ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #55 : ตอนที่ 55 คุมเชิง

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ย. 65


       เพียงหลังจากนั้นไม่กี่ก้านธูป พายุหิมะห่าใหญ่ก็ตกลงมาเปลี่ยนบรรยากาศในถ้ำ ในเย็นลงอีกหลายส่วน

    แม้แต่มือเกาทัณฑ์ตาบอด ยังปิดปากเงียบไม่พูดจ้อเหมือนที่ผ่านๆมา เขาแง่หูฟังสภาพด้านนอกอย่างตั้งใจสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

     

       “สหาย ข้าว่าพวกเราต้องอยู่ในถ้ำนี้อีกหลายวัน พายุด้านนอกดูจะไม่สงบลงง่ายๆ” หลินมู่พยักหน้าเบาๆเป็นการบอกว่า เขาทราบแล้วหลังจากนั้นถ้ำที่มีสองคนหนึ่งลา

    ก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง มือเกาทัณฑ์ตาบอดคล้ายจะคันปาก อยากพูดไม่หยุดแต่ไม่มีเรื่องที่จะพูดออกมาเนี่ยสิ เขาจึงนำเนื้อกวางภูเขาเสียบไม้ที่ส่งกลิ่นหอมหวน ขึ้นมากินเงียบๆ หลินมู่ที่ได้รับความสงบคืนอีกครั้ง

     

       ก็ถอนหายใจยาวกับตนเองเงียบๆ นอกจากเสียงพายุหิมะด้านนอกแล้ว ภายในถ้ำก็มีเพียงเสียงกองไฟที่คอยปลดปล่อยไอร้อนขับไล่ความหนาวเย็น

    กับเสียงหายใจเป็นจังหวะของคนสองคน เจ้าลาซุยโก๋บังเกิดความสงสัย ในคราแรกที่มันเห็นทั้งสองคน มันรู้สึกแปลกๆอย่างอธิบายไม่ถูก ระหว่างหลินมู่และอีกฝ่าย

     

       มันรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ แต่ไม่นานมันก็เลิกสนใจความรู้สึก ที่อธิบายไม่ถูกของตัวเอง ก่อนจะเอนตัวลงนอนมองกองไฟที่ลุกโชนด้วยประกายไฟอันร้อนแรง

    ไม่นานนักมันก็หลับไป ทิ้งให้เหลือเพียงสองคนที่ยังนั่งคุมเชิงกันอยู่ หนึ่งหวาดระแวงว่าอาจจะเป็นแผนชั่วร้าย ฆ่าคนชิงทรัพย์ของยอดฝีมือสักคน อีกหนึ่งก็เกิดความสนใจ มันมีไม่มากหรอกที่มีคนหลับตาเดินไปมาในยุทธจักร

     

       ถ้าไม่เป็นคนตาบอดแล้วจะเป็นอะไรอีก? เช่นนั้นระหว่างคนตาบอดในยุทธจักร อีกฝ่ายพยายามแสดงท่าทางว่า พวกเราสองคนควรทำความรู้จักและสนิทสนมกันเอาไว้ ในฐานะคนตาบอดเช่นเดียวกัน

    หลินมู่เลิกสนใจอีกฝ่ายไปโดยสมบูรณ์ แต่เขาพร้อมตอบสนองเสมอหากอีกฝ่าย จะลงมือทำอะไรสักอย่างที่เป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน

     

       เขามุ่งเน้นไปกับการศึกษา เทคนิคปลอมระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ ซึ่งเขาแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไว้ระวังอีกฝ่าย โดยในเนื้อหาที่ถูกส่งมาให้และบันทึกในห้วงจิต มันอธิบายไว้ว่า

    แรกเริ่มเดิมที รากฐานแรกสุดของผู้ฝึกวรยุทธ์ คือ การฝึกฝนเซียน แต่แทนที่จะฝึกฝนโดยการกักเก็บปราณฟ้าดิน หมุนเวียนหล่อเลี้ยง ร่างกายจนกลายเป็นโลกใบเล็กหรือฟ้าดินภายใน ผู้ฝึกวรยุทธ์กลับขัดเกลาและกลั่นปราณฟ้าดิน จนกลายเป็นลมปราณ

     

       ถือเป็นเส้นทางฝึกฝนใหม่ของพิภพสุสานเทพเจ้า ที่มีอายุไม่กี่พันปี และ เส้นทางนี้ยังพัฒนาไม่ถึงขีดสุด หากให้เปรียบเทียบ ตั้งแต่ขอบเขตผู้ฝึกหัดจนถึงตำนานยุทธ์ คือระดับ ปฐพีที่ 1

