ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #49 : ตอนที่ 49 ให้เหตุผล

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 65


       โดยรอบตกลงสู่ความเงียบสงัด มาพร้อมความหนาวเย็นที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันได้กัดกร่อนจิตใจและความรู้สึกของ เหล่าคนที่ยังเผชิญเหตุการณ์นี้อยู่

    คราแรกสุดพวกมันฮึกเหิมร้องตะโกน เชียร์หวังให้จอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้มผู้นั้น สังหารหลินมู่ให้ตายเสีย แต่กลับพลิกผันเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่ชนะศึกเป็นตาย

     

       “บัดซบ!! พวกเรามีคนตั้งเยอะ จะกลัวเขาทำไมกัน? เห็นกันอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่เหลือแรงแล้ว บุ….” โจรผู้นั้นยังไม่สามารถพูดปลุกกำลังใจได้จบประโยค ก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้าไปฝังในกระโหลก

    เลือดและน้ำสมองแตกกระจาย ลงไปนอนตัวเย็นบนพื้นเป็นเพื่อนกับเม่ยลี่เจียง เหล่าโจรแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด ดวงตาอันสั่นเทามองสลับไปมาระหว่าง ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าผู้นั้น กับ ศพทั้งสองร่างบนพื้น

     

       “หากมีใครยังดื้อดึง จะพูดปลุกกำลังใจ และ ใช้จังหวะชุลมุนเพื่อหลบหนีออกไป ข้าขอบอกได้เลยว่าสามารถลองได้ แต่เจ้าก็มีจุดจบเฉกเช่นเดิมนั้นคือสิ้นชีพ” หลินมู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    ดุจเจียวหลงในบ่อน้ำกำลังขู่คำราม เหล่าโจรน้อยใหญ่ตัวสั่นเทา คุกเข่าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วนหิมะ ร้องคร่ำครวญอ้อนวอนให้หลินมู่ไว้ชีวิตพวกเขา งัดทุกข้ออ้างมาทำให้หลินมู่รู้สึกสงสาร

     

       หลินมู่นิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด เพียงใช้ดวงตาจิตมองภาพนี้ ด้วยจิตใจที่เฉยชา วิถีทางโลกก็เช่นนี้ ใครแกร่งผู้นั้นคือผู้ปกครอง แม้โจรเหล่านี้ร้อยละสามสิบ จะทำไปเพื่อความอยู่รอดของปากท้องครอบครัว 

    แต่ก็หักลบกลบไม่ได้ ว่าพวกเขาสังหารคนเพื่อให้ท้องอิ่ม แม้ชายฉกรรจ์เหล่านี้ จะสารภาพและให้เหตุผลว่าเหตุใด พวกตนทำไปเพื่ออะไรทำลงเพราะไร้ทางเลือก จุดสุดท้ายก็คือความตายภายใต้คมกระบี่

     

       ทำไมนะหรือ? วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ สันดานดิบของมนุษย์เปลี่ยนยาก แม้จะรอดชีวิตยอมผันตัวกลับเป็นคนดี แต่ไม่นานพวกเขา ก็จะเปรียบเทียบตอนนี้ กับ ตอนที่ตนยังเป็นโจร 

    แม้จะมีบางส่วนต่อต้าน และ กดความรู้สึกชั่ววูบลงไปได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนกะกดความรู้สึกนั้นลงไปได้ พอมีคนไม่อาจทนความยั่วยวนของความรู้สึกนั้นไหว หลังจากนั้นก็จะมีกองโจรมากมาย ผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ต้นตอของปัญหาคือใจของคนที่ไม่แน่นอน

     

       หากกินอิ่มเกินไป ก็จะหาเรื่องสนองตนเอง จนถลำลึกจิตใจบิดเบี้ยว หากอดอยากจิตใจก็เริ่ม จะโหดร้ายต่อวิถีทางโลก แล้วจึงจะเริ่มไม่สนวิธีการ ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ตน และ ครอบครัวกินอิ่มมีที่ซุกหัวนอน 

    ในระหว่างที่หลินมู่ยืนมองภาพ คนนับหลายร้อยชีวิตร้องขอชีวิต เขาก็เห็นคนจำนวนน้อยจำนวน 10 คน แสดงสีหน้าอาลัยหยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ว่าเป็นสร้อยคอกำไลข้อมือ หรือ อาจจะแค่ก้อนหินหน้าตาประหลาด

