ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #50 : ตอนที่ 50 ฝังศพ

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 65


       พอผ่านเรื่องน่าปวดหัวเสร็จ ชายหนุ่มก็ม้วนตัวเดินกลับไปยังหมู่บ้าน ด้วยสภาพดุจปีศาจร้ายอสูรกายนั้น

    เมื่อมาถึงเขาก็ทักทายหัวหน้าหมู่บ้าน พร้อมขอยืมอุปกรณ์กับของเล็กน้อยจะได้หรือไม่? หัวหน้าหมู่บ้านก็ตอบรับพร้อมสั่งให้คน ไปยังคลังหมู่บ้านเพื่อ เอาสิ่งที่หลินมู่ต้องการใช้มาส่งให้

     

       “ท่านหลินจะเอาพลั่วและขวานพวกนี้ และ ธูปในมือของท่านไปทำอะไร? หรือท่านจะฟังศพคนพวกนั้น?” หลี่ซงถามอย่างสงสัยขณะเดิน เคียงบ่ากับหลินมู่ย้อนกลับไปยังทุ่งสังหารนั้นอีกครั้ง

    ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าชะโลมไปด้วยเลือดส่ายหน้าเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกเย้า “เจ้าจะให้ข้าฝังพวกเขาลงดิน ทั้งร้อยกว่าร่างงั้นหรือ? กว่าข้าจะได้เดินทางต่อคงอีกหลายวัน หรือเจ้าอยากเห็นปรมาจารย์วรยุทธ์ ที่เจ้าพูดคุยค่อนข้างถูกคอ ทำงานงกๆยืนหลังขดหลังแข็ง ขุดหลุมตลอดวันกัน?” หลินมู่เก็บธูปหอมลงไปในถุงเฉียนคุนโดยไม่มีใครสงสัย

     

       หลี่ซงหัวเราะด้วยสีหน้าเจื่อนๆ หยงหยางเล่ยซวนหยวนจูซิงและหยวนอูหง ที่หอบขวานไว้หลายด้ามหัวเราะคิกคัก

    “ข้าว่าท่านหลิน จะลำบากสักหน่อยคงได้กระมัง” เป็นเล่ยซวนที่พูดขึ้นมาอย่างขบขัน หลินมู่หัวเราะเหอะๆในลำคอ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เมื่อมาถึงศพของจอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้ม เขาก็ร้องตะโกนไปทางสิบคนนั้นที่รอดชีวิต “พวกเจ้านะ!! ใช่พวกเจ้านั้นแหละ แบ่งคนมาหยิบขวานแล้วไปตัดไม้ คนที่เหลือก็เอาศพไปกองกันไว้เป็นระเบียบ!!”

     

       เมื่อได้รับคำสั่งทั้งสิบที่สามารถรอดชีวิต ในตอนที่หลินมู่ใช้เหตุผลสังหารหมู่ ก็รีบวิ่งมารับขวานไปตัดไม้บริเวณป่าใกล้ๆ ส่วนคนที่มือว่างก็พากันเคลื่อนย้ายศพไปจัดเรียงเป็นระเบียบ

    ยังดีที่ไม่ได้มีภาพสยดสยองเท่าไหร่ ส่วนมากก็มีรอยกระบี่แทงทะลุอกตัดขั้วหัวใจ จนสิ้นใจตายมีเพียงสองคนที่ได้รับการปฎิบัติพิเศษ นั้นคือเม่ยลี่เจียงและคนปลุกระดมให้โจมตีหลินมู่ ที่มีก้อนหินขนาดเล็กฝังอยู่ในกระโหลกศีรษะ

     

       ชายหนุ่มตัวเปื้อนเลือดเดินไปหาเจ้าม้าศึก ผู้เป็นคู่หูของจอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้มนามจูเฉียว เขาลูบแผงคอของมันด้วยความอ่อนโยน “ข้าและนายของเจ้า แรกเริ่มก็มิได้มีความแค้นใดๆ เพียงใจข้าสับสนจึงต้องการหินลับกระบี่ นายเจ้าเองก็รากฐานโงนเงนไม่ต่างอะไรจากแป้งเปียก ที่จะถล่มลงมาตอนใดก็ได้ ไม่ว่าข้าหรือเขาที่รอดในศึกครั้งนี้ ก็จะได้รับคำตอบ และ วิธีแก้ไขทั้งสิ้น หากเจ้าแค้นเคืองข้าก็จงเตะข้าสักครั้ง เพื่อละบายมันออกมา”

