ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 ผู้ฝึกวรยุทธ์

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 65


       ใช้เวลาเพียงหลับหนึ่งตื่น ขบวนรถม้าตระกูลไป๋ก็เดินทางกลับมาถึงยังหุบเขาเมฆา

    อันเป็นที่ตั้งของตระกูลอันน่าภาคภูมิใจของพวกตน หลินมู่ที่ดีดตัวลุกขึ้นนั่งมองสภาพแวดล้อมรอบหุบเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

     

       แม้จะมาถึงแล้วตนก็ไม่ยักกะเห็นสิ่งก่อสร้างอื่นใดเลย นอกจากเมฆขาวโพลนที่ปกคลุมหุบเขาจนมองอะไรไม่เห็น

    ทันใดนั้นเองหนึ่งในคนระดับสูงของตระกูลไป๋ ก็เดินออกมาก่อนจะยกบางอย่างไปทางเมฆขาว

     

       ในระหว่างที่เหล่านักเรียนและหลินมู่กำลังงุนงงว่าชายวัยกลางคนนั้นทำอะไรอยู่

    จู่ๆเมฆขาวที่ปกคลุมทั้งหุบเขาก็ถอยกลับอย่างน่าตกตะลึง ราวกับเมฆขาวมันมีชีวิตเพียงไม่ถึงนาทีถนนหินอันสวยงาม ที่ทอดยาวไปภายในหุบเขาก็โผล่ออกมา

     

       ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเป็นยามปกติคงใช้เวลานานกว่านี้

    แต่เหมือนประมุขตระกูลจะไปพูดบางอย่าง กับผีเสื้อเมฆาขาวครั้งนี้เลยเร็วกว่าที่ผ่านๆมา

     

       ขบวนรถม้าเริ่มเดินหน้าต่ออีกครั้ง เมื่อรถม้าเข้าไปภายในหุบเขาจนหมด

    เมฆขาวก็กลับมาปกคลุมหุบเขาอีกครั้ง เปลี่ยนหุบเขาเมฆากลายเป็นทะเลเมฆ

     

       ในระหว่างทางสิ่งก่อสร้างที่เป็นฝีมือของมนุษย์ก็สามารถพบเห็นได้มากขึ้น

    ที่เห็นได้มากไม่แพ้กันเลยก็คือหนอนผีเสื้อ ตัวสีฟ้าไต่ไปมาบริเวณสันเขาหรือบางทีก็มากระดึ๊บบนตัวคน

     

       มองไปมองมาพวกมันก็น่ารักไปอีกแบบ “นี้คือสัตว์อสูรที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับตระกูลไป๋เรา หนอนผีเสื้อหมอกขาว”

    เป็นชายวัยกลางคนคนนั้นอีกครั้งที่เดินมาอธิบายให้พวกนักเรียนรู้เรื่องราว

     

       “ข้าชื่อไป๋เหลียง เป็นผู้อาวุโส ข้าจัดการเรื่องจิปาถะ และ เป็นผู้ดูแลหอตำราหลักชั่วคราว” ไป๋เหลียงที่แนะนำตนเองว่าเป็นผู้อาวุโส

    เดินเข้ามาพูดคุยกับเหล่านักเรียนอย่างสนิทสนม “อาวุโสเหลียง ท่านอยู่ระดับใดของผู้ฝึกวรยุทธ์?”

     

       เป็นหนึ่งในนักเรียนที่สงสัยโพล่งถามออกมา ไป๋เหลียงที่ได้ยินก็ชะงักไปสักครู่ก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา

    “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนูข้าจะไม่ถือสาเพราะเราเป็นคนตระกูลเดียวกันหรอกนะ ในยุทธจักร เราจะไม่ถามขอบเขตการฝึกฝนผู้อื่นกันหรอกเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”

     

       ไป๋เหลียงที่โดนถามขอบเขตการฝึกฝนโต่งๆ ไม่ได้หงุดหงิดโมโหใดๆ ทำเพียงแนะนำเรื่องที่ควรและไม่ควรในยุทธจักรให้กับเหล่าเด็กหนุ่มสาวตากต่างภพ

    หลินมู่ที่อยู่ในรถม้าอีกคันก็แอบฟังอย่างเงียบๆ หวังสั่งสมข้อมูลที่ตอนนี้คือสิ่งสำคัญให้มากที่สุด

     

       อาวุโสเหลียงที่เหล่านักเรียนเรียกกัน กระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เอาหล่ะๆ ในเมื่อพวกเจ้าสงสัย ข้าจะแนะนำเกี่ยวกับผู้ฝึกวรยุทธ์คร่าวๆ เป็นไง?”

