ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #54 : ตอนที่ 54 หาที่หลบพายุ

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 65


       ร่างของชายหนุ่มชุดคลุมเทาสะพายกระบี่ เดินไปตามทางคู่กับลาเทาลายด่างตัวหนึ่งที่แบกของมามากมาย

    “ซุยโก๋ ข้าว่าเจ้ากับข้าคงต้องอดตายแล้วกระมัง…” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ จนทำเอาเจ้าลาซุยโก๋หันมามองอย่างสงสัย ประมาณว่าเมื่อกี้เจ้ายังฮัมเพลงอยู่ไม่ใช่หรือ?

     

       ชายหนุ่มสอดแขนไว้ใต้แขนเสื้อ พร้อมพูดขึ้นมาอย่างเหม่อลอย “แผ่นแป้งจี่ เหลือแค่ 4 แผ่น เจ้ากับข้าแบ่งกันกินคนละแผ่น วันละแผ่นก็สองวันเท่านั้น ไม่ต้องทำหน้าเหลือเชื่อเลย ผลไม้แห้งของเจ้าก็หมดแล้วเช่นกัน….”

    ชายหนุ่มปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใดต่อ ส่วนเจ้าลาก็ส่งเสียงฟึดฟัดบ่งบอกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรเห็นๆอยู่ว่ามันแบกของมากมายขนาดนี้ ต้องมีของกินเหลือมากกว่านั้นสิ

     

       “เจ้าจะบอกว่าต้องมีเหลือบ้างสินะ เหอะๆ เจ้าคาดหวังกับข้ามากไป นี้เป็นการเดินทางไกลของข้าครั้งแรก เลยคาดเดาและคำนวนผิดไปหน่อย ไม่คิดว่านอกจากหมู่บ้านฉาซานที่เราเคยไป เมื่อเดือนก่อน ก็ไม่มีหมู่บ้านอื่นอีกเลย น่าเศร้า..” เจ้าลาแสดงสีหน้าเหยเกอย่างบอกไม่ถูก

    หลังจากอยู่ร่วมกันมาหนึ่งเดือน นอนกลางดินกินกลางทราย ระหว่างหลินมู่และซุยโก๋ก็สามารถพอเข้าใจกันได้บ้างแล้ว

     

       แม้จะมีบางครั้งที่เดินทางสวนกับกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายทำเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เจ้าไม่ยุ่งกับข้า ข้าไม่ยุ่งกับเจ้า

    จึงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีกเลย นอกจากเดินพักนอนกินข้าวแล้วเดินต่อ วนเวียนเป็นลูปนรกที่คนจากยุคสมัยใหม่เช่นหลินมู่ แทบจะเบื่อตายชัก สภาพของคนอื่นๆที่ถูกดึงมาพร้อมกัน ในตอนนี้คงกำลังร้องโอดโอยเพราะเบื่อหน่ายการฝึกฝนเป็นแน่

     

       แม้จะบอกว่ามีเวลาในการฝึกฝนมากขึ้น แต่ระดับของชายหนุ่มก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นพรวดพราด ตอนนี้มีจิตกระบี่อยู่ 17 เส้น เพิ่มมาจากเดิมถึง 3 เส้น 

    ถึงการพัฒนาความแข็งแกร่งจะค่อนข้างรวดเร็ว แต่คงได้อีกไม่นานเพราะเจ้าหินอัปมงคลเจ้ากรรม ที่กินอยู่ด้วยกันมาเดือนกว่า ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากก้อนกรวด ปัจจุบันขนาดของมันเหลือเพียงปลายนิ้วก้อยเท่านั้น

     

       ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นใจ การคาดเดาคำนวนก็ผิด ไอ้หินที่ไว้ใช้ขัดเกลาจิตกระบี่ ก็เหลือไม่มากคาดว่าอีกสามถึงสี่วัน ก็จะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า แม้แต่อาหารก็เหลือเพียงแค่แผ่นแป้ง 4 แผ่น

    หากไม่ได้เติมเสบียงจากหมู่บ้านฉาซานมาเล็กน้อย ป่านนี้หนึ่งคนหนึ่งลา คงลงไปนอนข้างทางที่ไหนสักแห่ง

     

       เจ้าซุยโก๋ไม่เท่าไหร่แม้มันไม่ชอบเล็มหญ้านัก แต่ก็ใช่ว่ามันไม่กิน แต่สำหรับหลินมู่ที่นึกภาพว่าตนเอง ต้องกลับไปกระเดือกลูกกลอนดับหิวอีก

    ก็อารมณ์ดิ่งลงเหวอย่างฉุดไม่อยู่ ส่วนสัมภาระที่เจ้าลาซุยโก๋แบกพะรุงพะรังอยู่ มีแต่ของใช้เครื่องนอน รวมถึงไหสุราหมักใบชาของหมู่บ้านฉาซาน แม้แต่ผลไม้แห้งของเข้าลาเทาที่ตุนมาก็หมดแล้ว

     