     

       พวกคนเหล่านั้นหยิบออกมาลูบไล้ สีหน้าผ่อนคลายคล้ายจะตัดสินใจได้ว่า ในเมื่อตนต้องตายก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม ตนสังหารคนเพื่อเลี้ยงปากทิ้งจริง ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง

    ถึงแม้ตนทำลงไปเพราะหมดหนทาง นั้นก็ไม่สามารถหักล้างได้ว่าเลือดที่เปื้อนมือ มามากมายทำลงไปเพราะหมดทางเลือก พวกเขาทำลงไปเพราะความต้องการจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้…

     

       หลินมู่ยกยิ้มเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น เขาขยับปากพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “ในเมื่อพวกเจ้าพูดเหตุผลออกมาแล้ว ข้าก็จะพูดในมุมของข้า…” เหล่าโจรปิดปากเงียบ รอรับฟังสารจากชายหนุ่มผู้นี้

    ว่าพวกตนจะรอดหรือจะมอดม้วย เขายกกระบี่ขึ้นขนานกับอก ก่อนจะพูดออกมาพร้อมใช้มือลูบไปตามใบกระบี่ “สืบสาวราวเรื่องแล้ว แรกเริ่มจุดกำเนิดพวกเจ้าก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ที่ถูกกดขี่จากพวกพ่อค้าเหม็นกลิ่นทองแดงเหล่านั้น พวกเขาสนใจกำไรมากกว่าชีวิตอันยากลำบาก ของชาวบ้านไร้ประสีประสา ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเจ้า สำหรับข้าพวกเจ้ามีเหตุผลให้ทำอย่างงั้น แต่เหตุผลนั้นก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากพอ ที่จะบอกว่าการสังหารคนนั้นถูกต้อง ข้าไม่รู้ว่ามณฑลทางตะวันตก มีกลไกชีวิตเช่นไร แต่ในสายตาคนนอกเช่นข้า พวกเจ้าไม่ได้ผิดแต่ก็ไม่ได้ถูกไปซะทีเดียว สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็หาคนถูกผิดที่แท้จริงไม่ได้ พ่อค้าหาเงินเพื่อยกระดับตนเองและครอบครัว พวกเจ้าปล้นพ่อค้าเพื่อปากท้อง สรุปแล้วใครผิดกันแน่? พวกเจ้าที่อดอยากหรือพ่อค้าที่เห็นแก่เงิน? หรือเป็นที่ใจคน?….”

     

       หลินมู่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้โจรเหล่านั้นขบคิดตามที่เขาพูด หากจับจุดได้เขาก็จะปล่อยไป หากไม่ก็ได้แต่โทษพวกว่าพวกเขา ไม่อาจคว้าเชือกฟางเส้นนั้นไว้ได้

    ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็สังเกต ทั้ง 10 คนที่เอาของดูต่างหน้า ของภรรยาหรือบุตรชายบุตรสาว ออกมาลูบคลำอย่างอาวรณ์ว่าคนเหล่านั้นจับจุดอะไรได้หรือไม่ ไม่นานหนึ่งในสิบนั้นก็ขยับปากราวกับ ได้รับการเบิกปัญญา

     

       เขายิ้มขมขื่นดวงตาแดงก่ำ ไม่นานนักคนที่เหลือก็แสดงท่าทีไม่ต่างกัน หลินมู่พยักหน้าเงียบๆให้กับการเปลี่ยนแปลง รอไปอีกสักพักในที่สุดเขาก็ได้ขอสรุป

    ทั้งสิบคนนั้นจะรอดชีวิต ที่เหลือต้องตกตายอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มขยับปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียง นิ่งสงบดุจความสงบก่อนพายุใหญ่ “หมดเวลาที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญแล้ว มาจบเรื่องนี้เถอะ หากจะแค้นก็แค้นที่วิถีทางโลก และ ข้าใช้เหตุผลไร้ปราณีเกินไป”

     