    ผู้ฝึกวรยุทธ์ยังคงไม่เคยมีปฐพีที่ 2 หรือ 3 กำเนิดขึ้นมาเลยสักคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงระดับนภา ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกวรยุทธ์ไร้ความสามารถ แต่เพราะไม่มีคนคอยชี้แนะ เส้นทางนี้หากเปรียบกับประวัติศาสตร์

     

       และความเป็นมาถือว่าอายุน้อยถึงน้อยมาก เปรียบกับเส้นทางการฝึกฝนภายนอกแล้ว ถือเป็นเด็กแรกเกิดที่กำลังงัดข้อกับผู้ใหญ่ ที่ชื่อว่าโชคชะตาที่ตบตีกับผู้ฝึกตนมาช้านาน แม้จะพัฒนาไม่ถึงขีดสุด

    แต่ข้อดีของผู้ฝึกวรยุทธ์คือเรือนกายอันแข็งแกร่ง หากไปถึงตำนานยุทธ์ก็คาดว่า สามารถรับการโจมตีของอาวุธวิเศษหรือสมบัติวิเศษได้เลย แม้อายุขัยจะไม่ได้ยืนยาวเหมือนผู้ฝึกฝนเซียน ที่เดินบนมหามรรคาไขว่คว้าความเป็นอมตะ

     

       ผู้ฝึกวรยุทธ์นั้นเดินบนเส้นทางสายใหม่ บางทีความสำเร็จของเส้นทางสายนี้ อาจจะไม่ด้อยไปกว่ามหามรรคาสายใหญ่เลยกระมัง แต่การไปต่อเพื่อเข้าสู่ ปฐพีที่ 2 หลินมู่ก็ไม่รู้เช่นกัน

    แม้แต่ศิษย์พี่หลัวยังพูดว่า เขาไม่รู้วิธีทะลวงด่านเพื่อขึ้นเป็น ปฐพีที่ 2 คนที่รู้ในตอนนี้และในทวีปนี้มีเพียงอาจารย์ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่น่าจะมีอีกแล้ว แต่จากคำอธิบายของหลัวกงฟาน

     

       เมื่อขัดเกลาจิตและรวมปราณฟ้าดินได้จำนวนหนึ่ง จะผู้ฝึกเซียนหรือเซียนกระบี่ จะใช้ลมปราณหรือจิตกระบี่ ทะลวงจุดใดบางจุดในร่างกาย เป็นการเชื่อมฟ้าดินหรือโลกในร่างกาย

    เข้าสู่ฟ้าดินภายนอก นอกจากนั้นเขาไม่รู้แล้ว ส่วนเทคนิคปลอมระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หลัวสร้างขึ้นมาด้วยความบังเอิญ มันจะปลอมระดับให้คล้ายกับผู้ฝึกวรยุทธ์

     

       เช่นหลินมู่มีจิตกระบี่ 10 เส้น ก็จะเทียบเท่า จอมยุทธ์ ที่มีลมปราณ 10 ปี เป็นการปลอมตัวเพื่อกลมกลืนกับสังคมแห่งนี้ ที่ไม่รู้จักเทพเซียนหรือวิชาสวรรค์ฟ้าดิน

    หากโป๊ะแตกเผลอใช้เวทย์หรือของวิเศษ จะได้มีข้ออ้าง หลินมู่อ่านและทำความเข้าใจกับเทคนิคนี้เงียบๆ มันไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป อยู่ในเกณฑ์กลางๆ

     

       โดยทฤษฎีคือการใช้จิตกระบี่ ดึงปราณฟ้าดินใช้มันขัดเกลาจนมันกลายเป็นลมปราณ แต่ไม่เก็บเข้าไปภายในร่างกาย แต่จะใช้จิตกระบี่ควบคุมลมปราณเหล่านั้น หมุนวนอยู่รอบตัว

    คล้ายเป็นเกราะลมปราณ ซึ่งก็ใช่จริงๆ เพราะหากมีการโจมตีโดยลมปราณ ลมปราณที่ถูกจิตกระบี่บังคับอยู่รอบเรือนกาย ก็จะเป็นด่านแรกในการรับการโจมตีก่อนนั้นเอง ไม่เพียงสามารถป้องกันลมปราณเท่านั้น มันยังสามารถรับการโจมตีจากวิธีอื่นๆเช่นกัน 