    ม้าศึกตัวใหญ่สีดำคล้ายจะเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ แต่แทนที่มาจะใช้ขาอันทรงพลังเตะหลินมู่ ราวกับเตะตุ๊กตายัดนุ่น มันกลับอ้าปากกว้างและงับหัวเขาแทน “อืม ข้าจะถือว่านี่ เป็นการละบายแบบของเจ้าละกัน…”

     

       ชายหนุ่มยืนให้ม้ากัดหัวอยู่สักพัก สุดท้ายมันก็ปล่อยวางเลิกขบหัวหลินมู่ มายืนนิ่งมองร่างอันไร้ชีวิตของผู้เป็นนายด้วยสายตาอาวรณ์ “เอาหล่ะไปสงนายเจ้ากันเถอะ…” หลินมู่แบกร่างของจูเฉียว ขึ้นไว้บนหลังของมัน

    ก่อนจะเก็บดาบโค้งเข้าฝักข้างตัวม้า พร้อมเอาพลั่วเหน็บไว้บนตัวของมัน แล้วจึงเดินจูงบังเหียนไปหาที่กลบฝังจอมยุทธ์ใหญ่ ที่หลินมู่ให้การยอมรับจากใจผู้นี้ “เป็นเช่นไร กับการเคาะด่านมหามรรคาครั้งแรก เจ้ารู้สึกเช่นไร?”

     

       หลัวกงฟานส่งเสียงถามคำถามผ่านจิตใจ หลินมู่ส่ายหน้าก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าคิดว่าการใช้เหตุผล และ การให้เหตุผลกับตัวเองยากอย่างมาก” หลัวกงฟานเงียบงันไม่เอ่ยสิ่งใด

    ปล่อยให้หลินมู่อธิบายออกมาจนจบ “ข้าอยากรู้แท้จริงแล้ว มนุษย์ที่คงอยู่บนความสมดุล เหตุใดมักโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งเสมอ เช่นเมื่อกี้ที่ข้าสังหารโจรนับหลายร้อยชีวิต ใจนึงข้าก็อยากปล่อยพวกเขาไป อีกใจหนึ่งก็อยากสังหารเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อชาวบ้านคนทั่วไป จนเกิดเป็นการใช้เหตุผลเพื่อฆ่าสังหารพวกเขา จนเหลือรอดเพียง 10 คนเท่านั้น สรุปแล้วการใช้เหตุผลของข้ามันถูกหรือมันผิดกันแน่?”

     

       ศิษย์พี่หลัวถอนหายใจยาวก่อนจะพูดผ่านจิตใจ “เจ้าทั้งไม่ผิด และ ไม่ถูก จะดีก็ดีไม่ถึงขั้น จะชั่วก็ชั่วไม่ถึงแก่น บนแม่น้ำมหามรรคา เจ้าหวาดกลัวความแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ไล่ตามความแข็งแกร่งเพื่ออะไร?”

    หลินมู่พยักหน้าก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “ข้าต้องการความแข็งแกร่ง เพื่อหวนคืนกลับไปบ้านเกิด แต่จิตใจของข้าก็หวาดกลัวว่าเมื่อยามข้าแข็งแกร่งเกินไป ข้าจะเผลอทำร้ายคนที่รักอย่างไม่ตั้งใจ จึงเกิดเป็นความกลัวต่อความแข็งแกร่งภายในใจของข้า เป็นผลให้ข้าไม่สามารถออกกระบี่ได้เฉียบคมหรือรวดเร็วดั่งที่ต้องการ…”

     

       หลัวกงฟานที่อยู่ภายในกระบี่เฮ่ยซาน เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมา “เจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะกลับบ้านเกิดคือที่ใด? คงไม่ได้อยู่ในทวีปหลิวซูกระมัง เป็น มหาทวีปเจี้ยน? หรือ เกาะอื่นๆ หรือจะเป็นมหาทวีปซีซี ที่อยู่ใกล้ทวีปพวกเราที่สุดกัน?”

    ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ แสดงสีหน้าหนักใจคล้ายกำลัง ชั่งใจกับบางอย่างว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ สุดท้ายเขาก็เลือกจากคุยเปิดอกกับศิษย์พี่ผู้นี้ เขาเล่ารายละเอียดว่าตนมายังพิภพแห่งนี้ได้เช่นไร และ เล่าว่ายังมีอีกหลายคนที่มายังพิภพแห่งนี้พร้อมตน

     

       หลัวกงฟานอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ได้แต่กระซิบกระซาบกับตนเอง “องค์เทียนโฮวเป็นพยาน ศิษย์น้องของข้าคือคนต่างตากภพ!!” พอมาคิดๆดูแล้วศิษย์น้องจะดู ไม่ค่อยมีความผูกพันกับสิ่งใดเลย

    เพื่อไขความคิดครั้งนี้ให้กระจ่าง หลัวกงฟานก็สื่อสารผ่านจิตใจกับชายหนุ่ม แล้วจึงจำศีลอีกครั้งพร้อมภายในหัวขบคิดเรื่องที่ได้รับฟังมา

     

       หลินมู่ไม่ได้ดื้อดึงจะดึงให้หลัวกงฟาน อยู่พูดคุยกับตนต่อเขาปล่อยให้ศิษย์พี่ไปพักผ่อน ขณะเดียวกันเขาก็หยุดลงบนเนินเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่มีต้นไม้ยืนต้นอย่างเดียวดาย “ตรงนี้ท่านคงจะได้รับความสงบกระมัง…”

    หลินมู่หยิบพลั่วมาแล้วจึง เริ่มลงมือขุดหลุมศพให้จอมยุทธ์ใหญ่ผู้นี้ ปากก็พลางบ่นงึมงำไปด้วย “ข้าเสียใจที่ข้าทำได้เพียงเท่านี้ หากข้ามีเวลามากกว่านี้ การจะหาซื้อโลงศพให้ท่านสักโลงก็ไม่เกินมือข้า แต่ข้าช่างน่าสังเวชมีเรื่องให้ทำเต็มไปหมดดุจไฟรนก้น หวังว่าท่านคงไม่ถือสาที่ข้าทำได้เพียงเท่านี้”

     

       หลินมู่ขุดหลุมไปด้วยคุยอยู่กับตนเองไปด้วย จนตะวันลอยอยู่เหนือหัวหลุมศพก็ถูกขุดจนเสร็จ ชายหนุ่มวางพลั่วไว้บนพื้นแล้วจึง เดินไปแบกร่างใหญ่โตนั้นลงมาจากหลังม้า

    เขาค่อยวางร่างจอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้ม ลงไปในหลุมอย่างระมัดระวังจัดท่าทางให้อีกเล็กน้อย ก่อนเขาจะหยิบพลั่วขึ้นมาตักดินกลบร่างนั้นทีละนิด ภายใต้สายตาของเจ้ามาศึกตัวโต ที่ยืนมองเจ้านายของมันเป็นครั้งสุดท้าย

     

       กว่าหลุมจะถูกกลบก็กินเวลาอีกหลายก้านธูป เพื่อเป็นการกันสับสนหรือคนลืม ชายหนุ่มจึงเดินลงเนินเขาไปหาแผ่นหินขนาดพอดีที่จะนำมาทำเป็นป้ายหลุมศพ เมื่อกลับมาอีกครั้งเขาก็กลับมาพร้อมแผ่นหินขนาดใหญ่

    ใช้กระบี่ตัดเล็มตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย แล้วจึงสลักชื่อของอีกฝ่ายด้วยภาษากลางของทวีปหลิวซู ‘จูเฉียว จอมยุทธ์ที่ข้าเคารพที่สุดท่านหนึ่ง’ เมื่อฝังป้ายไว้จนแน่ใจแล้วว่าจะไม่กลิ้งหายไปไหน

     

       หลินมู่หยิบธูปหอมออกมาจากถุงเฉียนคุน และ ใช้หินเหล็กไฟที่ซื้อมาจากเมืองเจ๋อซี จุดไฟให้ธูปหอม เมื่อปักธูปหอมแล้วชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้ากับม้าศึกสีดำตัวใหญ่ ก็พากันนั่งอยู่หน้าหลุมศพโดยไม่พูดจาใดๆ หลินมู่เอื้อมมือไปลูบด้ามของตงหยูด้วยความเคยชิน

    แล้วจึงลุกขึ้นยืนปลดจุกน้ำเต้า เขาดื่มไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเทลงบนป้ายหลุมศพ “ไปกันเถอะ ข้าจะหาคนดูแลเจ้าไว้สักพัก ปล่อยให้เจ้านายเจ้าพักผ่อนเสียเถอะ”

     

       ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าเปื้อนเลือดเดินจากไปพร้อมม้าศึก เขายังต้องรบกวนหัวหน้าหมู่บ้านชราผู้นั้นอีกหลายอย่าง

    และต้องจัดการเรื่องหยุมหยิมหลังจากจบศึก มีแต่เรื่องที่เขาต้องทำซักปวดหัวแล้วสิ….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×