    ดวงตาของเหล่านักเรียนเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่เว้นแม้แต่หลินมู่ที่เอนตัวนอนอยู่ในรถม้า

     

       ต้องลุกขึ้นมานั่งตัวตรงด้วยสีหน้าจริงจัง อาวุโสเหลียงที่เห็นการตอบสนองอย่างกระตือรือร้นจากเหล่าเด็กนักเรียน

    ก็อดอมยิ้มไม่ได้อาวุโสเหลียงพูดอธิบายไปด้วยระหว่างทาง “ผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างเราๆ พึ่งพาพลังสวรรค์ฟ้าดิน เพื่อฝึกฝึกขัดเกลายืดอายุขัยให้ยืดยาวออกไป โดยพลังนั้นเรียกว่าปราณ..”

     

       ในขณะที่อาวุโสเหลียงอธิบาย ไม่ใช่แค่กลุ่มนักเรียนจากต่างภพที่ตั้งใจฟัง แม้แต่เหล่าหนุ่มสาวจากตระกูลไป๋เอง

    ก็ตั้งใจฟังเช่นกัน เพื่อทบทวนความรู้ของตนเอง “โดยผู้ฝึกวรยุทธ์จะอาศัยการฝึกเคล็ดวิชาทักษะ ที่สามารถเหนี่ยวนำปราณเข้ามาภายในร่างกาย และจะใช้เคล็ดวิชานั้นหล่อหลอมปราณจนกลายเป็นลมปราณ เก็บไว้ภายในร่างกาย”

     

       ขบวนรถม้าของตระกูลไป๋เงียบสงัดอย่างน่าแปลกประหลาด มีเพียงเสียงของอาวุโสเหลียงที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ

    “โดยรูปลักษณ์รูปร่างเฉดสีก็จะต่างกันไป ตามเคล็ดวิชาที่คนผู้นั้นฝึกฝน อย่างของตระกูลไป๋คือเมฆขาว แต่ก็มีหลายครั้งที่แม้จะฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกัน รูปแบบของลมปราณก็ต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง”

     

       เป็นเวลาเดียวกันที่รถม้าเริ่มขยับเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของหุบเขามากขึ้นเรื่อยๆ อาวุโสเหลียงที่เห็นว่าเวลาอาจไม่พอให้ตนอธิบายก็รีบพูดขึ้นมาทันที

    “เอาหล่ะข้าเห็นว่าเราเหลือเวลาไม่มาก ข้าจะหยุดไว้เท่านี้” คนของตระกูลไป๋ที่ได้ยินก็พยักหน้า

     

       ก่อนจะป้องมือพร้อมพูดขอบคุณ “ขอบคุณอาวุโสเหลียงที่ชี้แนะ..” สิ้นเสียงพวกเขาก็เริ่มทบทวนกันทันที

    อาวุโสเหลียงที่เห็นว่าบรรยากาศในขบวนรถม้าไม่เงียบเกินไปก็อดยิ้มไม่ได้ เขาหันหน้ามามองเหล่านักเรียนจากต่างภพที่กำลังมองเขาหน้าตาละห้อย

     

       “ฮ่าฮ่าฮ่า! เรื่องที่พวกเจ้าถามข้าเมื่อคราแรก ข้าจะแนะนำพวกเจ้าเอง แต่ไม่ใช่ตอนนี้รอให้จัดการเรื่องบางอย่างเสร็จก่อน เที่ยงวันของวันนี้พวกเจ้าจะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ฝึกวรยุทธ์”

    สิ้นเสียงของอาวุโสเหลียง เหล่านักเรียนจากต่างภพก็หันมามองหน้ากันก่อนจะเริ่มบทสนทนาอย่างตื่นเต้น