       พูดจบร่างในชุดคลุมฟ้าก็พุ่งเข้าไปในฝูงคน ดุจหมาป่ากระหายเลือดในฝูงแกะ ทุกหนึ่งกระบี่จะมีคนตกตาย เสียงร้องโหยหวนดังระงม ภาพการสังหารหมู่ตกอยู่ในสายตาของทุกคน 

    หลี่ซงสูดหายใจเขาออก ดวงตาสั่นเทามองภาพอันโหดร้ายนี้ด้วยมุมมองหลากหลาย แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านฉาซานยังส่ายหน้า เขาไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตาเด่นชัดว่า

     

       เจ้ามีหลายวิธีแต่ทางที่เจ้าเลือกคือ ทางนี้หรือ? ภาพการสังหารหมู่ยังคงดำเนินต่อไป แม้พวกโจรจะจับอาวุธขึ้นต่อต้าน แต่พวกเขาก็ไม่อาจหลบหนีจากมือมัจจุราชผู้นี้ได้

    จนแล้วจนรอดก็เหลือเพียงสิบคน ที่ยังคงนั่งคุกเข่าบนพื้นสีหน้านิ่งสงบ ไม่หลงเหลือแม้ความเสียใจใดๆ หลินมู่ที่ทั่วทั้งตัวอาบไปด้วยเลือดดุจปีศาจที่คลานออกมาจากอเวจี

     

       ก็เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง “คำตอบและเหตุผลของพวกเจ้า?” ทั้งสิบมองหน้ากันไปมาก่อนจะพูดขึ้น “พวกข้าและพ่อค้าที่ไขว่ขว้าชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ผิดผิดที่ใจคน พ่อค้าโลภในเงินตราจนเมินชีวิตของชาวบ้านทั่วไป พวกข้าโลภในทรัพย์สินเงินทองและอาหาร แม้จะฟังดูเป็นข้ออ้างที่ไร้เดียงสา แต่นั้นคือสิ่งที่ทำให้พวกข้ามาอยู่ตรงนี้” ทั้งสิบปิดปากเงียบก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง 

    “ท่านปรมาจารย์โปรดลงกระบี่ พวกข้ารับรู้ความผิดของตนดี….” หลินมู่ปิดปากเงียบคล้ายจะไตร่ตรอง ว่าควรจะทำอย่างไรกับโจรเหล่านี้ดี จนแล้วจนรอดเขาก็พูดขึ้น

     

       “หากมีหนทางให้พวกเจ้ากลับตัว พวกเจ้าจะทำหรือไม่?” ทั้งสิบมองหน้ากันไปมา ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “หากมีจริงพวกข้าก็จะกลับตัว แรกเริ่มพวกข้าก็ไม่ได้อยากเป็นโจร แต่ก็พลั้งมือทำลงไปแล้ว แทนที่จะควรหยุดตั้งแต่ครั้งแรก แต่พวกข้ายังคงเป็นโจรปล้นคนนู้นคนนี้ที หากมีทางกลับใจพวกข้าได้ทิ้ง และ ละเลยมันไปนานแล้ว ฉะนั้น โปรดให้ท่านปรมาจารย์ลงกระบี่…”

    หลินมู่เกาหัวสีหน้าบิดเบี้ยว “คำก็ลงกระบี่สองคำก็ลงกระบี่ พวกเจ้าเห็นข้าชอบฆ่าคนมากขนาดนั้นเลยหรือ?” ทั้งสิบยิ้มแต่ไม่พูดอะไร หลินมู่เดาะลิ้นสะบัดเลือดออกจากตงหยู

     

       แล้วจึงเก็บมันเข้าฝักก่อนจะโบกมือ “ก็ได้ๆ พวกเจ้าให้เหตุผลที่ข้ายอมรับได้ พวกเจ้าถือยังมีค่าพอจะมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความผิดของพวกเจ้าหายไปด้วย พวกมันยังอยู่บนตัวพวกเจ้า จะแก้ไขเรื่องนี้เช่นไรให้พวกเจ้าไปไตร่ตรองเอง…”

    หลินมู่เดินจากไปโดยทิ้งให้ทั้งสิบ ฉลองด้วยสีหน้าโล่งใจที่เหตุผลของตนสามารถ ทำให้ตนมีชีวิตรอดได้ พวกเขากำหมัดแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความปล่อยวางและปิติยินดี…..

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×