       เหลือแต่แผ่นแป้ง กับเศษเนื้อตากแห้ง และ น้ำผักดองที่มีวิญญาณผักเล็กน้อย กว่าจะเดินเท้าไปถึงมณฑลถัดไปก็อีกหลายวัน แถมไม่รู้ด้วยว่าเมืองหรือหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด มันอยู่ห่างสักแค่ไหนด้วย จนวันนี้เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าตระกูลไป๋ทำเช่นไร

    ถึงได้เดินทางไปกลับระหว่างภาคกลางของทวีป ลงใต้จนไปถึงอาณาเขตของตระกูลไป๋ได้กันนะ ด้วยที่ตอนนั้นหลินมู่หลับไปหนึ่งตื่นจึงไม่รู้ว่า ขบวนรถม้าหลังจากเขาหลับไปจู่ๆก็มีฝูงผีเสื้อสีขาวตัวน้อยๆ บินออกมาให้ว่อนที่น่าตกตะลึงกว่านั้นคือ ผีเสื้อน้อยเหล่านั้นแบกรถม้าขึ้นฟ้าได้

     

       นั้นจึงเป็นคำตอบตลอดเวลาที่ชายหนุ่มหลับไป เขาเดินทางบนฟ้าไม่ใช่ภาคพื้นดิน แต่รู้หรือไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่สำคัญ

    ที่สำคัญตอนนี้คืออาหาร ไม่มีสัตว์ป่า สัตว์อสูรก็ไม่ยักกะเห็นหน้าสักตัว ไม่มีวี่แววของผู้คน ยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนนี้หลินมู่อธิษฐานใจแทบขาด ว่าให้มีขบวนหรือคาราวานพ่อค้าผ่านทางมา

     

       เขาจะได้ใช้เงินในกระเป๋าให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่มีผ่านมาสักทีเนี่ยสิ ถึงมีเงินเป็นร้อยก็ซื้ออะไรไม่ได้ เพราะไม่มีที่ให้ซื้อ แม้ระหว่างทางจะเจอแม่น้ำบางส่วนที่ยังไม่แข็งตัว

    และภายในนั้นมีปลาอยู่มากมาย ปัญหาคือหลินมู่ไม่รู้วิธีจับที่ถูกต้อง เบ็ดตกปลาก็ไม่มี เลยต้องขอขมาตงหยู ก่อนจะชักมันออกตากฝัก และ โดดลงไปในแม่น้ำฟาดฟันกับปีศาจน้ำ สุดท้ายเกือบเป็นไข้ปลาก็จับมาได้แค่สามตัว…

     

       ขนาดศิษย์พี่หลัวที่พึ่งตื่นยังส่ายหน้าอย่างท้อแท้ หลินมู่ที่ตอนนั้นนั่งผิงไฟอยู่ก็ถามขึ้นมาตรงๆเลยว่า ตอนไหนเขาถึงจะขี่กระบี่บินได้ หรือจะต้องมีจิตกระบี่เท่าไหร่

    หลัวกงฟานก็ตอบกลับมาง่ายๆว่า เมื่อเข้าสู่ปฐพีที่ 2 ก็จะขี่ได้เอง คำตอบนั้นทำเอาชายหนุ่มหน้ามุ้ย รบเร้าอยู่สองครั้งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีวิธีจริงๆ เขาจึงเลิกเซ้าซี้เรื่องขี่กระบี่บินไป เพราะเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม สุดท้ายศิษย์พี่หลัวก็โยนเทคนิคปลอมระดับของผู้ฝึกวรยุทธ์มาให้ ก่อนจะหายไปในกระบี่เฮ่ยซานหลับลึกไปอีกครั้ง แม้จะบอกว่าระหว่างทางจะไม่ออกมา แต่อีกฝ่ายก็เข้าออกเป็นว่าเล่นเลยเนี่ยสิ

     

       “พายุกำลังจะมา เราหาที่พักกันก่อนเถอะ” หลินมู่แหงนหน้าขึ้นฟ้า มองฟ้าเทาที่มืดครึ้มคาดว่าพายุหิมะ ห่าใหญ่กำลังจะถูกสาดลงมา ต้องรีบตามหาที่พักเอาไว้ไม่เช่นนั้นก็เตรียมเป็นไอติมแท่งได้เลย

    ทางเดินตัดผ่านป่าเขาเช่นนี้ น่าจะมีถ้ำที่เคยมีผู้ฝึกวรยุทธ์หรือจอมยุทธ์ท่านใด ขุดไว้ใช้หลบลมหลบฝนหลบแดดอยู่บ้าง แต่จะเจอไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง

     

       หนึ่งคนหนึ่งลาเดินเลาะไปตามทาง เดินจนไปถึงแนวเทือกเขาที่ด้านล่างเป็นเหวลึก การันตีได้เลยว่าหากมีอะไรที่ตกลงไป ได้ตัวแตกแน่นอน

    ทางข้างหน้ามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งน่าจะเป็น ของคนที่เคยเดินทางผ่านทางแถวนี้ขุดเอาไว้ หลินมู่ที่ใช้มุมมองต่างจากคนทั่วไปก็เลิกคิ้วขึ้นสูง เพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีคนหนึ่งคนกำลังนั่งอยู่ภายในนั้น

     

