็นแผงลอยเล็กๆ ของผู้ฝึกวรยุทธชราผู้นึงที่กำลังวางขาย ตำราเคล็ดวิชาต่างๆ หลินมู่ผู้ที่มียังไม่มีกระบวนท่าใดๆเลย

    จึงเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจ ก่อนจะต้องตากับตำรากระบวนท่ากระบี่อันหนึ่ง เพียงมือสัมผัสลงไปผู้ฝึกวรยุทธ์ชราผู้นั้น ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ “นั้นคือตำรากระบี่สายฟ้าฟาด ถ้าเจ้าสนใจ แค่ 30 เหรียญเงินสลักเท่านั้น เห็นเจ้าเป็นคนตาบอดหรอกนะ ข้าจึงเสนอราคาถูกๆให้”

     

        หลินมู่ช่างใจอยู่กับตำรากระบี่อันนี้อยู่สักพัก ก่อนจะควักเงินจำนวน 30 เหรียญเงินสลักจ่ายไป “ขอบคุณ..” เมื่อได้รับเงินแล้วผู้ฝึกวรยุทธ์ชรา ก็ไล่แขกทันที

    หลังจากพวกหลินมู่จากไป ชายชราก็ลูบคางของตนเอง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงพึ่งนึกได้ “ว่าแต่คนตาบอดจะอ่านตำราอย่างไร นี่ข้าขายตำราให้คนที่อ่านไม่ได้หรอเนี่ยแย่ชะมัด”

     

       จะขอซื้อตำราคืนก็ไม่ได้แล้ว เพราะอีกฝ่ายหายไปแล้ว ช่างมันปะไรละกันอีกฝ่ายคงมีวิธีแหละ ไม่ใช่แค่ชายชราผู้วางแผงขายตำราวิชาจะสงสัยเท่านั้น

    แม้แต่จ้าวมู่หยูยังสงสัยเช่นกัน “สหายหลิน เจ้ากับข้าก็ล้วนแต่ตาใช้การไม่ได้ แล้วจะให้ใครอ่านตำรา?” หลินมู่ไม่สนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ตาบอดและมองไม่เห็นสักหน่อย แค่หลับตาเดินไปไหนมาไหนเพราะมันจำเป็น

     

       หลินมู่เปิดตำราเพื่ออ่านเนื้อหาด้านใน ก่อนจะพูดไว้ว่า “ข้ามีวิธีละกัน…” พูดจบหลินมู่ก็อ่านวิชาไปด้วย พร้อมเดินตรงไปยังเมืองเหอตง

    โดยระหว่างทางก็มีมวยระหว่าง มือเกาทัณฑ์ และ เจ้าซุยโก๋ เป็นระยะ โดยสิ่งที่หลินมู่มักทำคือนั่งศึกษาตำรา มองสถานการณ์อยู่ด้านข้าง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมือเกาทัณฑ์ผู้นั้นยอมแพ้ พร้อมพูดว่า “ข้ายอมให้เจ้า อย่าคิดว่าอสูรลาเทาเช่นเจ้าจะชนะเสมอไป!!” พูดเสร็จก็มานั่งโซ้ยข้าว โดยมีหลินมู่ที่มีคำว่า เจ้าจะมีภาพพจน์ของ ยอดฝีมือนิดหน่อยจะได้หรือไม่ แปะไว้บนใบหน้า นั่งเคี้ยวข้าวอยู่ตรงข้าม….

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×