     

       หลินมู่ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆในรถม้าอีกคันหนึ่ง ก็เริ่มทบทวนกับตนเองแล้วเช่นกัน

    เขาไม่อาจปล่อยเรื่องสำคัญนี้ให้ผ่านหูไปอย่างหน้าตาเฉย เขาต้องเอามาวิเคราะห์และอนุมานวิธีกลับไปยังฝั่งนั้น

     

       แม้ว่านี่น่าจะเป็นแค่ข้อมูลพื้นๆ แต่ข้อมูลพื้นๆก็ย่อมมีคุณค่าของมัน

    มันทำให้เขาได้เปิดโลกของผู้ฝึกวรยุทธ์ แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นก้าวสำคัญ

     

       ไม่แม้แต่หลินมู่ที่ขบคิดอย่างจริงจัง แม้แต่ไป๋เทียที่อยู่ในรถม้าคันข้างๆก็เริ่มขบคิดเช่นกัน

    เขาคือว่าที่ประธานนักเรียน เรื่องเรียนเขาไม่เป็นรองใคร เรื่องกีฬาเขาก็สามารถกลายเป็นดาวรุ่ง

     

       หากเขาไม่เอาข้อมูลที่ได้มาเมื่อกี้ มาขบคิดเขาคงต้องทบทวนตัวเองอีกหลายครั้ง

    ไม่นานนักในที่สุดรถม้าก็หยุดเคลื่อนตัวต่อ หลินมู่ที่กำลังอนุมานว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตความแข็งแกร่งมากพอจะทำให้เขากลับไปฝั่งนั้นหรือไม่

     

       เขาก็ดึงสติกลับมายังความเป็นจริง “รถม้าหยุดแล้ว?” ด้วยความสงสัยเขาก็เปิดประตูออกมา

    เผยให้เห็นลานกว้างที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาว ที่อัดแน่นไปด้วยขบวนรถม้าอย่างหนาแน่น

     

       “ท่านหลินมู่ ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลไป๋” เป็นชายวัยกลางคนหนวดเครารุงรัง ในชุดคลุมสีเทาสะพายดาบยาว

    แม้ผมของชายวัยกลางคนจะถูกหวีและรวบเอาไว้อย่างดี แต่ก็ไม่อาจปกปิดตัวตนจริงๆของชายคนนี้ ว่าเขาเป็นคนขี้เกียดและขี้เหล้าคนหนึ่ง

     

       ดวงตาของชายวัยกลางคนมองหลินมู่ด้วยความชื่นชม ‘สมแล้วที่เป็นตัวอ่อนยุทธ์แท้ เพียงการสั่งสอนเล็กน้อยจากอาวุโสเหลียง ก็สามารถขบคิดเข้าใจส่วนสำคัญได้ในทันที น่าอิจฉายิ่งนัก’

    ชายวัยกลางคนสะพายดาบยาว ยกน้ำเต้าที่บรรจุเหล้าไว้จนเต็มขึ้นดื่ม ก่อนจะส่งไปให้หลินมู่

     

       “ไม่เป็นไรข้าไม่ดื่ม” หลินมู่ตอบอย่างสุภาพ “น่าเสียดายแหะ” ชายวัยกลางคนสะพายดาบยาวพูดขึ้น ก่อนจะเดินหายไปในฝูงชน

    หลินมู่มองตามแผ่นหลังของชายคนนั้นไป ก่อนจะหันไปมองรอยต่อก่อนจะสะดุดตากับบางสิ่ง

     

       มันคือป้ายทองที่มีอักษรแปลกประหลาด หลินมู่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ “นายเองก็สังเกตเห็นสินะ…"

    เป็นไป๋เทียที่เดินเข้ามาหาหลินมู่ “อืม แม้จะพูดคุยกันรู้เรื่อง แต่เหมือนเราจะใช้คนละภาษากับพวกเขา”

     

       ไป๋เทียพยักหน้าก่อนจะเสริม “มีความเป็นไปได้ว่านี่เป็นแค่ภาษาประจำถิ่น อย่าลืมว่าทวีปแห่งนี้มีขนาดครึ่งนึงของโลกเรา มีความเป็นไปได้สูงว่าบนทวีปนี้ต้องมีภาษาถิ่นอีกมากมาย”