       อีกฝ่ายมีลมหายใจที่สม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่ช้าอย่างมาก คาดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือ แต่สิ่งที่น่าตกใจคืออีกฝ่ายก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงตัวของหลินมู่เช่นเดียวกัน

    แต่จังหวะการเดินของชายหนุ่มไม่ได้หยุดชะงัก เขาเดินจนไปถึงหน้าทางเข้าถ้ำ จึงสามารถเห็นได้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในกำลังทำอะไร เป็นชายที่คาดเดาจากสายตา คาดว่าส่วนสูงระหว่างหลินมู่และอีกฝ่ายไม่ห่างกันมาก

     

       เขากำลังนั่งแล่เนื้อกวางภูเขา มาเสียบไม้ย่างบนกองไฟ การแต่งตัวคล้ายกับผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจร ผมสีดำยาวถูกรวบมัดเอาไว้ด้วยเชือกป่านสีแดง สะพายเกาทัณฑ์ที่เหมือนทำจากโลหะสีเงิน มาพร้อมกระเป๋าใส่ลูกเกาทัณฑ์สีแดงราวกับ ถูกโฉลมไปด้วยเลือด และ ยังสะพายดาบยาวไว้บนหลัง อีกฝ่ายใช้ผ้าขาวผันปิดใบหน้าส่วนบนเอาไว้ จึงไม่อาจเห็นดวงตาหรือใบหน้าส่วนบนได้ เหลือไว้เพียงใบหน้าส่วนล่างที่มีหนวดเคราเล็กน้อย เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

    ทั้งสองลองเชิงกันสักพัก ก่อนจะเป็นอีกฝ่ายที่ผายมือบอกว่าเชิญ “ที่มีกว้างขวาง เชิญนั่งตามสบาย” พูดจบอีกฝ่ายก็หันกลับไปยุ่งกับเนื้อเสียบไม้ของตนต่อ

     

       หลินมู่จูงเจ้าซุยโก๋ไปนั่งอยู่มุมหนึ่งของถ้ำ ก็เตรียมจุดไฟจี้แผ่นแป้งกินรองท้อง แต่ถูกอีกฝ่ายขัดไว้ซะก่อน “เจ้าไม่ต้องจุดกองไฟหรอก มาใช้กับของข้าก็ได้” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรจนผิดสังเกต 

    ชายหนุ่มที่ยังคงหวาดระแวงอยู่ก็ปฎิเสธไป “ไม่ล่ะ ข้าไม่ไว้ใจเจ้าใช้ของใครของมันจะดีกว่า” มือเกาทัณฑ์ตาบอดที่ได้ยินก็ยิ้มแห้งพร้อมใช้นิ้วเกาแก้ม “ไม่เป็นไร ข้าแค่คิดว่ามันหายากที่จะเจอ คนตาบอดด้วยกันในยุทธจักรเช่นนี้”

     

       หลินมู่พยักหน้า ไม่ยอมรับหรือปฎิเสธว่าตนเองตาบอดหรือไม่ เขาทำเพียงจุดไฟจี้แผ่นแป้งของตนเอง อยู่ในสภาพน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่แผ่นแป้งหรือจะสู้กลิ่นเนื้อย่างหอมๆ ที่ลอยตลบอบอวลอยู่ภายในถ้ำ

    หลินมู่เริ่มมุมปากกระตุก เพราะกลิ่นหอมจากเนื้อย่างที่โจมตีเขาไม่หยุด “สหายเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เป็นมือเกาทัณฑ์ตาบอดผู้นั้นที่ถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงสงสัย หลินมู่ยกน้ำเต้าขึ้นมาดื่มเหล้า เพื่อกลืนอารมณ์ที่จุกอยู่ในคอลงไป “ไม่ เจ้าทำเรื่องของเจ้าไปเถอะ”

     

       พูดจบหลินมู่ก็นั่งนิ่งศึกษาเทคนิคปลอมระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ต่อ มือเกาทัณฑ์ตาบอดผู้นั้นยักไหล่ ก่อนจะหันไปเขี่ยกองไฟย่างเนื้อเสียบไม้ของตนต่อไป

    ทั้งคู่ทำเรื่องของใครของมัน แต่สักพักเหมือนมือเกาทัณฑ์ตาบอด จะทนบรรยากาศเงียบงันไม่ได้จึงเปิดปากพูดขึ้น “สหายเจ้ากับข้าก็เป็นคนตาบอดเช่นเดียวกัน เหตุใดเราไม่แลกเปลี่ยนวิชาในการใช้ชีวิตล่ะ?” หลินมู่นั่งนิ่งไม่สนใจทำเหมือนอีกฝ่าย เป็นเพียงหินข้างทาง โดยที่อีกฝ่ายก็กำลังอธิบายว่าตน มีประสาทรับเสียงดีขนาดไหน 

     

       โดยที่อีกคนหนึ่งก็นั่งนิ่งทำเหมือนตนเองเป็นรูปปั้นพระพุทธรูป โดยมีเจ้าลาเทาลายด่าง มองสลับไปมาด้วยสีหน้าสงสัยบางอย่าง…

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×