     

       ‘เป็นเทคนิคป้องกันตัวที่มีความสามารถเสริมสินะ..’ หลินมู่ขบคิดกับตนเองเงียบๆ เพราะเขาไม่อยากให้มือเกาทัณฑ์ตาบอดผู้นั้น หาเรื่องมาพูดปากเปียกปากแฉะได้อีก

    แม้ทั้งคู่จะนั่งกันอยู่คนละฝาก แต่ความระวังตัวของชายหนุ่มก็มีแต่จะสูงขึ้น อีกฝ่ายมีเกาทัณฑ์นะต่อให้เขารวดเร็วแค่ไหน หากอีกฝ่ายเปิดการโจมตีอย่างกระทันหัน อย่างน้อยก็ต้องโดนลูกเกาทัณฑ์สักดอกสองดอก 

     

       จึงจะเข้าประชิดอีกฝ่ายได้ ทำเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองจะดีกว่า ไม่เกิดเรื่องคือความประเสริฐ คิดได้เช่นนั้นหลินมู่ก็เริ่มควบคุมจิตกระบี่ และ ฝึกฝนตามคำแนะนำในห้วงจิต

    มือเกาทัณฑ์ตาบอด ผู้ที่ยังไม่เคยเอ่ยปากบอกชื่อแซ่ ก็กระดิกหูก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างสงสัย “สหาย ปราณฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลง เจ้ากำลังฝึกฝนหรือ?” 

     

       หลินมู่บังเกิดความตกตะลึงในจิตใจทันที ไม่คิดเลยว่าสัมผัสของอีกฝ่าย มันจะถูกลับคมได้ถึงระดับนี้

    แม้แต่การเคลื่อนไหวของปราณฟ้าดินอีกฝ่ายยังสัมผัสถึง “อืม…เจ้าก็ทำเรื่องของเจ้าไป ไม่ต้องมาสนข้า” หลินมู่ตอบกลับแล้วจึงหันมาฝึกฝนเทคนิคปลอมระดับต่อไป

     

        มือเกาทัณฑ์ผู้นั้นใช้มือลูบคางที่มีหนวดเคราของตน พร้อมพึมพำกับตนเองเงียบๆ “สหายตาบอดท่านนี้ มีวรยุทธ์ลึกล้ำแม้แต่วิชาที่ใช้ปกปิดลมปราณในเรือนกายยังมี หากเขาไม่ฝึกฝนข้าคงสัมผัสไม่ถึง” มือเกาทัณฑ์ผู้นั้นพูดพึมพำ คล้ายจะพูดอย่างจงใจเพื่อให้หลินมู่ได้ยิน

    พร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างสนอกสนใจ เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ทุกๆสองก้านธูป หลินมู่จะหยุดฝึกฝนและพักดื่มน้ำ ก่อนจะกลับไปฝึกเทคนิคต่อ ไม่เปิดโอกาสให้มือเกาทัณฑ์ผู้นั้นเปิดปากถาม หรือ พูดใดๆออกมา

     

       เจ้าลาซุยโก๋ที่หลับไปหนึ่งตื่น ก็ลืมตามองสลับไปมาระหว่าง หลินมู่กับมือเกาทัณฑ์ตาบอด ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

    ภายในหัวของมันได้แต่คิดว่า เหตุใด คนผิดปกติทั้งคู่ จึงไม่ลงมือปะหัดประหารกันเสียที จนมันหลับไปหนึ่งตื่นแล้วนะ นี่พวกเจ้ากลัวกันและกันมากขนาดนั้นเลย? แล้วการพูดต่อปากต่อคำ ของพวกเจ้าเมื่อกี้คืออะไร?

     

       คิดกับตนเองเสร็จเจ้าซุยโก๋ก็ตกลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง มือเกาทัณฑ์ตาบอดที่สัมผัสได้ว่า เจ้าซุยโก๋ขยับตัวก็ให้ความสนใจสักพัก ก่อนจะเลิกสนใจเจ้าลาเทาไป ขาคอยเติมฟืนลงไปในกองไฟของตน

    พร้อมกับแยกสมาธิมาคอยสังเกตหลินมู่ ที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงไม่ต่างจากรูปปั้นพระพุทธรูป แม้สถานการณ์ภายในถ้ำจะกระอักกระอวนเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในความสงบดี….

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×