    หลินมู่พยักหน้า ตอนแรกก็กะจะตรงเข้าห้องตำราเลย แต่เหมือนคนต้องเริ่มตั้งแต่ต้นโดยการศึกษาตัวอักษรใหม่ทั้งหมด

     

       “และมีความเป็นไปได้อีกว่า ภาษาจีนอาจจะพูดคุยรู้เรื่องกับแค่คนในบริเวณนี้เท่านั้น หรือก็คือก้าวแรกที่เราควรทำคือการศึกษา…"

    ไม่ว่าโลกไหนการศึกษาคือสิ่งสำคัญหากขาดความรู้คงไปได้ไม่ไกลนัก ไป๋เทียที่ได้ยินก็ไม่ได้ปฎิเสธเขาเห็นด้วยกับหลินมู่

     

       ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากเด็กอนุบาลที่ไม่รู้หนังสือ หากอยากก้าวหน้าอย่างรวดเร็วพวกเขาต้องเริ่มศึกษาภาษาใหม่แต่ต้น

    เรื่องฝึกฝนเอาไว้ก่อนหากอ่านไม่ออก จะฝึกฝนได้ไง? แม้เคล็ดวิชาพื้นฐานจะมีอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ

     

       แต่เคล็ดวิชาอื่นๆหล่ะ? ยอมเสียเวลาเล็กน้อยในตอนนี้รีบศึกษาภาษาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

    สำหรับพวกที่ยังคงตื่นเต้นเกี่ยวกับการฝึกฝน โดยไม่ลืมหูลืมตาบริเวณโดยรอบให้ละเอียด คงพูดได้แค่ว่าน่าสงสาร

     

       เที่ยงวันของวันนี้น่าจะเป็นยาชั้นดี ทำให้คนพวกนั้นตื่นจากฝันขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

    หลินมู่ที่ขบคิดบางอย่างอยู่ก็เหมือนคิดอะไรได้ เขาเดินเข้าไปภายในรถม้าก่อนจะใช้มือกดไปตามเบาะรองนั่ง

     

       คริก! เสียงกลไกดังขึ้นก่อนลิ้นชักลับจะเผยออกมา เป็นช่องเก็บหนังสือที่มีมากมายหลายเฉดสี

    “ว่าแล้วตัวรถม้าค่อนข้างหรูหราแต่การออกแบบ กลับเอื้ออำนวยต่อการอ่านหนังสือหรือคัดตัวอักษร คล้ายกับรถม้าของพวกบัณฑิต ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจแต่พอรู้ว่าที่เราใช้อยู่ไม่ใช่ภาษาจีน เลยเอะใจขึ้นมาได้..”

     

       ไป๋เทียที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินมู่มองลิ้นชักเก็บหนังสือ ด้วยสีหน้าขบคิดก่อนจะเปิดปากพูด “นายนี่ยอดไปเลย แม้แต่ฉันยังไม่ทันสังเกต ไม่สิไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นรถม้าที่พวกบัณฑิตมักใช้”

    ไป๋เทียพูดชมหลินมู่ด้วยความตะลึง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่ที่บ้านฉันค่อนข้างเคร่งเรื่องการเรียน เวลาหมกตัวในห้องหนังสือเลยมักได้อ่านหนังสือหลายประเภท”

     

       หลินมู่หยิบหนังสือขึ้นมาพลิกไปพลิกมา ก่อนจะเปิดหน้ากระดาษสักพักก็หยิบหนังสือสีแดงออกมาสองเล่ม

    เล่มหนึ่งส่งให้ไป๋เทีย อีกเล่มเขาเก็บไว้กับตนเอง เมื่อได้หนังสือที่ต้องการเขาก็ดันลิ้นชักหนังสือเข้าที่เดิม

     

       เมื่อพวกเขาสองคนเดินลงมาจากรถม้าพร้อมหนังสือปกสีแดง ก็เห็นว่าคนเริ่มรวมตัวกันแล้ว

    หลินมู่และไป๋เทียที่หันมามองหน้ากัน ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับคนเหล่านั้น….

     

       

     

       

       

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×